นักรบพันธุ์ผสม บทที่ 429 - สิ้นสุดการพักร้อนด้วยสมบัติเต็มแหวน
กว่าที่เดวิดจะจัดการส่งขบวนเก็บสมุนไพรออกมานอกจากเขตป่า ทิ้งพวกเขาส่วนใหญ่เอาไว้ที่จุดพักม้า และพาเพียงเหล่าผู้ฝึกฝน คนหนูฉางและผู้คุ้มกันส่วนตัวเท่านั้น มุ่งหน้าตามการนำทางของลูกสมุนโจรร่างผอมมาถึงเป้าหมาย มันก็เป็นเวลาเกือบจะใกล้รุ่งแล้ว หัวหน้าโจรผู้ไม่เหลือแม้แต่ซากเก็บซ่อนสมบัติเอาไว้ใจกลางป่าที่รกทึบไม่น้อยเลยทีเดียว
เมื่อมาถึงที่หมาย คนนำทางก็หมดประโยชน์ เดวิดโยนร่างผอมนั้นกลับไปทางด้านหลังอย่างไม่ใส่ใจอะไรมากนัก “พวกเธอจะฆ่ามันไปเลยก็ได้นะ” เขาเอ่ยเสียงเรียบออกมา เพราะรู้ดีว่าทั้งจูสือเม่ยและคุณหนูฉางกระเหี้ยนกะหือรืออยากจะจัดการกับเจ้าโจรตัณหากลับคนนี้เต็มแก่แล้ว
“ม-ไม่ แกสัญญาเอาไว้แล้วว่าจะไม่ฆ่าฉัน!! แกต้องปล่อยตามสัญญาสิ!” เจ้าโจรผอมร้องออกมาเสียงหลง
เดวิดแค่ยักไหล่ “อืม! ก็ฉันไม่ได้เป็นคนฆ่าแกนี่ มันจะผิดสัญญาตรงไหน แล้วก็อย่างเสียงดังนักสิ เดี๋ยวจะเจ้าตัวเล็กนี่ก็ตื่นขึ้นมาอีกหรอก” เขาตอบกลับโดยไม่ได้หันไปมองเสียด้วยซ้ำ
หลังจากนั้น เดวิดก็ไม่ได้สนใจเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นข้างหลังอีก เขาเริ่มขุดลงไปในดินตามตำแหน่งที่ถูกชี้ระบุเอาไว้ ในใจมีความสงสัยเล็กน้อยว่าพวกโจรทำไมต้องเอาสมบัติฝังดินไว้ด้วย แต่ความหงุดหงิดก็หายไปจนหมดสิ้น เพราะหีบโลหะที่ฝังอยู่ด้านล่างนั้นมีขนาดใหญ่โตพอสมควรเลยทีเดียว
“อืม! เจ้านี่บ้าเก็บทองไว้อย่างเดียวเลยนี่นา แต่เท่าที่เห็นก็น่าจะเป็น 10,000 เหรียญอยู่เหมือนกัน” เมื่อเปิดหีบออกดู เดวิดก็พึมพำออกมาด้วยสายตาที่เป็นประกาย นี่ไม่ใช่ปริมาณที่มากมายอะไรนัก ไม่พอให้ผู้ฝึกฝนจะเสี่ยงชีวิตต่อสู้แย่งชิง แต่มันก็เพียงพอให้เขาใช้อย่างสบายไปได้สักระยะอย่างแน่นอน
แหวนเก็บของเปล่งประกายวาบขึ้นมาเร็วเท่าความคิด เหรียญทองที่อยู่ในหีบหายเข้าไปในแหวนครึ่งหนึ่งทันที ไม่ใช่เพราะเดวิดตั้งใจจะเหลือเอาไว้ให้คนอื่น แต่เป็นเพราะว่าแหวนเก็บของนั้นไม่มีพื้นที่เหลืออยู่แล้ว เมกะตันเบลดขนาดมหึมายึดครองพื้นที่ในแหวนส่วนใหญ่ไปจนหมด และนี่ทำให้เขาต้องขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจนัก
“เอาล่ะ! ฉันคิดว่าตัวเองเอาไปแค่นี้คงพอแล้ว ในฐานะร่วมเดินทางกันมาเป็นทีม ทองที่เหลือฉันยกให้ทุกคนเอาไปแบ่งกัน” สีหน้าของเดวิดที่นั้นกลับมาบอกทุกคนเต็มไปด้วยรอยยิ้มแบบใจกว้าง ทั้ง ๆ ที่ในใจรู้สึกขมขื่นอยู่เล็กน้อย แต่เขาก็ทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ นอกจากสาปแช่งเจ้าหัวหน้าโจรที่ดันเก็บสมบัติเป็นเหรียญทองจริง ๆ ไม่รู้จักแลกเป็นธนบัติหรือตั๋วแลกเงินมาเก็บเอาไว้บ้างเลย
และยิ่งเมื่อเห็นสีหน้าและสายตาตื่นเต้นดีใจของหลงเฉิน จูสือเม่ยและคนอื่น ๆ เดวิดก็ยิ่งต้องเบือนหน้าหนีเพื่อซ่อนสายตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด นี่มันเหมือนกับการถูกขโมยของรักไปต่อหน้าต่อตาเลยก็ไม่ปาน ความรู้สึกของเขาในตอนนี้ มันเหมือนกับใจจะขาดรอน ๆ เลย
.......
