บทที่ 136: ขุนนางที่ไร้ประโยชน์และขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงที่ได้รับการเลื่อนขั้น!
บทที่ 136: ขุนนางที่ไร้ประโยชน์และขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงที่ได้รับการเลื่อนขั้น!
ในท้ายที่สุด หลินเป่ยฟานก็ยอมรับรางวัลของจักรพรรดินีพร้อมน้ำตาที่รินไหลออกมา
จักรพรรดินีจึงกล่าวว่า “ท่านหลิน เนื่องจากเกิดการรั่วไหลในกรมโยธาติดต่อกัน ข้าจึงมีความกังวลอย่างมากถึงกรมนี้! ดังนั้นท่านคงต้องมีความขยันหมั่นเพียรมากขึ้น ติดตามกรมโยธาอย่างใกล้ชิด อย่าปล่อยให้วิธีการผลิตของเรือสะเทินน้ำสะเทินบกรั่วไหลอีกครั้ง! จงมุ่งมั่นที่จะผลิตเรือสะเทินน้ำสะเทินบกจำนวนมาก เพิ่มอำนาจของอาณาจักรของเราจนทำให้โลกต้องตกตะลึง!”
“ขอรับฝ่าบาท!” หลินเป่ยฟานน้อมรับคำสั่งอย่างมีความสุข
กรณีของการรั่วไหลของวิธีการผลิตเรือสะเทินน้ำสะเทินบกได้สิ้นสุดลงแล้ว
ถัดมา หลินเป่ยฟานจึงเปลี่ยนความสนใจกลับไปที่สำนักศึกษาหลวง
เป็นเวลาครึ่งเดือนแล้วที่เขาเข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่
ในช่วงครึ่งเดือนนี้ หลินเป่ยฟานมุ่งเน้นไปที่การรับมอบตำแหน่งใหม่เป็นหลัก เขาครอบครองสิทธิ์ทั้งหมดจากการเป็นผู้อำนวยการใหญ่ ได้รับความสามารถในการควบคุมโดยสมบูรณ์ของสำนักศึกษาหลวง
กระบวนการส่งมอบตำแหน่งเป็นไปอย่างราบรื่นและไม่มีใครกล้าที่จะแย้ง!
อันที่จริง ไม่มีใครกล้าขัดขืนเลยต่างหาก!
หลินเป่ยฟานเป็นคนที่ได้รับความชื่นชอบอย่างยิ่งจากจักรพรรดินี!
เขาได้ล่วงเกินเสนาบดีฝ่ายพลเรือนและทหารนับไม่ถ้วนหลายครั้ง แต่เขาก็ยังมีชีวิตที่ไร้กังวลเช่นเดิม!
เขาจัดการกับกรมโยธาอย่างละเอียด โดยไม่ทิ้งอะไรไว้ข้างหลังเลย!
ด้วยตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ ใครกันจะกล้าทำให้เขาขุ่นเคือง?
แต่เขาก็ยังพบปัญหาบางอย่าง
ประเด็นหลักคือเขายุ่งเกินไป เขาไม่เพียงแต่ต้องดูแลเรื่องที่สำนักศึกษาหลวงเท่านั้น แต่ยังต้องจับตาดูกรมโยธาด้วย เขายังต้องเข้าร่วมการประชุมในราชสำนักช่วงรุ่งสางทุกวันเพื่อช่วยจักรพรรดินีในกิจการของรัฐอีก
ดังนั้นเขาจึงต้องรีบหาคนบางคนที่จะแบ่งปันภาระงานของเขา
ในเย็นวันนี้ หลินเป่ยฟานก็ได้มาถึงที่อยู่อาศัยของอดีตผู้ตรวจการเหยาเจิ้ง พร้อมกับถังเหล้าชั้นเลิศด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา
เหยาเจิ้งนำครอบครัวของเขาไปทักทายหลินเป่ยฟานที่ประตูและกล่าวว่า “ข้าขอคำนับผู้อำนวยการใหญ่!”
