บทที่ 9 ถึงทูซอน
บทที่ 9 ถึงทูซอน
ซุนเฉิงส่าย iPhone 5 รุ่นใหม่ในมือของเขาไปมาด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างมาก บาริเคดได้หายตัวไปเมื่อสองวันก่อน ก่อนจากไปเขาพูดเพียงประโยคเดียวว่า "รอข้าอยู่ที่นี่" และจากนั้นก็หายไปในอวกาศ
นายของเขาปล่อยให้เขาติดอยู่ที่นี่ ซุนเฉิงรู้สึกแย่มากที่ต้องกลับมาสู่โลกนี้และดันไม่มีใครเห็นค่า
ในโรงขยะแห่งนี้ เขาหันมองไปรอบๆ กองขยะรอบตัวเขาในลานกว้างด้านนอกกรุงวอชิงตัน ใจของเขารู้สึกหงุดหงิดมาก แม้จะไม่ได้กลิ่นอะไรเลยก็เถอะ
ผ่านมาสองวันเต็มแล้ว ซุนเฉิงกลับมาที่โลกนี้เพื่อยืนยันว่าเขามีความสามารถในการเดินทางไปยังโลกคู่ขนานจริงหรือไม่ แต่ตอนนี้เขารู้สึกเสียใจมากจริงๆ กับการตัดสินใจที่ผิดพลาดของเขา
เขาคิดว่าหลังจากเดินทางไปมาครั้งหนึ่งแล้ว เขาจะสามารถกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงได้อย่างง่ายดาย ทว่าซุนเฉิงหวังเหลือเกินว่าเขาจะสามารถตบตัวเองในอดีตที่คิดแบบนั้น
ทำไมเขาถึงคิดอะไรไร้หัวคิดแบบนั้นกัน!
บาริเคดทิ้งเขาไว้ที่นี่และรีบออกจากโลกไป ทำให้ซุนเฉิงมีเวลาที่จะสามารถทำสิ่งใดก็ได้ตามใจต้องการ แต่ซุนเฉิงมองข้ามปัญหาที่สําคัญที่สุด เขาดันไม่รู้ว่าจะเข้าไปในพื้นที่ทรงกลมที่มีสองหน้าจอได้ยังไง
นี่มันน่าอายเกินไปแล้ว!
ซุนเฉิงยังไม่เข้าใจว่าเขาเข้าไปในพื้นที่ทรงกลมได้ยังไง ครั้งก่อนที่เขาอยู่ที่ศูนย์วิจัย เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะเข้าไปในพื้นที่ทรงกลมได้ยังไง ส่วนตอนที่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง เขาแค่รู้สึกคลุมเครือว่าต้องทำอะไรบางอย่างให้ตรงตามเงื่อนไขบางประการเท่านั้นถึงเข้ามาได้
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่สามารถกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงได้ ทำให้ซุนเฉิงไม่กล้าออกไปไหนอย่างประมาท เขากังวลว่าถ้ารัฐบาลสหรัฐค้นพบตัวเขา พวกเขาจะส่งกองทัพออกมาจับและแยกชิ้นส่วนเขาเพื่อวิจัยองค์ประกอบของเครื่องจักรกลชีวะ
พอไม่มีอะไรทำ เขาจึงได้เพียงเดินไปรอบๆ อย่างเงียบๆ ในเวลากลางคืน ซุนเฉิงได้ใช้โอกาสนี้ในการศึกษาแกนหลักและกลไกของเขาอย่างละเอียด พบฟังก์ชั่นที่พวกดิเซปติคอนดูเหมือนจะไม่สนใจ แต่มันดูมีประสิทธิภาพมาก
บางทีอาจเป็นเพราะดิเซปติคอนเป็นสิ่งมีชีวิตจักรกล พวกเขาจึงมีความสามารถในการปรับปรุงพัฒนาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นอย่างมาก
อันที่จริง ทางซุนเฉิงเองก็ได้ใช้ความสามารถนี้แล้วตั้งแต่ตอนที่เขาแฮ็กเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในคืนนั้น
ฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ของที่นั่นเป็นของไอบีเอ็ม เขาได้ลองใช้มันด้วยการผสานเข้ากับร่างกาย เรียกได้ว่าไม่เลวเท่าไร แต่ก็ไม่ได้ยอดเยี่ยมมากนัก
หลังจากเปิดใช้งานฟังก์ชันการบุกรุกแล้ว [แกนกลาง-[สายลับ] ของซุนเฉิงก็เข้ามาจัดการประมวลผลและดาวน์โหลดข้อมูลทั้งหมด แต่เขายังคงต้องใช้คอมพิวเตอร์ไอบีเอ็มเป็นพอร์ตสำหรับการแฮ็ก ดังนั้นเขาจึงหาวิธีเสริมความสามารถของมันชั่วคราว จนพบเข้ากับวิธีการผสานเทคโนโลยีเข้ากับร่างกายจักรกลของเขาที่เล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ มันเหมือนกับทำให้ของพวกนั้นได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายของเขาจริงๆ
ในทางเทคนิคแล้ว การเพิ่มประสิทธิภาพที่ว่านี้ไม่ใช่การเพิ่มประสิทธิภาพจริงๆ ซุนเฉิงเพียงนำคอมพิวเตอร์ของไอบีเอ็มมาเชื่อมกับร่างกายของเขาเพียงชั่วคราวเท่านั้น หลังจากที่เขายกเลิกการดูดซึมแล้ว มันก็จะกลับสู่สภาพเดิมและจะไม่ได้สูญเสียพลังงานมากนัก
ฟังก์ชั่นการเพิ่มประสิทธิภาพที่ซุนเฉิงค้นพบสามารถเพิ่มประสิทธิภาพอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างถาวรด้วยการใช้พลังงานของดิเซปติคอน ส่วนผลลัพธ์ที่ได้มาเรียกได้ว่าสุดยอดยิ่ง
ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้ ซุนเฉิงกำลังปรับปรุงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพียงเครื่องเดียวที่เขามีอยู่ กับตัวเขา ซึ่งมันก็คือ iPhone 5 เดินทางมาโลกนี้พร้อมตัวเขา
เกิดแสงเรืองรองสีน้ำเงินที่ไม่อาจมองเห็นได้ไหลออกมาจากนิ้วของเขา มันเปลี่ยนสีไปและแทรกเข้าไปในหน้าจอของโทรศัพท์ จากนั้นก็ครอบคลุมจนหมด
ในเวลาเดียวกัน [แกนหลัก] ในหัวของเขาได้ส่งคำเตือนไปให้ซุนเฉิง “โปรเซสเซอร์ถึงขีดจำกัดของการเพิ่มประสิทธิภาพแล้ว... หน้าจอถึงขีดจำกัดการเพิ่มประสิทธิภาพแล้ว... กล้องถึงขีดจำกัดการเพิ่มประสิทธิภาพแล้ว... แบตเตอรี่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้อีก... การ์ดหน่วยความจำสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้อีก คุณต้องการใช้พลังงานหนึ่งหน่วยเพื่อปรับปรุงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชิ้นนี้หรือไม่?”
