1231 - ศากยมุนีผู้ยิ่งใหญ่
1231 - ศากยมุนีผู้ยิ่งใหญ่
พระพุทธเจ้าโต้วจ้านถือกระบองสีดำอยู่ในมือ พลังงานที่ครอบงำจากการต่อสู้เมื่อกี้นี้ถูกยับยั้งแล้ว ตอนนี้เขากลับคืนสู่รูปลักษณ์ของหลวงจีนวัยกลางคนอีกครั้ง
“เมื่อก่อนข้าเคยพบกับศากยมุนีครั้งนึงแต่เราไม่ได้ต่อสู้กัน...”
เมื่อสองพันปีก่อนอาของวานรศักดิ์สิทธิ์ที่มีนามเดิมว่าเฉิงหยวนตื่นจากต้นกำเนิดสวรรค์มาปรากฏในโลกนี้ ในตอนนั้นสิ่งมีชีวิตโบราณแทบไม่มีผู้ใดตื่นขึ้นมาดังนั้นเขาจึงออกพเนจรไปทั่วโลกจนกระทั่งไปถึงทะเลทรายตะวันตก
ในช่วงเวลานั้น ศากยมุนีได้เข้าไปในภูเขาพระสุเมรุและต่อสู้กับหลวงจีนแห่งวัดต้าเล่ยหยินพร้อมกับเอาชนะยอดฝีมือทุกคนที่อยู่ที่นั่นได้อย่างเด็ดขาด
อย่างไรก็ตาม ไม่นานหลังจากนั้นเนื่องด้วยความขัดแย้งเรื่องของความเชื่อผู้บ่มเพาะชาวพุทธทั้งหมดจึงไม่ยอมรับในตัวศากยมุนี
นิกายพุทธกล่าวถึงเหตุและผล เชี่ยวชาญอนาคต เชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดใหม่
เมื่อพระอรหันต์ที่อยู่บนเขาพระสุเมรุพบศากยมุนีเป็นครั้งแรกและตระหนักได้ว่าคนผู้นี้สัมผัสได้ถึงธรรมที่ไม่มีใครเทียบได้ ทุกคนจึงคิดว่าเขาเป็นพระพุทธเจ้าโบราณกับชาติมาเกิด
อย่างไรก็ตามศากยมุนียืนยันว่าในโลกนี้มีเพียงเหตุการณ์ที่ย้อนกลับมาเกิดใหม่แต่ไม่มีผู้คนสามารถกลับมาเกิดใหม่ได้
ความขัดแย้งครั้งยิ่งใหญ่จึงเกิดขึ้นบนเขาพระสุเมรุและทำให้นิกายพุทธแตกออกเป็นสองฝ่าย
ในเวลาต่อมาผู้คนที่เข้าร่วมกับศากยมุนีต่างต้องการให้ท่านเผชิญหน้ากับกระจกส่องมารเพื่อดูว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้าที่กลับชาติมาเกิดจริงหรือเปล่า
ศากยมุนีปฏิเสธที่จะรับการตรวจสอบจากกระจกส่องมารเพราะมันไม่มีอะไรต้องพิสูจน์ ท่านยืนยันแล้วว่าท่านไม่ใช่พระพุทธเจ้าในอดีตที่กลับชาติมาเกิดอย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้ศากยมุนีจึงไม่เป็นที่ยอมรับของนิกายพุทธบนเขาพระสุเมรุอีกต่อไป
เย่ฟ่านและผังป๋อมองหน้ากัน มีเรื่องเช่นนี้! ในอดีตแม่ชีตัวน้อยเคยบอกเล่าในสิ่งที่คล้ายกัน แต่นางไม่ได้ลงลึกในรายละเอียดจึงทำให้เรื่องทุกอย่างตกอยู่ในความคลุมเครือ
“ศากยมุนีมีพลังวิเศษมากมาย ย้อนกลับไปตอนนั้นท่านสามารถโค่นล้มภูเขาพระสุเมรุและจัดระเบียบนิกายพุทธใหม่ได้ด้วยตัวเอง…” วานรศักดิ์สิทธิ์โต้วจ้านกล่าว
