1233 - แนวคิดแห่งความเป็นอมตะ
1233 - แนวคิดแห่งความเป็นอมตะ
หลังจากนั้นทุกคนก็เดินออกมาจากถ้ำเสือ เย่ฟ่านครุ่นคิดอยู่ภายในใจ เขารู้สึกว่าทุกอย่างมันฝืนความรู้ความเข้าใจของเขาไปโดยสิ้นเชิง เหตุการณ์ไม่น่าจะเป็นแบบนี้ได้
“พวกเขาตายไปแล้วจริงๆ เราทำผิดครั้งใหญ่แล้ว” ผังป๋อกล่าว
จี้จือเยว่กล่าวว่า “สิ่งที่น่าสงสัยที่สุดคือมันไม่มีอะไรน่าสงสัยเลย ข้าคิดว่าเราควรหาผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบเรื่องนี้ให้แน่ชัด เพราะมันเหมือนอีกฝ่ายจงใจทำลายข้อบ่งชี้ทั้งหมดทำให้เราไม่สามารถมองเห็นความจริงได้”
“ถูกต้อง!” เย่ฟ่านพยักหน้า
“เรียกต้วนเต๋อดีกว่า” ผังป๋อกล่าว
“โจรปล้นสุสาน เขามีวิธีการพิเศษในการแยกแยะความถูกต้องเราควรเรียกเขามาไขคดีนี้”
จักรพรรดิดำกล่าว แม้ว่ามันจะยกย่องในความสามารถของต้วนเต๋อ แต่วิธีการเรียกของมันยังคงมีท่าทีดูถูกเหยียดหยามเช่นเดิม
การอัญเชิญต้วนเต๋อนั้นง่ายมาก พวกเขาเพียงปล่อยข่าวลือออกไปว่ามีสุสานของเซียนผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งถูกค้นพบในภาคใต้ สุสานนั้นเปิดขึ้นจากการต่อสู้ของพระพุทธเจ้าโต้วจ้านนั่นเอง
เหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าโต้วจ้านลงมือต่อสู้กับผู้ยิ่งใหญ่ในเหวลึกสั่นสะเทือนโลกทั้งใบ มันไม่มีทางที่ต้วนเต๋อจะมองเห็นความจริงได้
จากนั้นผู้บ่มเพาะจำนวนมากก็หลั่งไหลมาที่บริเวณใกล้เคียงกับดินแดนต้องห้ามแห่งชีวิต
ในเวลาไม่นานต้วนเต๋อที่ปลอมตัวเป็นชายชราคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น
อย่างไรก็ตามเย่ฟ่านและเฮยหวงไม่คิดจะเปิดโอกาสให้เขามีเวลาพิจารณาอีกต่อไป ทั้งสองคนออกไล่ล่าและจับกุมต้วนเต๋อได้อย่างง่ายดาย
“พวกเจ้าคิดว่าข้าเป็นอสูรอัญเชิญหรือจึงคิดจะเรียกข้ามาเมื่อใดก็ได้?” ต้วนเต๋อกล่าวด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างมาก
เมื่อต้วนเต๋อมาที่ถ้ำเสือเส้นขนทั่วร่างของเขาก็ตั้งตรงด้วยความกลัว เขาก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวแล้วกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า
“เจ้ากระตุ้นการดำรงอยู่แบบใด?”