ขบวนตามล่าหาสมบัติโจรกับมายังจุดพักม้าอีกครั้งหลังจากที่คนอื่น ๆ ในทีมแบ่งเหรียญทองจนเสร็จเรียบร้อย เมื่อถึงเวลานี้ ภารกิจคุ้มครองของเดวิดก็ถือว่าจบสิ้นลงแล้ว เขาไม่ต้องพาขบวนเก็บสมุนไพรกลับไปส่งถึงคฤหาสน์ สามารถแยกตัวกลับไปที่สำนักได้ทันที และดูเหมือนว่าผู้ฝึกฝนทุกคนจะคิดแบบเดียวกัน พวกเขากล่าวลาและเริ่มแยกตัวกันออกไปตามทาง
ก่อนที่จะพาตัวลับหายไป หลงเฉินหันมาจ้องมองเดวิดเขม็งเป็นเวลานาน ในแววตานั้นเต็มไปด้วยความคั่งแค้นไม่ยินยอม ดูเหมือนว่าเขาตั้งใจจะจำหน้าของเดวิดเอาไว้ให้มั่น เพื่อเวลาที่กลับมาแก้แค้นอีกครั้งจะได้ไม่ผิดตัว
ปฏิกิริยาของจูสือเม่ยกลับแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เธอชักม้าของตัวเองเข้ามาเดินเคียงคู่อยู่กับเดวิด ก่อนจะเอ่ยเตือนออกมาด้วยสีหน้าที่จริงจัง
“ต่อจากนี้ไป! นายต้องระวังตัวเอาไว้ให้ดี ดูเหมือนว่าระยะเวลาเพียงแค่ 2 วันที่ผ่านมานี้ นายสร้างความแค้นอันใหญ่หลวงไว้กับสำนักอื่นถึง 2 สำนักเลยนะรู้ตัวมั้ย พวกศิษย์ที่นายฆ่าไป 3-4 คนเมื่อวันก่อน ฉันไม่รู้หรอกว่าเป็นพวกที่มีผู้แข็งแกร่งแค่ไหนหนุนหลังอยู่ แต่หลงเฉินคนนี้! ตระกูลของเขาร่ำรวยและมีอำนาจมากไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่สาวของเขา ถ้าฉันได้ข่าวมาไม่ผิด ตอนนี้เธอเป็นศิษย์หลักของสำนักแล้ว เจ้าหมอนั่นต้องวิ่งแจ้นไปฟ้องให้มาแก้แค้นแทนแน่ ๆ นายก็อยู่ดีไม่ว่าดี ดันไปยึดอาวุธของเขามาเสียได้ ไม่ควรเลยจริง ๆ” หลังจากกล่าวจบ เธอก็พยักหน้าให้เป็นการบอกลา แล้วก็บังคับม้าให้วิ่งแยกไปโดยไม่รอให้เดวิดพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
หลังจากที่หรี่ตามองตามหลังจูสือเม่ยไปได้ระยะหนึ่ง เดวิดก็หันหน้ากลับมาควบคุมม้าให้วิ่งอย่างช้า ๆ มุ่งหน้ากลับสำนักซิกนิสทันทีเช่นกัน แม้ว่าเขาจะสงสัยในตัวตนและความสามารถของสาวน้อยคนนี้อยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เก็บมาคิดให้รกสมองอะไรมากนัก ตั้งแต่ต้นจนจบ ดูเหมือนว่าเธอจะยังไม่ได้เผยความความแข็งแกร่งที่แท้จริงออกมา แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร ใคร ๆ ก็เก็บซ่อนความลับของตัวเองเอาไว้กันทั้งนั้น แม้แต่ตัวของเดวิดเอง ความสามารถที่เผยออกมายังไม่ถึง 20 เปอร์เซ็นต์เลยด้วยซ้ำไป
ก็นี่เป็นแค่เพียงการพักร้อนเท่านั้น! จะต้องออกแรงให้เหน็ดเหนื่อยหรือคิดอะไรให้มากนัก เขาส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะกระตุ้นม้าเกล็ดโลหิตให้วิ่งเร็วขึ้นไปอีก
.........