เมื่อสองพันปีก่อนเขายังไม่ได้ไปเขาพระสุเมรุโดยตรง ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เขาเห็นและได้ยินเมื่ออยู่ในทะเลทรายตะวันตก
คำสอนต่างกัน เนื่องด้วยศากยมุนีปฏิเสธว่าท่านไม่ใช่พระพุทธเจ้าในอดีตที่กลับมาเกิดใหม่ผู้พิทักษ์ธรรมแห่งนิกายพุทธบนเขาพระสุเมรุจึงประกาศว่าท่านเป็นร่างอวตารแห่งมารพร้อมกับนำอาวุธเต๋าสุดขั้วของพระพุทธเจ้าองค์เดิมออกมาปราบศากยมุนีด้วยตนเอง
อย่างไรก็ตาม ในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายกลุ่มยอดฝีมือแห่งเขาพระสุเมรุพ่ายแพ้อย่างหมดรูป แม้ว่าผู้ที่ลงมือต่อสู้กับศากยมุนีจะเป็นถึงราชาเซียน แต่เขาก็ไม่สามารถใช้พลังของไม้เท้าปราบมารได้อย่างเต็มที่
“หากเจ้าไม่ใช่เสมือนจักรพรรดิจะไม่มีทางใช้งานอาวุธเต๋าสุดขั้วที่ตื่นขึ้นจากการหลับไหลได้” จักรพรรดิดำกล่าวกับตัวเองเบาๆ
ในศึกครั้งนี้กล่าวได้ว่าศากยมุนีได้แสดงให้เห็นขอบเขตของการเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งสวรรค์พิภพอย่างแท้จริง ท่านบุกเข้าไปในเขาพระสุเมรุเพียงผู้เดียวและปราบปรามนิกายพุธอย่างเด็ดขาด
ดังนั้นแม้ว่าท่านจะออกจากเขาพระสุเมรุมาหลายพันปีแล้วแต่เรื่องของท่านก็กลายเป็นหัวข้อที่ศิษย์นิกายพุทธทั้งหมดห้ามพูดถึง
“ข้าพบท่านในวัดโบราณและมีโอกาสสนทนาธรรมทั้งคืน ท่านเล่าให้ข้าฟังเกี่ยวกับแนวคิดของตัวเองซึ่งอธิบายให้เห็นถึงแก่นแท้ของชีวิตและความตายได้อย่างแท้จริง แนวคิดนี้สั่นสะเทือนจิตใจของข้าอย่างยิ่ง”
เฉิงหยวนในตอนนั้นกำลังประสบกับคอขวดไม่สามารถทะลวงเข้าสู่อาณาจักรเสมือนจักรพรรดิได้ ดังนั้นเขาจึงท่องเที่ยวไปทั่วโลกเพื่อสัมผัสกับประสบการณ์ชีวิตที่หลากหลาย
เขาจำเป็นต้องเดินออกจากเต๋าเดิมของตัวเอง ในอดีตสิ่งที่เขาทำมีเพียงการต่อสู้และฆ่าฟันเท่านั้น
ในตอนที่เขาตื่นขึ้นมาเขาทราบว่านิกายพุทธแห่งทะเลทรายตะวันตกมีความเชี่ยวชาญในเต๋าแห่งชีวิตและความตายดังนั้นเขาจึงเดินทางมาที่นี่โดยไม่มีความลังเล
หลังจากคืนนั้นศากยมุนีได้ออกเดินทางจากทะเลทรายตะวันตก แม้แต่วานรศักดิ์สิทธิ์เฒ่าที่ทะลวงผ่านขอบเขตเสมือนจักรพรรดิในคืนนั้นก็ไม่สามารถไล่ตามความเร็วของท่านได้
“เขาคือจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง” คำพูดของวานรศักดิ์สิทธิ์เฒ่าทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่ตกตะลึงเป็นอย่างมาก