แม้ว่าเหยาเจิ้งจะไม่ชอบหลินเป่ยฟานและพฤติกรรมฉ้อราษฎร์บังหลวงของเขา
ทว่าหลินเป่ยฟานยังคงเป็นผู้นำของเขา ทั้งยังเป็นผู้อำนวยการใหญ่ที่น่านับถืออีก ทำให้เหยาเจิ้งต้องปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพ มิฉะนั้นมันย่อมกลายเป็นเรื่องที่สมควรต้องเยาะเย้ยแน่
“ไม่จำเป็นต้องเป็นทางการขนาดนั้นหรอก!” หลินเป่ยฟานยิ้มและกล่าวว่า “ท่านเหยา หายากมากเลยนะที่ในวันนี้จะมีเวลาว่างด้วย ข้าเตรียมเหล้าและของดีมาฝาก เรามาดื่มกันหน่อยไหม?”
“เป็นเกียรติอย่างยิ่ง ผู้อำนวยการใหญ่!” เหยาเจิ้งเปิดทางให้เขา
ทั้งสองคนนั่งอยู่ในห้องเดียวกัน
บนโต๊ะมีเหล้าและของว่างให้เพลิดเพลินไประหว่างพูดคุย
แม้จะเป็นแค่เหล้าและของว่าง แต่พวกมันหาใช่ธรรมดา
เหล้าก็เป็นเหล้าชั้นเลิศที่จักรพรรดินีมอบให้ ส่วนของว่างมาจากห้องครัวของจักรพรรดิ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถซื้อได้จากข้างนอกด้วยเงิน
ทันทีที่เปิดถังเหล้า เหยาเจิ้งก็แทบรอไม่ไหวที่จะดื่มอย่างเพลิดเพลิน
“เหล้านัยน์ตามังกรนี้ช่างมีกลิ่นหอมหวนเสียจริงๆ! ครั้งก่อนที่ข้าดื่มมันก็คือในยามงานเลี้ยงที่พระราชวังอันยิ่งใหญ่เมื่อสามปีก่อน! แต่ตอนนั้น ข้าอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำต้อยและได้เพียงถ้วยเดียวเท่านั้น! รสชาตินั้นลืมไม่ลงกระทั่งยามนี้!”
“มันเลิศรสตราตรึงขนาดนั้นเลยหรือ?” หลินเป่ยฟานยกถ้วยเหล้าขึ้นและจิบหนึ่งครั้งและเอ่ยถาม
จากนั้นหลินเป่ยฟานก็ดื่มอีกสองถ้วยและกล่าวว่า “ข้าเพียงรู้สึกว่ารสชาติมันธรรมดาดาษดื่นเพียงเท่านั้น”
เหยาเจิ้งถอนหายใจและกล่าวตอบว่า “การดื่มแบบนั้นมันเสียเปล่า คล้ายดั่งวัวเคี้ยวดอกโบตั๋น เหล้าชั้นเลิศแบบนี้ควรลิ้มรสอย่างช้าๆ! ก่อนอื่นต้องดมกลิ่นหอม ปล่อยให้มันไหลผ่านทางเดินจมูกของท่าน และปล่อยให้กลิ่นหอมทำให้มันมึนเมา!”
“จากนั้นจึงจิบ อย่ากลืน ปล่อยให้มันค้างอยู่ในปากของท่านและลิ้มรสมัน ปล่อยให้ต่อมรับรสของท่านได้สัมผัสกับมันอย่างเต็มที่!”
“สุดท้ายจิบทีละเล็กทีละน้อย!”
“เพียงเท่านี้ ท่านก็จะได้ลิ้มรสแก่นแท้ของไวน์นัยน์ตามังกรอย่างแท้จริง!”
“ให้ข้าแสดงให้ท่านได้ประจักษ์เอง!”
ด้วยเหตุนี้ เหยาเจิ้งจึงแสดงให้หลินเป่ยฟานได้เห็นและพอหยิบถ้วยขึ้นมา เขาก็อุทานอย่างมีความสุขว่า “กลิ่นหอมนัก!”
หลินเป่ยฟานกะพริบตาและกล่าวถามว่า “ท่านเหยา มันมีกลิ่นหอมมากจริงหรือ? เหตุใดข้าจึงสัมผัสไม่ได้เลย? ผู้ใดเป็นผู้คิดค้นวิธีการดื่มเช่นนี้กัน? หรือเพราะคนผู้นั้นยากจนมากจนไม่สามารถดื่มได้ ดังนั้นพวกเขาจึงคิดหาวิธีดื่มด้วยตนเองเช่นนี้?”
