บทที่ 13 ตอน ฉันมีเพื่อน?
เมื่อได้ยินเสียงของเสิ่นหยาที่อยู่นอกประตู มู่โหยวก็เช็ดใบหน้าของเขาเพื่อเอาสกินที่ได้ใช้ไปออก
หลังจากมองในกระจกและยืนยันว่ารูปร่างหน้าตาและเสื้อผ้าของเขากลับคืนสู่สภาพเดิมแล้ว มู่โหยวก็เดินไปเปิดประตู
“ผู้จัดการ แฮมสเตอร์ถูกจองไว้หมดแล้ว แล้วจะทำยังไงต่อ .. เอ่อออ!”
ประตูถูกเปิดออก และเสิ่นหยากำลังยืนอยู่ที่ประตูและพูด เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นและเห็นมู่โหยว เธอก็ประหลาดใจ
“ผู้จัดการ คุณไม่ได้นอนมานานแค่ไหนแล้ว รอยคล้ำใต้ตาของคุณเยอะมาก!” เสิ่นหยามองดูมู่โหยวด้วยสีหน้าแปลกๆ
“หือ? มีอะไรหรอ?”
มู่โหยวสัมผัสใบหน้าของตัวเอง ด้วยความสงสัย เราล้างหน้าออกแล้วนิ... เป็นไปได้ไหมที่รอยคล้ำใต้ตายังคงอยู่หลังจากเอาสกินออกแล้ว?
“ใช่!”
เสิ่นหยาพยักหน้าอย่างหนัก “ผู้จัดการ คุณทำงานและกำลังกดดันอย่างหนักมากใช่ไหม? ไม่ต้องกังวลนะร้านค้าของเราฟื้นตัวแล้ว และจะไม่ล้มละลายแน่นอน!”
“ดีแล้ว…”
มู่โหยวยังคงไม่เเสดงความยินดีหรือ ดีใจใดๆ ออกมา เขาพยายามเบี่ยงเบนไปเรื่องอื่นแทน “เธอพูดว่าอะไรนะ พวกแฮมสเตอร์ขายหมดแล้วหรอ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของเสิ่นหยาก็แสดงออกด้วยความตื่นเต้น“ใช่ หนูแฮมสเตอร์ทั้งหมดถูกจองไว้แล้ว! นอกจากนี้ยังมีชินชิลล่าสี่ตัว กระต่ายเจ็ดตัว นกคีรีบูนสามตัว และปลาคาร์ฟหกตัว …” เสิ่นหยายกนิ้วมือขึ้นมา พร้อมกับนับทีละตัว
“ขายได้มากกว่าที่คิดแฮะ?”
ความเร็วนี้ทำให้มู่โหยวคาดไม่ถึงเช่นกัน
เขารีบเดินตามเสิ่นหยาลงไปข้างล่างเพื่อดู
แน่นอนว่าแฮมสเตอร์ในกรงมากกว่าครึ่งหนึ่งนั้นว่างเปล่า และกรงที่เหลือทั้งหมดก็ติดป้ายชื่อและหมายเลขโทรศัพท์ของลูกค้าที่จอง
สัตว์เลี้ยงฝึกหัดเหล่านี้ได้รับความนิยมเกินคาด!
“ผู้จัดการ เราควรทำยังไรต่อไป? เราไปศูนย์ดูแลสัตว์เลี้ยงเพื่อสั่งสัตว์เลี้ยงอีกชุดดีไหม?” เสิ่นหยาถาม
“ก็จริงอยู่ แต่…ยังไม่ใช่ตอนนี้”
มู่โหยวส่ายหัวหลังจากคิดถึงเรื่องนี้
แม้ว่าเขาจะใช้เวลาเพียง 10 นาทีในการฝึกสัตว์เลี้ยงให้เชื่องได้ เขาเพียงอยากฝึกสัตว์เลี้ยงแค่สองถึง 2-3 ตัวต่อวันเท่านั้น เพื่อไม่ให้ผู้คนมองว่ามันผิดปกติเกินไป
ตอนนี้มีการจองสัตว์เลี้ยงจำนวนมากในคราวเดียว ซึ่งก็เพียงพอแล้วสำหรับเขาที่จะฝึกฝนให้มันดูใช้เวลานาน และดูปกติที่สุด
นอกจากนี้ความนิยมของร้านยังดูเร็วเกินไปและต้องใช้เวลา ให้เกิดการบอกเล่ากันเป็นลูกโซ่แบบปากต่อปากเป็นระยะเวลาหนึ่งซะก่อน
“โอเค”
เสิ่นหยาตอบกลับอย่างสบายๆ เมื่อเห็นว่ามู่โหยวไม่มีข้อชี้แนะอะไรเเล้ว เธอจึงไม่พูดหรือถามอะไรอีก จากนั้นจึงรีบเดินไปที่หน้าเคาน์เตอร์ของร้าน เพื่อตอนรับลูกค้าต่อไป
ตอนนี้เสิ่นหยาป็นพนักงานเพียงคนเดียวในร้าน โดยปกติแล้วลูกค้าจะไม่ค่อยเข้ามาใช้บริการมากนัก แต่หลังจากเหตุการณ์ในวันนี้ที่มีผู้คนมากมายเข้ามาใช้บริการอย่างมาก จึงทำให้เห็นได้ชัดว่า ร้านกำลังขาดแคลนพนักงาน ซึ่งเขาคิดว่าจะต้องมีพนักงานเพิ่มอีกสัก 3-4 คน
“เราควรรับสมัครพนักงานเพิ่มไหมนะ...”