นับตั้งแต่นิกายพุทธสิ้นพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ในนิกายพุทธก็ไม่เคยมีแม้กระทั่งเสมือนจักรพรรดิปรากฏขึ้นมาแม้แต่ครั้งเดียว ดังนั้นการปรากฏตัวของศากยมุนีจึงทำให้ทุกคนเกิดความตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
แต่สุดท้ายศากยมุนีก็ปฏิเสธว่าไม่ใช่ร่างอวตารของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน นั่นทำให้ท่านแตกหักกับนิกายพุทธแห่งทะเลทรายตะวันตกทันที
“ไม่คิดว่าจะมีเรื่องราวมากมายถึงขนาดนี้”
ผังป๋อลูบขมับของตัวเองโดยยังไม่หลุดจากภวังค์ของสิ่งที่ได้ยินมา
นิกายพุทธเกิดขึ้นได้อย่างไร ผังป๋อสับสน ไม่ได้เกิดในอินเดียโบราณหรือ? ทำไมโลกใบนี้จึงเชื่อว่าศากยมุนีเป็นมารของนิกายพุทธ
เย่ฟ่านมีความรู้มากกว่าจึงอธิบายว่า ในนิกายพุธนั้นมีความเชื่อว่าก่อนที่ศากยมุนีเป็นพระพุทธเจ้าองค์สุดท้าย ก่อนหน้านั้นก็มีพระพุทธเจ้าหลายพระองค์แล้ว
เมื่อครั้งที่ศากยมุนีค้นหาความจริงแห่งชีวิตท่านก็ได้พบกับสาวกของนิกายพุทธหลายคนที่กำลังค้นหาวิธีในการดับทุกข์ ท่านพบว่านี่ไม่ใช่วิธีการที่แท้จริงดังนั้นหลังจากใช้เวลาหลายปีในการหาคำตอบ ท่านจึงตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง
อย่างไรก็ตามเพียงคำบอกเล่านี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าศาสนาพุทธดำรงอยู่มาหลายปีก่อนที่ศากยมุนีจะถือกำเนิดด้วยซ้ำ
“ดูเหมือนจะมีความลับอีกมากมายที่ข้าไม่รู้ เมื่อกลับไปแล้วข้าจะตรวจสอบอีกครั้ง!” ผังป๋อรำพึงกับตัวเอง
เหล่าจื๊อและพระพุทธเจ้าเป็นบุคคลเมื่อสองพันห้าร้อยปีที่แล้ว ทั้งสองคนเกิดในยุคเดียวกัน เป็นคนโบราณที่มีสติปัญญาล้ำเลิศ
จากนั้นทั้งสองคนก็ได้เดินทางมายังโลกใบนี้ในเวลาไล่เลี่ยกัน เรื่องนี้จะต้องมีเหตุผลบางอย่างอย่างแน่นอน
เย่ฟ่านและผังป๋อมีปริศนามากมายเกี่ยวกับจีนโบราณและพวกเขาต้องการกลับไปที่อีกฟากหนึ่งของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวเพื่อไขปัญหานี้ด้วยตัวเอง
“ประสกท่านนี้พูดถูกอยู่เรื่องหนึ่ง หลังจากที่ข้าเข้าสู่เขาพระสุเมรุและเปลี่ยนมานับถือนิกายพุทธถ้าได้เปลี่ยนนามของตัวเองจากเฉิงหยวนกลายเป็นซุนหงอคง” วานรศักดิ์สิทธิ์เฒ่ากล่าว
ผังป๋อตกตะลึงกล่าวพูดอะไรไม่ออก หลังจากผ่านไปนานเขาจึงระล่ำละลักว่า “หงอคง... ตำนานบางเรื่องก็เป็นเรื่องจริง แต่ชื่อของท่านแพร่กระจายไปยังจีนโบราณได้อย่างไร?”