เหยาเจิ้งถึงกับไอออกมา…
หลินเป่ยฟานรีบตบหลังของเขาและกล่าวว่า “ท่านเหยา ใจเย็นๆ ไม่มีใครแข่งกับท่านเลย!”
เหยาเจิ้งส่งสายตาโกรธมาให้ทางหลินเป่ยฟาน
ทุกครั้งที่เขาพูดคุยกับอีกฝ่าย เขามักจะถูกทำให้รู้สึกโกรธยิ่งนัก!
ปากของอีกฝ่ายมันมีพิษมากเกินไปแล้ว!
อะไรจะน่าโมโหไปกว่านี้...
สายตาของเขายิ่งน่ารังเกียจ!
“ช่างเรื่องเหล่านั้นไปเถิด” เหยาเจิ้งยกถ้วยเหล้าขึ้นและพูดด้วยความจริงจัง “ข้าขออวยพรท่านหลิน ขอให้ท่านได้เลื่อนตำแหน่งและประสบความสำเร็จในฐานะผู้อำนวยการใหญ่ของสำนักศึกษาหลวง!”
“ขอบคุณท่านเหยา!” หลินเป่ยฟานยกถ้วยขึ้นพร้อมเผยรอยยิ้มออกมา
พวกเขากำถ้วยของพวกเขาชนเข้าด้วยกัน และดื่มเครื่องดื่มของตนจนหมดสิ้นในครั้งเดียว!
หลังจากดื่มเหล้าลงไป ใบหน้าของเหยาเจิ้งก็แดงเล็กน้อย เขาจ้องมองไปทางหลินเป่ยฟานด้วยความอิจฉา!
กล่าวตามตรง เขาอิจฉามากจริงๆ!
ในเวลาเพียงสามปีสั้นๆ อีกฝ่ายก็ได้รับคะแนนสูงสุดในการสอบจอหงวน!
ซึ่งภายในเวลาเพียงสี่เดือน เขาก็ได้ก้าวกระโดดขึ้นสี่อันดับ กลายเป็นผู้อำนวยการใหญ่ของสำนักศึกษาหลวง ด้วยการเป็นขุนนางระดับสี่!
ได้กลายเป็นผู้อำนวยการใหญ่ของสำนักศึกษาหลวงที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีคนแรกในประวัติศาสตร์!
หากทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น มีความเป็นไปได้ที่เขาจะไปถึงตำแหน่งเสนาบดีระดับสูงหรือแม้แต่อัครมหาเสนาบดี!
ในทางตรงกันข้าม เขาที่เป็นผู้ตรวจการมาตลอดชีวิต กลับดำรงตำแหน่งเพียงผู้ตรวจการระดับเจ็ดเท่านั้น!
เมื่อเทียบกับอีกฝ่าย ความแตกต่างนี้ช่างมากเหลือล้น!
เหล้าทำให้เขากล้าขึ้น เหยาเจิ้งกล่าวด้วยนำเสียงจริงจัง “ท่านหลิน ยามนี้ท่านได้กลายเป็นผู้อำนวยการใหญ่ของสำนักศึกษาหลวงแล้ว ท่านเป็นบุคคลตัวอย่างสำหรับบัณฑิตทั่วอาณาจักร! คำพูดและการกระทำของท่านมีอิทธิพลอย่างมากต่อชุมชนบัณฑิตทั้งหมด! ยังไม่สายเกินไปที่จะหยุดเสียตอนนี้ อย่าทำผิดพลาดอีก!”
หลินเป่ยฟานรินเหล้าอีกถ้วยให้ตนเองด้วยรอยยิ้ม “ท่านเหยา ท่านกำลังพยายามสอนข้าว่าควรจะเป็นขุนนางเช่นไรงั้นหรือ?”
เหยาเจิ้งส่ายศีรษะ “ข้าไม่กล้าสั่งสอน เพียงกล่าวให้ตระหนัก! ท่านยังเยาว์วัยและมีอนาคตที่สดใสรออยู่ข้างหน้า มันคงจะน่าเสียดายมากหากท่านทำลายมันเพราะเรื่องเหล่านี้!”
