บทที่ 354: ตั้งฐานบนเกาะ ถูกล้อม!
ที่เรียกว่า ‘เมล็ดพันธุ์’ ในที่นี้ไม่ใช่เมล็ดพันธุ์พืช แต่เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งความหวังซึ่งประกอบไปด้วยเทคโนโลยีและมรดกทางอารยธรรมของเผ่าพันธุ์นี้!
ข้างในพื้นที่อันกว้างใหญ่ ถังเจิ้นได้เห็นสิ่งมีชีวิตไซบอร์กเรียงแถวกันเป็นตับ ๆ แช่อยู่ในของเหลวหนืด
พวกมันล้วนเป็นเครื่องจักรสังหารที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่ ณ ตอนนี้พวกมันทั้งหมดล้วนถูกปิดเครื่องอยู่ จึงจำเป็นต้องเปิดเครื่องก่อนถึงจะให้ออกไปต่อสู้ได้
นอกจากนี้ยังมีอาวุธ อาหาร และผลึกหกเหลี่ยมอีกมากมายที่เก็บเทคโนโลยีทั้งหมดของเผ่าพันธุ์นี้ไว้
เหมือน ๆ กับเผ่าฉ่านจิน คือชาวพื้นเมืองของโลกที่ล่มสลายใบนี้เตรียมพร้อมที่จะให้ตนเองได้กลับคืนมาอีกครั้ง
ทว่าเมื่อดูจากความทรุดโทรมของซากอารยธรรมที่อยู่ภายนอกแล้วถังเจิ้นก็ให้ข้อสรุปเลยว่าโลกนี้ได้ถูกมอนสเตอร์ยึดครองมาได้อย่างน้อย ๆ ก็ 100 ปีแล้ว และชาวพื้นเมืองเองก็น่าจะสูญพันธุ์ไปนานแล้วด้วย
หรือแม้จะโชคดีมีชาวพื้นเมืองที่รอดมาได้อยู่ก็ตาม แต่ก็ไม่อาจที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ที่เป็นอยู่ได้อยู่ดี
เพราะว่าองค์ความรู้ทั้งหมดถูกตัดขาดมาอย่างยาวนาน ดังนั้นต่อให้ผู้ที่มาพบที่นี่ในตอนนี้ไม่ใช่ถังเจิ้นแต่เป็นชาวพื้นเองก็ไม่สามารถเข้ามาในโกดังได้
ส่วนในตอนนี้คนที่อยู่ในโกดังคือถังเจิ้น ซึ่งเขาจะรับทั้งหมดนี้ไว้ด้วยความยินดีอย่างแน่นอน
ในโกดังขนาดมหึมาที่มีของเก็บไว้มากมายขนาดนี้ถังเจิ้นจะต้องหาสถานที่เก็บที่เหมาะสม
และที่เหมาะสมที่สุด ง่ายที่สุด ก็มีแค่ต้องขนทั้งหมดไปไว้ที่โลกเดิม จากนั้นค่อยคัดเอาอันที่ดูจะมีประโยชน์ต่อเมืองเชิ่งหลงในช่วงนี้มากที่สุดกลับเมือง
ถังเจิ้นเดินดูจนทั่วทั้งโกดังแล้วก็เทเลพอร์ตกลับโลกเดิม
********************************
พันธมิตรหมีน้ำแข็ง คฤหาสน์บ้านของอิวานอฟ
ถังเจิ้นรับเอกสารมาอ่านอย่างละเอียดเสร็จแล้วก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
เพราะตอนนี้เกาะกลางมหาสมุทรได้ตกเป็นของเขาแล้ว และเขาสามารถไปรับมันได้ตลอดเวลาเลย
ที่เขาเลือกซื้อเกาะนี้ก็เป็นเพราะมันมีแหล่งน้ำจืดที่ดื่มได้อยู่นี่แหละ ไม่งั้นเขาคงไม่เสียเงินเสียเวลาแล้วจัดการสร้างเกาะกลางมหาสมุทรขึ้นมาเองไปแล้ว
ตอนนี้เกาะดังกล่าวได้กลายเป็นพื้นที่ส่วนตัวแล้วซึ่งที่นี่ก็คือสถานที่ที่จะใช้เก็บของที่ดีที่สุดนั่นเอง
หลังจากเตรียมการอีกเล็กน้อยถังเจิ้นกับอีวานอฟก็ขึ้นเครื่องบินตรงไปยังเกาะกลางมหาสมุทรดังกล่าวกันทันที
หลังจากเดินไปจนสุดทาง ในที่สุดถังเจิ้นก็มองเห็นเกาะแห่งหนึ่งที่อยู่กลางมหาสมุทร
เมื่อมองจากท้องฟ้าจะเห็นว่าขนาดของเกาะไม่ได้ใหญ่นัก แต่สำหรับถังเจิ้นแล้วมันไม่ได้มีความหมายใด ๆ เลย
ขอเพียงเขาลงมือก็สามารถขยายพื้นที่ของเกาะให้ใหญ่ขึ้นเป็น 10 เท่า หรือแม้แต่ 100 เท่าได้ในเวลาเพียงแค่นาทีเดียว!