“เจ้าอ้วน เจ้าจงใจทำให้เรากลัวแบบนี้หรือเจ้าไม่อยากได้รางวัลแล้ว?” จักรพรรดิดำแยกเขี้ยว
“ข้ากำลังบอกความจริง มีปีศาจที่น่ากลัวอย่างยิ่งเคยอยู่ที่นี่ ข้าเคยพบพวกมันในหลุมศพของเซียนโบราณเท่านั้น และข้าเกือบตายที่นั่น” เจ้าอ้วนต้วนตกตะลึง
“ไม่หรอก มันเป็นแค่ถ้ำที่มีคนตายสามคน เสือตายสามตัว และจระเข้ตายอีกสิบตัว ราชาปีศาจจะมาเกิดได้อย่างไร?” ผังป๋อหล่าว
ต้วนเต๋อหยิบกระจกโบราณที่เขาขโมยมาจากดินแดนนรกก่อนหน้านี้ออกมา นี่เป็นเหตุผลที่เย่ฟ่านและคนอื่นๆ เชิญเขามาที่นี่
นี่เป็นกระดูกเต๋าเพียงชิ้นเดียวที่เหลืออยู่โดยเซียนผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์หลังจากที่กลับคืนสู่เต่าแล้ว มันเป็นชิ้นบนหน้าผากซึ่งจะคงอยู่ตลอดไป
กระดูกหน้าผากเป็นกระดูกเต๋าอมตะของมนุษย์ กระจกที่ทำจากกระดูกเต๋าย่อมมีความซับซ้อนอย่างไร้ขีดจำกัด และมีประโยชน์ที่ยอดเยี่ยมมากมาย
แสงกระจกส่องไปที่ถ้ำโบราณและภาพสลัวปรากฏขึ้น สีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวของหลิวอวิ๋นจื่อ หลี่ฉางชิง หวังเอี๋ยนปรากฏสู่สายตาของทุกคน
จากนั้นจระเข้ศักดิ์สิทธิ์และเสือตัวใหญ่ก็ต่อสู้กัน มันต้องการแย่งชิงคนทั้งสามให้กลายเป็นเหยื่อของตัวเอง
อย่างไรก็ตามเมื่อถึงช่วงเวลาวิกฤตกลับมีเงาพร่ามัวตนหนึ่งเข้าไปในถ้ำ มันสังหารจระเข้ศักดิ์สิทธิ์และเสือตัวนั้นอย่างง่ายดายก่อนจะคว้าร่างของหลิวอวิ๋นจื่อ หลี่ฉางชิง และหวังเอี๋ยนที่หมดสติออกไป
“นี่คือความจริง!” ผังป๋อตะโกนพร้อมกำหมัดแน่น
ในเวลานี้ ต้วนเต๋อหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ ร่างกายของเขาสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
“ครั้งนี้เราโชคร้ายเข้าแล้ว นี่คือปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็น”
ทันใดนั้นแสงจากกระจกก็กระพริบเป็นครั้งสุดท้าย เงาดำพร่ามัวคว้าทั้งสามคนเดินออกจากถ้ำโบราณ มันหันกลับมามองทุกคนและยิ้มอย่างสดใสคล้ายกับรู้อยู่แล้วว่ากลุ่มของเย่ฟ่านจะต้องมองเห็นความลับนี้สักวัน
เมื่อก่อนทุกอย่างพร่ามัวจนมองไม่เห็นรูปร่างที่แท้จริงของมัน แต่ขณะนี้หลายคนเห็นปีศาจตัวนี้เป็นครั้งแรก มันดุร้ายและน่าสะพรึงกลัว มีฟันสีขาวราวกับหิมะ ดวงตาซีดเซียวราวกับปลาตาย ร่างสีดำสนิท ไม่มีรัศมีพลังชีวิตแม้แต่น้อย
ทุกคนถอยกลับด้วยความกลัว ปีศาจตัวนี้แข็งแกร่งอย่างยิ่ง บางทีมันอาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตระดับเซียนผู้ยิ่งใหญ่เลยก็ได้ แม้แต่เฟิ่งหวงตัวน้อยในอ้อมแขนของจี้จื่อเยว่ก็ยังกรีดร้องออกมา
จากนั้นทุกอย่างก็มืดมิดลงไป ในถ้ำเหลือเพียงความหนาวเหน็บที่แผ่ออกไปรอบทิศทาง
“มันคือปีศาจตัวที่เรามองเห็นในโลงศพทองแดง!” ผังป๋อกล่าว
“ใช่แล้ว มันตามเรามาจริงๆ” ใจของเย่ฟ่านจมลง
ทั้งสามคนไม่ได้ถูกจระเข้ศักดิ์สิทธิ์ฆ่า แต่ได้รับการช่วยเหลือจากวิญญาณชั่วร้าย ซึ่งปกปิดความจริงของสถานที่แห่งนี้ไว้ เย่ฟ่านและผังป๋อนึกย้อนอดีตพร้อมๆ กัน
เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งเสียชีวิตในโลงศพทองแดงอย่างอธิบายไม่ถูก คอของเขาฟกช้ำ เต็มไปด้วยคราบเลือด ดูเหมือนถูกใครบางคนบีบคอจนตาย
ในตอนนั้นเย่ฟ่านและผังป๋อถูกกล่าวหาว่าเป็นคนฆ่าเขา แม้ว่าเย่ฟ่านจะพยายามพิสูจน์ว่าชายคนนั้นถูกจระเข้ศักดิ์สิทธิ์ฆ่า แต่รอยนิ้วมือสีม่วงบนคอของเขานั้นชัดเจนและยากที่จะอธิบายได้
“เพื่อนร่วมชั้นในตอนนั้นเป็นคนแรกที่ถูกปีศาจร้ายรัดคอตายจากนั้นจึงใช้ร่างกายของเขาเป็นพาหนะเพื่อบรรทุกจระเข้ศักดิ์สิทธิ์มาที่นี่”
ผังป๋อตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น ย้อนกลับไปตอนนั้น เพื่อนที่ตายคนนี้ยืนอยู่ข้างๆ เย่ฟ่าน และเสียชีวิตด้วยวิธีที่แปลกประหลาดมันเป็นโชคดีของเย่ฟ่านอย่างแท้จริงที่ปีศาจร้ายตัวนั้นไม่ได้เลือกเขา!
ต้วนเต๋อมีเหงื่อไหลท่วมใบหน้าและกล่าวว่า “ให้ตายเถอะ เหตุใดพวกเจ้าจึงต้องมองหาปัญหาอยู่เสมอ ปีศาจตัวนี้ทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อ มันเทียบได้กับเซียนที่บ่มเพาะมาไม่ต่ำกว่าเจ็ดพันปี และมันเป็นสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายที่มีความหมกมุ่นที่จะทำเรื่องบางอย่างให้สำเร็จ มันจะไม่ยอมเลิกราจนกว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะตายไป”!
“หลิวอวิ๋นจื่อ หลี่ฉางชิง และหวังเอี๋ยนยังไม่ตาย ตอนนี้มีปีศาจชั่วร้ายและจระเข้ศักดิ์สิทธิ์อาศัยอยู่ในโลก มันยังมีความลับอะไรที่เรายังไม่รู้อีกบ้าง?”
ผังป๋อรำพึงกับตัวเอง ขั้นตอนการข้ามจักรวาลที่เต็มไปด้วยดวงดาวนั้นมีความซับซ้อนมากกว่าที่พวกเขาจินตนาการไว้หลายเท่า
“เดี๋ยวก่อนเจ้าบอกว่าเจ้าเคยไปเยือนดาวอังคารใช่ไหม สถานที่ซึ่งศากยมุนีมาปราบปรามสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายไว้?”
ดวงตาของต้วนเต๋อเปล่งประกายเจิดจ้าคล้ายกับจดจำบางสิ่งบางอย่างได้
“ข้าจำได้ว่า เมื่อข้าขุดสุสานแห่งหนึ่ง ข้ากลับค้นพบชายชราหัวโล้นคนหนึ่งนั่งสมาธิอยู่ภายในสุสานนั้น เขาบอกว่าตัวเองเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ทั้งสิบของศากยมุนี หลังจากพูดคุยกันตลอดทั้งคืนข้าก็ได้รับข้อมูลบางอย่าง…”
ในสุสานแห่งนั้น นักบวชเฒ่านั่งตรงข้ามกับต้วนเต๋อและพูดคุยเกี่ยวกับความแปลกประหลาดในสุสาน
เขาบอกว่าในชีวิตนั้นเขาเคยปราบวิญญาณชั่วร้ายมามากมายแต่ไม่มีตัวใดยิ่งใหญ่เทียบเท่ากับตัวที่ถูกศากยมุนีปราบปรามไว้ในดาวอังคาร
“เขาบอกว่าวิญญาณชั่วร้ายเหล่านี้เกิดขึ้นจากวิญญาณของเซียนผู้ยิ่งใหญ่ที่ตายไปแล้ว เมื่อกลายเป็นปีศาจมันจึงถูกเรียกว่าวิญญาณเซียนปีศาจ เป็นความคิดชั่วร้ายอันทรงพลังที่ไม่ยอมเข้าสู่สังสารวัฏ”
“ความคิดอันชั่วร้ายของเซียน?” ผังป๋อรู้สึกประหลาดใจแล้วกล่าวว่า “มันมีลักษณะเดียวกันกับวิญญาณเทพหรือไม่?”