“ข้าซาบซึ้งยิ่งในความตั้งใจของท่านท่านเหยา!” หลินเป่ยฟานกำถ้วยของเขากับเหยาเจิ้งและยิ้ม “ทว่ายามนี้ข้ามีคำถามให้ท่าน ท่านคิดว่าจักรพรรดินีต้องการขุนนางประเภทไหน?”
เหยาเจิ้งไม่ลังเลที่จะกล่าวว่า “สิ่งที่จักรพรรดินีต้องการคือขุนนางที่ดี!”
หลินเป่ยฟานถามอีกครั้งว่า “แล้วคุณสมบัติของขุนนางที่ดีเป็นเช่นไร?”
เหยาเจิ้งจึงตอบโดยไม่ลังเลว่า “ขุนนางที่ซื่อสัตย์และทุ่มเทฝึกฝนการยับยั้งชั่งใจตนเอง ปฏิบัติตามความเหมาะสมและทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของราษฎร นั่นถึงจะเป็นขุนนางที่ดี!”
หลินเป่ยฟานถามเป็นครั้งที่สาม “แต่ยามนี้ราชสำนักทั้งหมดเต็มไปด้วยขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงและทรยศ ท่านจะอธิบายเรื่องนั้นได้ยังไง?”
“จักรพรรดินีถูกหลอกลวงโดยเหล่าขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงและทรยศ!”
หลินเป่ยฟานถามเป็นครั้งที่สี่ “ในเมื่อจักรพรรดินีถูกหลอกลวงโดยเหล่าขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงและทรยศ ทั้งราชสำนักก็เต็มไปด้วยพวกมัน ท่านคิดว่าราชสำนักจะล่มสลายหรือไม่? ท่านคิดว่าอาณาจักรอยู่ในความโกลาหลหรือไม่?”
เหยาเจิ้งถึงกับพูดไม่ออก "อืม..."
หลินเป่ยฟานยิ้มและส่ายศีรษะ “แม้ว่าทั้งราชสำนักจะเต็มไปด้วยขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงและผิดศีลธรรม แต่อาณาจักรก็ยังคงต้องดำเนินการตามปกติและจัดการกับกิจการของราชสำนัก แม้ว่าจะมีความวุ่นวายในอาณาจักร แต่ภายนอกมันยังคงสงบ!”
“ท่านเหยา เช่นนั้นให้ข้าถามท่านอีก ในสถานการณ์เช่นนี้ ผู้ใดถึงจะเหมาะสมกว่ากัน ระหว่างขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงหรือขุนนางผู้บริสุทธิ์?”
ใบหน้าของเหยาเจิ้งเริ่มเหงื่อเย็นเหยียบรินไหลออกมา “อืม …”
“ท่านตอบไม่ได้ใช่ไหมล่ะ? ให้ข้าตอบแทนท่านเอง!” หลินเป่ยฟานตะโกน “ทั้งราชวงศ์เป็นของจักรพรรดินี ไม่มีใครปกครองอาณาจักรนี้ได้ดีไปกว่าจักรพรรดินีอีกแล้ว ไม่มีใครหวังความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรนี้มากไปกว่าจักรพรรดินีอีกแล้ว!”
“ดังนั้นผู้ที่สามารถทำงานให้กับจักรพรรดินีได้คือขุนนางที่ดี! ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นขุนนางที่บริสุทธิ์หรือฉ้อราษฎร์บังหลวง มันก็ไม่ได้สร้างความแตกต่างให้กับนางเลย!”
“ถ้ามีขุนนางที่ทั้งบริสุทธิ์และสามารถทำงานให้นางได้สำเร็จ แน่นอนว่านางย่อมจะโปรดปรานคนผู้นั้นมากที่สุด!”
“แต่ถ้าพวกเขาไม่สามารถทำงานให้นางได้ ความบริสุทธิ์ซื่อสัตย์ของพวกเขาจะมีประโยชน์อะไรกัน?”
“เป็นเพราะขุนนางบริสุทธิ์ไม่มีประโยชน์ในราชสำนัก นางจึงได้แต่ต้องสนับสนุนเจ้าขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง!”