เครื่องบินลงจอดที่สนามบิน ถังเจิ้นเดินลงจากเครื่องโดยดูมุมมองแผนที่ไปด้วย แล้วก็ตรงไปยังบริเวณตีนเขา
พวกอีวานอฟกับซูเปอร์โซลเยอร์เห็นแบบนั้นก็รีบตามไป
พอไปถึงตีนเขาถังเจิ้นก็หยุดเดินแล้วเปิดใช้งาน [ปลั๊กอินปรับเปลี่ยนภูมิประเทศ]
พวกที่ตามหลังมาก็งง ๆ กันอยู่ว่าถังเจิ้นมาทำอะไรที่ตีนเขาแบบนี้ แต่แล้วในชั่วพริบตานั้นเองก็ต้องอ้าปากหวอเพราะความตกตะลึง
ภูเขาที่อยู่ตรงหน้าขยายขนาดใหญ่ขึ้นด้วยความเร็วที่เรียกได้ว่าโคตรเร็ว มันสูงขึ้นเป็นกิโล ๆ เพียงแค่ชั่วพริบตา!
แถมพื้นที่ของเกาะก็ยังขยายตัวออกไปอีกไม่ต่างจากแป้งขนมปังที่ถูกนวดด้วยไม้นวดแป้ง
บริเวณกลางเกาะมีที่ราบโล่งกว้างขนาดใหญ่เกิดขึ้น พวกอีวานอฟนั้นกำลังยืนงงกับภาพที่เห็นตรงหน้าและต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ ๆ เลยกว่าจะกลับมาตั้งสติใหม่ได้
“หม่ายก้อด วอทไอซี”
“นะ… นี่คือ... พลังของเทพเจ้าเหรอ...”
“ท่านทูต... ทำได้ขนาดนี้เลยเหรอครับ...” อีวานอฟเดินเข้ามาถามด้วยท่าทีที่แสดงความเคารพอย่างสูง
ถังส่ายหน้าแล้วเดินเข้าไปดูในถ้ำที่ตั้งค่าไว้ตอนให้แอปทำงาน
ฝูงชนก็รีบเดินตามเข้าไปด้วยความเคารพอย่างสูง
ภายในถ้ำนี้ใหญ่โตเกินกว่าที่พวกอีวานอฟจินตนาการไว้ และในส่วนลึกของถ้ำก็ยังกว้างขึ้นไปเรื่อย ๆ อีก
หลังจากที่เดินดูรอบ ๆ กันแล้วถังเจิ้นก็บอกกับอีวานอฟคร่าว ๆ แล้วก็เริ่มงานลูกหาบข้ามโลกที่ตนเองถนัด
การเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศสเกลใหญ่เบอร์นี้ย่อมไม่อาจซ่อนเร้นจากสายตาของผู้ที่สนใจได้อยู่แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าถังเจิ้นก็ไม่คิดจะซ่อนตั้งแต่แรก
นับตั้งแต่วินาทีที่เขารู้ว่าเกาะนี้เป็นของตนเองแล้วเขาก็ตัดใจเรื่องการปิดบังและเลือกที่จะเปิดเผยโฉมหน้าให้โลกเดิมได้เห็นไปทีละขั้นทีละตอน จนสุดท้ายค่อยแสดงโลกโหลวเฉิงให้ชาวโลกเดิมได้เห็น
ถังเจิ้นได้ขนส่งสิ่งของจำนวนมากอย่างต่อเนื่องโดยเอามาวางกอง ๆ ไว้ในถ้ำ ซึ่งจำนวนก็เพิ่มเอา ๆ
พวกอิวานอฟเห็นสิ่งของสไตล์ไฮเทคต่างดาวที่ละลานตาไปหมดก็ตื่นเต้นกันมาก ตอนนี้แววตาของแต่ละคนล้วนแต่เปล่งประกายระยิบระยับ
แต่ละคนล้วนรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ติดตามบอสที่โคตรเทพอย่างถังเจิ้น และได้มีส่วนร่วมในโปรเจกต์สำคัญที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติ
เมื่อถังเจิ้นออกเดินทางต่อ คนเหล่านี้จะเริ่มแผนการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเกาะนี้ใหม่ในทันที
ตอนนี้โครงการต่าง ๆ เช่นฐานฝึกอบรมและห้องทดลองก็เริ่มเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว
ส่วนเรื่องการป้องกันเกาะนั้นพวกอีวานอฟไม่ห่วงเลยซักนิด
เพราะนอกจากซูเปอร์โซลเยอร์แล้วตอนนี้ยังมีของใหม่อย่างไซบอร์กมาช่วยป้องกันเกาะด้วยนี่นา
หากจำเป็นล่ะก็จะปล่อยมอนสเตอร์ลาดตระเวนตั้งแต่บนฟ้าลงไปยันก้นมหาสมุทรทั่วทั้งบริเวณแถบนี้เลยก็ยังได้
ถังเจิ้นสร้างซูเปอร์โซลเยอร์ได้ก็ต้องสร้างซูเปอร์มอนสเตอร์ได้ด้วย เพียงแต่การสร้างซูเปอร์มอนสเตอร์มันต้องเอาสัตว์มาดัดแปลงซึ่งมีข้อเสียเยอะและควบคุมให้เป็นไปตามที่ต้องการได้ยาก
ร่างกายของสัตว์ในโลกนี้แม้จะเอามาดัดแปลงแล้วก็ยังคงเปราะบางมากอยู่ดี เทียบกับมอนสเตอร์ตัวจริงในโลกโหลวเฉิงไม่ได้ ในด้านพลังชีวิตเองก็คนละชั้น
ตอนอยู่ที่โลกโหลวเฉิงถังเจิ้นได้ทำการทดลองไปเป็นร้อย ๆ ครั้งแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังหาวิธีแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพไม่เจอ ซึ่งเป็นสาเหตุที่เขายังไม่ใช้ซูเปอร์มอนสเตอร์ในโลกเดิม
********************************
กว่าถังเจิ้นจะขนของกลับมาหมดก็เสียเวลาไปนานโขเลยทีเดียว
เมื่อได้เห็นโกดังอันว่างเปล่าไม่เหลืออะไรเลยเขาก็ตบมือปัดฝุ่นแล้วเดินกลับขึ้นไปบนพื้นดิน
แต่เขาไม่ได้รู้เลยว่าบริเวณชายขอบของพื้นที่อันตรายที่ตนเองอยู่ในตอนนี้มีนักรบ 5 เมืองมารวมตัวกันประมาณ 2,000 คน
กระนั้นคนพวกนี้ก็ไม่กล้าย่างกรายเข้าไปในพื้นที่อันตรายเพราะกลัวว่าจะไปปะทะกับมอนสเตอร์เลเวล 6 ที่มีกันยั้วเยี้ยเข้า หรืออย่างแย่ที่สุดก็ต้องเจอกับมอนสเตอร์เลเวล 7 ที่โคตรน่ากลัว
งานนี้ถ้าผลีผลามล่ะก็ได้เสียหายหลายแสนจนแบกรับไม่ไหวแน่ ๆ
ยังไง ๆ นักรบพวกนี้ก็ไม่ได้มีแอปฯเทพ ๆ มากมายเหมือนกับถังเจิ้นที่ทำได้แม้กระทั่งหายตัวออกจากพื้นที่อันตรายได้อย่างง่ายดายยิ่งกว่าปลาว่ายน้ำ
ทุกคนต่างรออย่างสงบ ตอนนี้ไอ้มือระเบิดได้เข้าไปในพื้นที่อันตรายแล้ว ถ้าหากโชคดีมันถูกมอนสเตอร์ฆ่าตายก็เยี่ยมไปเลย
แต่ทุกคนต่างก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้แน่นอน เพราะถ้าเป็นไปได้มันคงไม่ระเบิดเอา ๆ แบบที่ผ่าน ๆ มาแน่นอน แต่นี่อะไร ระเบิดจนฟ้าดินแทบจะถล่มอยู่แล้วแต่เจ้าตัวยังไม่เป็นไรเลย
ดังนั้นพวกนักรบระดับสูงจากทั้ง 5 เมืองจึงเชื่อว่าไอ้มือระเบิดมันจะต้องโผล่หัวออกมาแน่
และเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองได้รับผลกระทบจากระเบิดนั่นจึงได้พยายามอยู่กันห่าง ๆ จากพื้นที่อันตรายนี้โดยซ่อนตัวไว้ก่อน
กะว่าทันทีที่ไอ้มือระเบิดมันออกมาก็จะเข้าไปรุมฆ่าในเปรี้ยงเดียวแบบไม่ปล่อยให้มันได้ตั้งตัว!