ในเวลาต่อมาวานรศักดิ์สิทธิ์ก็ก้าวไปข้างหน้า ทุกคนตระหนักได้ว่าสองอาหลานกำลังพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวดังนั้นพวกเขาจึงถอนตัวจากไป
“เมื่อเจ้ากลายเป็นเซียนอสูรแล้วให้มาที่เขาพระสุเมรุเพื่อรับเอาอาวุธบิดาเจ้า ข้าไม่ได้แย่งชิงมันเพื่อตัวเองอย่างที่เจ้าเคยเข้าใจ ข้าเพียงแค่ดูแลแทนเจ้าชั่วคราวเท่านั้น”
พระพุทธเจ้าโต้วจ้านกล่าวอย่างสงบ เขาอยู่อย่างสันโดษตลอดหลายพันปีเพียงเพื่อบรรลุการตรัสรู้และเข้าใจสัจธรรมแห่งชีวิตเท่านั้น
“แล้วอาสะใภ้ล่ะ?” วานรศักดิ์สิทธิ์เอ่ยถึงองค์หญิงเสิ่นฉานอย่างระมัดระวัง
พระพุทธเจ้าโต้วจ้านไม่ตอบสนอง ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาองค์หญิงเสิ่นฉานบุกไปหาเขาถึงวัดต้าเล่นหยินเก้าครั้งเก้าครา แต่เขาก็ไม่เคยออกมาพบนางแม้แต่ครั้งเดียว
ในครั้งนี้องค์หญิงเสิ่นฉานจึงกล่าวอย่างเด็ดขาดว่านางต้องการบุกเข้ามาในดินแดนต้องห้ามแห่งชีวิตเพื่อแย่งชิงยาเซียนของผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ใต้หุบเหวลึก และไม่ว่าเขาจะช่วยเหลือหรือไม่นางก็ยังจะไปอยู่ดี
พระพุทธเจ้าโต้วจ้านรู้ดีว่าการเดินทางครั้งนี้ขององค์หญิงเสิ่นฉานไม่มีทางประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน
แม้ว่าพระพุทธเจ้าโต้วจ้านจะตัดความสัมพันธ์ในอดีตออกไปทั้งหมด แม้แต่ชีวิตความเป็นตายของวานรศักดิ์สิทธิ์ผู้เป็นหลานเขาก็ยังไม่สนใจ
แต่สุดท้ายเขาก็ไม่อาจมองเห็นภรรยาของตัวเองเดินทางสู่ความตายโดยไม่ช่วยเหลือได้ นั่นทำให้เขาปรากฏตัวในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดและต่อสู้กับผู้ยิ่งใหญ่ในหุบเหวลึกนั้น
คำพูดของสองอาหลานจบลงเพียงเท่านี้ ในเวลาต่อมาร่างกายของพระพุทธเจ้าโต้วจ้านได้เบ่งบานด้วยแสงสีทองสว่างไสว เขาเปิดประตูมิติเพื่อเดินทางกลับสู่เขาพระสุเมรุโดยตรง
“โฮ่ง หากจักรพรรดิอู่ซือยังมีชีวิตอยู่เพียงนิ้วเดียวของเขาก็สามารถฆ่าเจ้าได้อย่างง่ายดายแล้ว ข้ารู้สึกเสียใจจริงๆ ที่โยนราชโองการศักดิ์สิทธิ์ออกไปช่วยเหลือเจ้า” สุนัขสีดำตัวใหญ่คำรามด้วยความโกรธ
“โปรดยกโทษให้ข้าสำหรับการดูหมิ่นจักรพรรดิอู่ซือในอดีต”
วงกลมแสงสีทองปรากฏขึ้นที่เบื้องหลังของพระพุทธเจ้าโต้วจ้าน จากนั้นเขาก็ยื่นมือขนาดใหญ่เข้าหาจักรพรรดิดำ
“เจ้าอยากทำอะไร?” จักรพรรดิดำกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว
ในเวลาต่อมาเส้นขนบนศีรษะและหางของจักรพรรดิดำที่เคยหลุดร่วงออกไปนั้นได้งอกงามกลับคืนมาอีกครั้ง ในตอนนี้มันกลายเป็นสุนัขตัวใหญ่ที่มีเส้นขนเงางามราวกับผ้าไหมสีดำสนิท
…………