“เพราะนางไม่มีทางเลือกต่างหาก!”
“ไม่ใช่เลย เพราะในอีกไม่นาน อาณาจักรจะต้องตกอยู่ในความโกลาหลอย่างแน่นอน!”
หลินเป่ยฟานตั้งคำถามเสียงดัง “ท่านเหยา ข้าขอถามท่านอีกหนึ่งคำถาม หากท่านนั่งอยู่ในตำแหน่งของจักรพรรดินีในช่วงเวลาที่วิกฤตของชีวิตและความตาย ท่านจะเลือกใช้ขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงหรือขุนนางบริสุทธิ์?”
“ข้า… ข้า …” ใบหน้าของเหยาเจิ้งเต็มไปด้วยเหงื่อ เหมือนถูกต้อนจนมุม…
คำพูดของหลินเป่ยฟานทำให้โลกทัศน์ ค่านิยมและความเชื่อที่เขายึดถือมาตลอดพลิกผันไปอย่างสิ้นเชิง
เขาไม่เคยคิดเลยว่าเหตุผลที่ราชสำนักทั้งหมดเต็มไปด้วยขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงและผิดศีลธรรมจะเป็นเพราะขุนนางบริสุทธิ์ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นองค์จักรพรรดินีจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพึ่งพาขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง!
ถ้าพวกเขามีประโยชน์ องค์จักรพรรดินีคงจะไม่ลังเลที่จะใช้พวกเขา!
“ก็อย่างที่ท่านได้เห็น เมื่อกรมโยธาได้ก่อการทำชั่วสองครั้งก่อนหน้านี้ องค์จักรพรรดินีเพียงแค่หักเงินเดือนของพวกเขาและประหารชีวิตขุนนางระดับต่ำสองสามคนเพื่อระบายความโกรธของนาง มันสมควรลงโทษเล็กน้อยเช่นนี้หรือ? ด้วยตำแหน่งและอำนาจของพวกเขา พวกเขาย่อมสามารถเพิ่มพูนความมั่งคั่งของตนเองได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องพึ่งพาเงินเดือนที่ถูกลดลงเลย!”
หลินเป่ยฟานส่ายศีรษะและยิ้ม “ทว่าทั้งหมดเป็นเพราะไม่มีใครสามารถแทนที่พวกเขาได้ จักรพรรดินีจึงต้องทนรับกับสิ่งนี้!”
“แต่การเป็นขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงนั้นไม่ถูกต้อง…” น้ำเสียงของเหยาเจิ้งอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
หลินเป่ยฟานพยักหน้า “แท้จริงแล้วการเป็นขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงนั้นผิด แต่ถ้าท่านไม่มีความสามารถ ท่านก็ไม่สามารถเป็นขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงได้! ท่านต้องเข้าใจว่าการยักยอกเป็นความผิดที่ถึงโทษตัดศีรษะ แต่พวกเขาก็ต้องเสี่ยงอันตรายและไต่ระดับขึ้นไปทีละขั้น หากไม่ใช่เพราะความสามารถจะเรียกว่าอะไร? พรสวรรค์ชั้นยอดเช่นนี้ทำไมถึงไม่ควรนำมาใช้กัน?”
เหยาเจิ้งพบว่าตนเองพูดไม่ออกอีกครั้งเมื่อเผชิญหน้ากับคำแย้งนี้
หลินเป่ยฟานหัวเราะอย่างแผ่วเบา “ดังนั้นตราบใดที่ผลประโยชน์ที่ท่านได้รับต่ออาณาจักรมีค่ามากกว่าผลประโยชน์ที่ท่านได้รับจากการฉ้อราษฎร์บังหลวง จักรพรรดินีก็จะอดทนต่อท่านและถึงขั้นโปรดปราน! มิฉะนั้นหากท่านไม่สามารถแก้ปัญหาใดๆ ได้ความซื่อสัตย์ที่มีอยู่ แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรกัน? มีแต่สิ้นเปลืองทรัพยากรของอาณาจักรไปอย่างใช่เหตุ!”
เหยาเจิ้งหลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง
การเป็นขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงนั้นผิดแน่นอน แต่ถ้าไม่มีความสามารถ ก็จะกลายเป็นขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงไม่ได้!
ขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงที่สามารถไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งสูงได้ ล้วนเป็นผู้ที่มีความสามารถสูงสุดแล้ว เหตุใดจึงไม่ควรใช้พวกเขากันล่ะ?
ตราบใดที่ผลประโยชน์ที่นำมาสู่อาณาจักรมีมากกว่าผลประโยชน์ที่ได้รับจากการฉ้อราษฎร์บังหลวง จักรพรรดินีก็จะปล่อยไปและอาจถึงขั้นโปรดปราน!
มิฉะนั้น หากไม่สามารถแก้ปัญหาใดได้ ความซื่อสัตย์ที่มีอยู่มันจะมีประโยชน์อะไรกัน?
มันคงเป็นแค่เรื่องไร้ประโยชน์ …สิ้นเปลืองทรัพยากรของอาณาจักร!
ในขณะนี้ โลกทัศน์ของเขาได้แตกสลายอย่างสิ้นเชิง ไม่เหลืออะไรไว้เลยสักนิดเดียว!
เขายึดถือความเชื่อของเขามาโดยตลอด ซึ่งตอนนี้มันพังทลายไปแล้ว!
“เช่นนั้นกลับไปที่คำถามก่อนหน้านี้กันเถอะ!”
หลินเป่ยฟานยิ้มและกล่าวว่า “ท่านเหยา ท่านบอกว่าข้าผิดและขอให้ข้าหยุดให้ทันเวลา แต่ข้าทำผิดอะไรไปเล่า?”
“ใช่ ข้าเป็นขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง แต่ข้าเคยเอาเงินจากราษฎรทั่วไปงั้นหรือ? ใช่ ข้านั้นฉ้อราษฎร์บังหลวงจริงๆ แต่ทั้งหมดมาจากมือของขุนนางผู้อื่น! ถ้าพวกเขาไม่ฉ้อราษฎร์บังหลวง ข้าจะมีโอกาสได้ทำไหม?”
“การกระทำของข้าก็เหมือนกับการแก้แค้นคนทั่วไปทางอ้อม!”
“เมื่อเทียบกับผู้อื่นแล้ว ตัวข้ายึดถือมโนธรรมของราชสำนัก ทั้งยังซื่อตรงมากกว่าพวกเขามาก!”
หลินเป่ยฟานยกถ้วยขึ้นอย่างภาคภูมิใจ
“ยิ่งไปกว่านั้น ข้าได้แก้ไขหลายเรื่องให้ราชสำนักและจักรพรรดินีไปแล้ว!”
“ถ้าไม่ใช่เพราะข้าแนะนำให้จักรพรรดินีและขุนนางผู้อื่นยอมแพ้ต่อสินทดแทนจากอาณาจักรดาร์โร ภายในสามปี ชายแดนคงจะมีการทำสงครามอีกครั้งอย่างแน่นอน! มีทหารกล้ากี่คนที่จะต้องเสียเลือดในชายแดน? จะมีราษฎรพลัดถิ่นกี่คน? ความสูญเสียของราชสำนักจะมากมายเพียงใด? ท่านได้พิจารณาเรื่องทั้งหมดนี้แล้วหรือยัง?”
“ข้าเป็นคนทำให้สงครามครั้งนี้ไม่เกิดขึ้น!”
“ข้าเป็นคนช่วยราษฎรทั่วไปนับไม่ถ้วน ลดความสูญเสียของราชสำนักให้เหลือน้อยที่สุด!”
“อีกทั้งข้ายังได้ประดิษฐ์บัลลูนลมร้อนอันน่าอัศจรรย์และเรือสะเทินน้ำสะเทินบก! สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นประโยชน์ต่ออาณาจักรและราษฎร แต่ละอย่างช่วยเสริมสร้างโชคลาภแก่อาณาจักรและเพิ่มอำนาจมากมาย!”
หลินเป่ยฟานตะโกนดังสนั่น “ท่านเหยา ข้าทำเพื่อราชสำนักและเพื่อราษฎรมากกว่าพวกท่านทั้งหมดรวมกัน! แล้วข้าทำสิ่งใดผิดไปงั้นหรือ?”