ซึ่งถ้าถังเจิ้นรู้แผนการของพวกมันล่ะก็เขาคงจะขำก๊าก เพราะไอ้พื้นที่ที่พวกมันคิดว่าปลอดภัยนั้นยังอยู่ในระยะของระเบิดนิวเคลียร์อยู่ดี
ต่อให้ร่างกายของนักรบจะแข็งแกร่งไม่ตายทันทีก็ตาม แต่มันจะมีปัญหาอื่น ๆ ตามมาอีกไม่รู้จักจบ
พวกมันไม่รู้จักความน่าสะพรึงกลัวของสิ่งที่เรียกว่ากัมมันตภาพรังสี และกว่าจะรู้ตัวก็สายเกินไปแล้ว!
ถังเจิ้นเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร
แต่ตราบใดที่มันสามารถสร้างความทุกข์ทรมานให้กับศัตรูได้เขาย่อมลงมือทำอย่างมีความสุข
จะว่าไปแล้วก็มีอีกเรื่องที่ถังเจิ้นยังรู้
นั่นคือสาเหตุที่เมืองทรายโลหิตไม่ตอบโต้เลยหลังจากที่ประสบกับความสูญเสียอย่างหนัก จริง ๆ เหตุผลแรกคือกลัวอาวุธที่เมืองเชิ่งหลงถือครอง แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลสำคัญ
ส่วนเหตุผลหลักก็คือนักรบส่วนใหญ่อยู่ในต่างโลกแห่งนี้และกำลังต่อสู้เพื่อแย่งชิงสถานที่ลับแห่งหนึ่งกันอยู่
ส่วนนักรบที่มีหน้าที่ป้องกันเมืองก็ไม่อาจระดมพลส่งออกไปรบได้แน่นอนอยู่แล้ว เพราะการเดินทางล่าช้าและทำให้การป้องกันเมืองหละหลวม
หากเป็นโหลวเฉิงเลเวลต่ำทั่ว ๆ ไปกล้ามาท้าทายอำนาจของเมืองทรายโลหิตล่ะก็ ป่านนี้คงถูกทำลายและปล้นฆ่าจนเหี้ยนเต้ไปนานแล้ว
แม้ว่าอาวุธที่เมืองเชิ่งหลงใช้อยู่จะน่ากลัวก็จริง แต่เมืองทรายโลหิตก็มีของที่คล้าย ๆ กันอยู่ซึ่งเป็นไม้ตายที่ไม่เคยเอาออกมาใช้ให้ใครเห็นเหมือนกัน
นั่นก็คือ ‘ปืน’ ที่ยิงกระสุนกัดกร่อนเหมือนที่ถังเจิ้นเจอลิงไซบอร์กใช้นั่นเอง
เพียงแต่กระสุนมีจำกัด จะผลิตเพิ่มก็ทำไม่เป็นจึงไม่ใช่ของที่จะเอามาใช้ได้บ่อย ๆ ปริมาณที่ถือครองอยู่ก็มีน้อยและถูกเก็บไว้ในคลังสมบัติของเมือง
แต่คราวนี้เพราะอยากจะฆ่าไอ้มือระเบิดให้ได้ ดังนั้นจึงมีนักรบทรายโลหิตที่ติดอาวุธดังกล่าวมาร่วมการไล่ล่าด้วย
และไม่ใช่แค่เมืองทรายโลหิตเท่านั้นที่มีอาวุธของต่างโลกแห่งนี้ อีก 4 เมืองที่เหลือก็ให้นักรบของตนเอา ‘ปืน’ ดังกล่าวมาออกไล่ล่าไอ้มือระเบิดด้วยเช่นกัน
แต่เมื่อนักรบเหล่านี้เดือดพล่านด้วยความโกรธ และต้องการทุบร่างของถังเจิ้นให้เป็นชิ้น ๆ หลายพันชิ้น ก็มีเสียงดังอีกครั้งหนึ่งที่สั่นสะเทือนท้องฟ้า! (ยังมีต่อ..)