เมื่อมองดูเสิ่นหยาที่กำลังยุ่งวุ่นวายกับการทำงานอยู่ มู่โหยวก็ลูบคางพร้อมกับคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ถ้าผู้จัดการต้องการสั่งสัตว์เลี้ยงเพิ่ม คุณสามารถไปที่สถานรับเลี้ยงสัตว์แห่งนี้ได้นะ” ในเวลานี้ มีเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างๆ
เมื่อหันหน้าไป เขาก็เห็นว่าเป็น จ้าวเฉียน สัตวแพทย์คนสวยจากก่อนหน้านี้ ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ และยื่นนามบัตรให้เขา
มู่โหยวหยิบนามบัตรขึ้นมาและดู ผู้ดูแลศูนย์เพาะพันธุ์สัตว์ Times Cute Pet
“Times Cute Pet? คุณรู้จักกับผู้ดูแลศูนย์แห่งนี้หรอ?”
มู่โหยวมองไปที่จ้าวเฉียนด้วยความสงสัย
Times Cute Pets เป็นศูนย์เพาะพันธุ์สัตว์เลี้ยงที่มีชื่อเสียงในประเทศ สัตว์เลี้ยงที่ผลิตออกมามีคุณภาพสูงและราคาถูก และเป็นที่รู้จักในแวดวงสัตว์เลี้ยง แต่ศูนย์นี้เข้มงวดมากเกี่ยวกับการเลือกร้านที่เหมาะสมที่จะทำสัตว์จากที่นี้ไป มีร้านขายสัตว์เลี้ยงขนาดใหญ่หลายแห่งที่ถูกปฏิเสธไป
มู่โหยวเคยติดต่อที่จะซื้อสัตว์เลี้ยงจาก Times Cute Pet หลายครั้ง แต่น่าเสียดายที่พวกเขาถูกปฏิเสธทุกครั้ง
โดยไม่คาดคิด ในตอนนี้ จ้าวเฉียนได้หยิบนามบัตรของผู้ดูแล Times Cute Pets ออกมาโดยไม่ตั้งใจ
อย่างไรก็ตาม ผู้ดูแลก็มีนามสกุลจ้าวเหมือนกัน ดังนั้นบางที...
“ศูนย์นี้เป็นของครอบครัวฉันเอง”
แน่นอนว่าสิ่งที่จ้าวเฉียนพูดมาเป็นการยืนยันการคาดเดาของมู่โหยว
“ฉันก็คิดไว้แล้ว…”
“อันที่จริง ฉันแค่อยากรู้ว่าเลี้ยงของคุณได้รับการฝึกมายังไง” จ้าวเฉียนถาม เมื่อเห็นอีกฝ่ายรับนามบัตร
เธออยู่ในร้านทั้งเช้าและเห็นด้วยตาตัวเองแล้วว่าสัตว์เลี้ยงในบริเวณที่จัดแสดงนั้นน่าทึ่งขนาดไหน เธอไม่อยากคิดเลยว่าถ้าสัตว์เลี้ยงเหล่านี้ถูกนำไปแข่งขันสัตว์เลี้ยงระดับนานาชาติ พวกมันทั้งหมดจะต้องชนะรางวัลเป็นแน่
เธอจะไม่แปลกใจเลยถ้าเจอสัตว์เลี้ยงเหล่านี้อยู่ในมือของผู้ฝึกสัตว์ชื่อดัง แต่บังเอิญว่าพวกมันกลับอยู่ในร้านขายสัตว์เลี้ยงเล็กๆ แห่งนี้ และมีอยู่ไม่กี่ตัวเท่านั้น...