ด้วยฝีเท้าที่รวดเร็วราวกับพายุของม้าเกล็ดโลหิต เดวิดใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นในการเดินทางขากลับ เขาตะบึงควบม้าอย่างรวดเร็ว ไม่ได้เอ้อระเหยลอยชายดูวิวทิวทัศน์เหมือนกับตอนขาไปอีก ทำให้ย่นระยะเวลาการเดินทางได้อีกเกือบเท่าตัว
เจ้าฟลินท์ตัวน้อยตื่นขึ้นมานานแล้ว และมันกำลังเดินป้วนเปี้ยนวนเวียนอยู่บนไหล่ของเขา ทั้งตะกุยและทดลองกัดไปยังทุกที่ที่มันคิดว่าจะฝังเขี้ยวเล็บลงไปได้ แต่ก็ต้องส่งเสียงคำรามอย่างหงุดหงิดออกมาเป็นระยะ เพราะดูเหมือนว่าจะไม่มีจุดไหนอ่อนนุ่มเลยแม้น้อย เป้าหมายส่วนใหญ่ของมันจึงเป็นใบหูที่สามารถกัดได้อย่างถนัดถนี่ที่สุดเท่านั้น ซึ่งเดวิดก็ปล่อยให้มันเล่นไปอย่างไม่สนใจอะไรนัก
เมื่อเหลือระยะทางอีกไม่ถึง 20 กิโลเมตรก็จะถึงประตูทางเข้าสำนัก เดวิดก็ดึงบังเหียนให้ม้าเกล็ดโลหิตชะลอฝีเท้าของมันลง เพียงปล่อยให้เหยาะย่างไปเรื่อย ๆ เท่านั้น สายตาหรี่เล็กลงมองยังพุ่มไม้ที่อยู่ด้านหน้าไม่ไกล ก่อนที่จะเอ่ยเสียงดังขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“พวกแกโผล่หัวออกมาเถอะ!” น้ำเสียงของเขานั้นแฝงไปด้วยการเยาะเย้ยเล็กน้อย
“ก่อนจะมาดักซุ่มโจมตีใคร น่าจะอาบน้ำอาบท่ามาให้ดีก่อนนะ ฉันได้กลิ่นของพวกแกล่วงหน้าเป็นกิโลแล้ว” เดวิดทำท่าสูดจมูกประกอบคำพูดของตัวเองอย่างสมบทบาทเลยทีเดียว
ดูเหมือนว่าคำพูดยั่วยุของเขาจะได้ผล พุ่มไม้นั่นสั่นไหวอย่างรุนแรง ก่อนที่ร่างของคน 7 คนจะโผล่ออกมาล้อมหน้ารอบหลังเดวิดเอาไว้ในทันที แน่นอนว่าสีหน้าของพวกเขานั้นดูเกรี้ยวกราดเป็นอย่างมาก ไม่มีใครชอบใจนักเลยที่ถูกด่าว่าตัวเหม็นจนถูกได้กลิ่นมาแต่ไกลแบบนี้
“แก!! จะตายอยู่แล้วยังมีหน้ามาปากดีอีกนะ! รู้ตัวล่วงหน้า แต่ยังไม่คิดจะหนีไปอย่างนั้นหรือ จะให้ชมแกว่าเป็นคนกล้าหาญ หรือว่าจะให้เรียกว่าเป็นคนโง่ไม่รู้จักเจียมตัวดี?” หนึ่งในพวกเขาคำรามออกมาอย่างดุร้าย แววตาที่จ้องมองมายังเดวิดนั้นเหี้ยมเกรียม มันเป็นเหมือนดวงตาใช้มองเหยื่อที่กำลังจะตาย
เดวิดขมวดคิ้วเล็กน้อย จากชุดที่คนพวกนี้สวมใส่ พวกเขาเป็นศิษย์ทั่วไปของสำนักซิกนิสเหมือนกับตัวเอง แต่เขาจำหน้าไม่ได้เลยแม้แต่คนเดียว และมั่นใจว่าไม่เคยไปสร้างความขัดแย้งอะไรกับคนกลุ่มนี้แน่ ๆ และกลิ่นอายประสงค์ร้ายที่เจ้าพวกนี้เปล่งออกมา มันคืออะไรกัน?
“พวกแกคือใคร? แล้วก็ต้องการอะไรจากฉัน?” เดวิดเอ่ยถามออกไปตรง ๆ เขาไม่สนใจลูกสมุนที่เพิ่งพ่นคำพูดออกมาเป็นชุดคนนั้นเลย แต่สายตามองจ้องตรงไปยังเด็กหนุ่มร่างอ้วนคนหนึ่งแทน เพียงแค่กวาดตามองอย่างคร่าว ๆ รอบเดียว เดวิดก็ตัดสินได้แล้วว่าใครเป็นหัวหน้าของแกงค์นี้
“แกไม่ต้องรู้หรอกว่าพวกเราเป็นใคร? สิ่งที่แกต้องทำคือทิ้งแหวนเก็บของเอาไว้ที่นี่ นั่นเป็นทางเดียวที่แกจะมีชีวิตรอดออกไปได้ อ้อ! นอกจากแหวนแล้ว ฉันคิดว่าแกต้องทิ้งลิ้นตัวเองเอาไว้ด้วย ในฐานะที่ปากดีจนเกินนัก” ชายร่างอ้วนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยเป็นอย่างมาก...