“เขาบอกว่ามันเป็นปีศาจที่ทรงพลังชนิดหนึ่ง ตามที่ข้าได้ยินมาลักษณะของมันค่อนข้างคล้ายคลึงกับวิญญาณเทพที่อยู่ในสุสานเซียนอย่างยิ่ง!”
ตามตำนานกล่าวไว้ว่าหลังจากที่เทพซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตอมตะประสบกับความตายอย่างคับแค้นใจวิญญาณของพวกเขาจะเปลี่ยนตัวเองกลายเป็นสิ่งชั่วร้ายที่เต็มไปด้วยความหมกมุ่น
เย่ฟ่านเคยพบเจอกับวิญญาณของเทพเหล่านี้อยู่บ้าง คนแรกคือวิญญาณเทพของจักรพรรดิอมตะที่กลายเป็นวิญญาณชั่วร้ายในสุสานเซียน
อีกคนคือชายชราแขนเดียวซึ่งพาเขาเดินทางสู่ทุ่งดวงดาวจื่อเว่ย ชายชราคนนั้นคือวิญญาณเทพของจักรพรรดิสุริยัน อย่างไรก็ตามเย่ฟ่านไม่ได้รู้สึกว่าวิญญาณเทพของทั้งสองคนจะชั่วร้ายเหมือนวิญญาณเทพที่เขาพบในโลงศพทองแดง
“แนวคิดเรื่องเทพนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าสิ่งมีชีวิตอมตะด้วยซ้ำ นั่นก็เพราะพวกเขาคือสิ่งมีชีวิตอมตะที่แท้จริงซึ่งได้รับการบูชาอย่างไม่รู้จบจนกลายเป็นเทพของผู้คนมากมาย” จักรพรรดิดำกล่าว
หัวใจของเย่ฟ่านจมลง ความคิดที่ว่าปีศาจตนนั้นเคยมีร่างกายเป็นถึงเทพมันทำให้เขาเกิดความหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
“นักบวชเฒ่ากล่าวว่าทุกสิ่งที่ศากยมุนีปราบปรามอยู่ในเจดีย์สิบแปดชั้นของวันต้าเล่ยหยินล้วนแล้วแต่เป็นเทพทั้งสิ้น สิ่งมีชีวิตเหล่านี้น่าสะพรึงกลัวอย่างถึงที่สุดเพราะแม้ว่าพวกมันจะตายไปแล้วแต่ก็ยังสามารถใช้ความคิดของตัวเองสร้างผลไม้เต๋าขึ้นมาใหม่ได้” ต้วนเต๋อกล่าว
“เจ้ากำลังกล่าวถึงเรื่องอะไร?” วานรศักดิ์สิทธิ์กล่าวด้วยความสงสัย
นั่นก็เพราะแม้แต่จักรพรรดิอมตะก็ยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงความตายได้ แต่หากสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นสามารถใช้ความคิดของตัวเองสร้างผลไม้เต๋าขึ้นได้ พวกมันก็จะสามารถบรรลุการเป็นเซียนได้อย่างไม่รู้จบและก็จะมีชีวิตคงอยู่ตลอดไปไม่ใช่หรือ?
………