“ขออภัยด้วย นี่เป็นความลับทางการค้า ผมขอไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ” มู่โหยวกล่าวทันที
ตัวเขาเองยังไม่ผ่านใบรับรองการฝึกสัตว์เลี้ยง แต่พ่อแม่ของเขาผ่านแล้ว พ่อและแม่ของเขาทั้งคู่เป็นผู้ฝึกสอนสัตว์เลี้ยงมืออาชีพที่ชำนาญ และมีสัตว์เลี้ยงไม่กี่ตัวที่ได้รับการฝึกฝนในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา
มู่โหยวคิดเรื่องนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว และเมื่อใดก็ตามที่มีคนถามเขาว่าแล้วจะฝึกสัตว์เลี้ยงได้อย่างไรหากไม่มีมัน เขาก็มักอ้างพ่อแม่ของเขาเสมอ
แน่นอนว่าจ้าวเฉียนไม่กล้าที่จะถามต่อหลังจากได้ยินคำพูดนั้น เขาได้ตอบอย่างชัดเจนแล้วว่านี่เป็นความลับทางการค้า และเธอจะไม่รู้ว่าจะหาวิธีตรวจสอบเขาได้อย่างไร
หลังจากที่อยู่ที่นี่ตลอดทั้งเช้า ในเวลานี้จ้าวเฉียนก็ได้เตรียมตัวที่จะกลับเช่นกัน
แต่ก่อนจะจากไป จู่ๆ เธอก็หันศีรษะไปมองมู่โหยว มองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วถามว่า “จริงๆ แล้ว ฉันก็ยังสงสัยอยู่ว่า ในโลกนี้มีคนที่สามารถเป็นมิตรกับสัตว์อย่างเป็นธรรมชาติได้จริงหรือเปล่า?”
แม้ว่ามู่โหยวจะไม่ได้บอกเธอถึงวิธีฝึกสัตว์เลี้ยงเหล่านั้น แต่เธอก็ยังคงรู้สึกได้ว่าความสามารถในการฝึกสัตว์เลี้ยงในระดับนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับทักษะอย่างเดียว สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ ‘พรสวรรค์’
เธอเป็นนักเรียนดีเด่นที่จบสาขาวิชาสัตวแพทยศาสตร์ หนังสือเรียนบอกเธอเสมอว่าในสายตาของสัตว์ คนทั่วๆ ไปไม่มีความแตกต่างกัน มีเพียงความแตกต่างในพฤติกรรมและกลิ่นที่ได้รับเท่านั้น ตามธรรมชาติไม่มีทางที่จะสามารถสนิทสนมกับสัตว์ทุกชนิดได้ ยกเว้นสัตว์บางชนิด แต่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ดูเหมือนจะขัดต่อการหลักการของเธอ
“ไม่มีสิ่งที่อธิบายไม่ได้ในโลกนี้ และตอนนี้เราไม่สามารถอธิบายมันได้ ก็เพราะเรามีความรู้ไม่เพียงพอ” มู่โหยวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เขาคิดถึงเวทมนตร์สองสามอย่างที่เขาได้เรียนรู้มา จากมุมมองของคนที่ไม่เข้าใจเวทมนตร์ มันจะต้องเป็นสิ่งที่วิเศษมาก ซึ่งวิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้
แต่หลังจากได้ใช้เวทมนตร์กับตัวจริงๆ มู่โหยวรู้สึกว่ามันเป็นระบบที่ซับซ้อนและหักล้างกับหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ของมนุษย์อย่างมาก มันมีวงจรตรรกศาสตร์และทฤษฎีบทที่สมบูรณ์ของตัวมันเอง นั่นจึงทำให้มนุษย์ไม่สามารถเข้าใจมันได้
เขาเชื่อว่าวันหนึ่งในอนาคต เมื่อผู้คนก้าวเข้าสู่โลกนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ และเรียนรู้คาถาเวทมนตร์มากขึ้น บางทีเราอาจค้นพบวิธีเรียนรู้ หลักการทำงาน หรือทฤษฎีต่างๆ และในที่สุดมนุษย์ก็จะเข้าใจมันอย่างถ่องแท้
จ้าวเฉียนหยุดนิ่งเมื่อได้ยินคำพูดนั้น เธอจ้องไปที่ใบหน้าของมู่โหยวเป็นเวลานาน แล้วพูดด้วยความแปลกใจ “คุณดูเหมือนเพื่อนของฉันคนนหนึ่ง…”
“เพื่อน?”
“ใช่ เธอเคยพูดแบบนี้กับฉัน...และเธอก็พูดด้วยน้ำเสียงเดียวกันกับคุณด้วย!” จ้าวเฉียนถอนหายใจ
ดวงตาของมู่โหยวเป็นประกาย “เพื่อนของคุณทำอะไรหรอ? เป็นสัตวแพทย์ใช่ไหม?”
จ้าวเฉียนเข้าใจทันทีว่าเขาหมายถึงอะไร เธอจึงกลอกตาแล้วพูดว่า “หยุดความคิดนั้นก่อน เพื่อนของฉันเป็นนักเรียนเกียรตินิยมที่มีปริญญาเอกสาขาสัตวแพทยศาสตร์ และเธอก็เดินทางไปต่างประเทศเมื่อสี่ปีที่แล้ว…”
จ้าวเฉียนไม่ได้พูดต่อแต่ความหมายก็ชัดเจนมากพอแล้ว คนที่มีความสามารถระดับนี้จะทำงานในร้านขายสัตว์เลี้ยงที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักได้อย่างไร?