"เพิ่ม"
ในขณะที่เขาออกคำสั่ง ทันใดนั้นซุนเฉิงก็รู้สึกถึงความว่างเปล่าในร่างกายของเขาทันที หลังจากพบกับความรู้สึกนี้หลายครั้งในช่วงสองวันที่ผ่านมา เขาก็รู้แล้วว่าอาการแบบนี้มันเป็นเพราะการสูญเสียพลังงานถาวรที่ถูกเก็บไว้ใน [แกนหลัก] ของเขา
ดิเซปติคอนมีความคล้ายคลึงกันหลายอย่างกับมนุษย์ ก็เหมือนกับมนุษย์ที่มีหัวใจและสมอง ทางดิเซปติคอนมี [แกนหลัก]
พลังงานที่ว่านี้เป็นเหมือนเลือดเนื้อสำหรับดิเซปติคอน
ช่างน่าเสียดายที่มนุษย์สามารถผลิตเลือดผ่านไขกระดูกได้อย่างต่อเนื่อง แต่ดิเซปติคอนกลับไม่สามารถทำได้ ปริมาณพลังงานที่เก็บไว้ใน [แกนหลัก] ของดิเซปติคอนตั้งแต่กำเนิดถือเป็นตัวกำหนดสถานะและชีวิตของพวกเขา
ตัวอย่างเช่นสายลับดิเซปติคอนระดับต่ำสุด “เฟรนซี่” เขามีพลังงานประมาณ 750 จุดที่เก็บไว้ในแกนหลัก ตามเวลาของโลก ในการใช้พลังงานหนึ่งจุดเขาจะใช้เวลาประมาณห้าวัน ดังนั้นอายุขัยของเขาคือประมาณ 3750 วันหรือเพียงสิบกว่าปี
แน่นอนว่านั่นเป็นเพียงการคิดแบบพื้นฐาน อย่างที่เห็น ในการแฮ็กอินเทอร์เน็ตเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เฟรนซี่ได้ใช้พลังงานไปถึงสี่จุดในเวลาเพียงไม่กี่นาที นี่แสดงให้เห็นว่าเขามันก็เหมือนเบี้ยที่ใช้แล้วทิ้งระดับต่ำสุดของกองทัพดิเซปติคอน
โชคดีที่พลังงานในแกนสามารถเพิ่มพลังงานขึ้นได้ จากข้อมูลความทรงจำของ “เฟรนซี่” ซุนเฉิงเรียนรู้ว่าหากพวกเขาทำผลงานได้ดี ทางกองทัพดิเซปติคอนจะให้รางวัลเป็นพลังงานเพื่อเติมเต็มแก่ทหาร นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลว่าทำไมเขาถึงยอมเสียพลังงานเพื่อปรับปรุงโทรศัพท์ในมือ
แต่มันก็ช่างน่าเสียดายเหลือเกินที่ซุนเฉิงไม่สามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับการพัฒนาร่างดิเซปติคอนระดับต่ำได้ ดูเหมือนว่าเมื่อเผ่าพันธุ์จักรกลนี้ถือกำเนิดขึ้นมา สถานะในอนาคตของจักรกลตนนั้นจะถูกกำหนดเอาไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว
นี่ไม่ใช่ข่าวดีเลย!
พลังงานยังคงไหลเข้าสู่โทรศัพท์อย่างต่อเนื่อง ซุนเฉิงสามารถรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในโทรศัพท์ผ่านฟังก์ชั่นการตรวจสอบข้อมูลของแม่แบบสายลับ โดยมีแสงสีฟ้ากระพริบไปมาในดวงตาของเขา
ไม่อยากจะเชื่อเลย!
แม้ว่าโทรศัพท์ที่ครอบครัวของเขาซื้อให้ตอนนั้นจะเป็นตัวท็อป แต่พอผ่านสามหรือสี่ปีไป มันก็ตกรุ่นและล้าสมัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทว่าหลังจากการปรับปรุงหลายอย่างที่เขาทำกับโทรศัพท์ของเขาในช่วงสองวันที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่ประสิทธิภาพของโปรเซสเซอร์คอร์ A6 จะเพิ่มขึ้นเกือบแปดเท่า แต่ประสิทธิภาพของโปรเซสเซอร์แบบดูอัลคอร์ก็เกือบจะเพิ่มขึ้นสูงสุด กระทั่งหน้าจอและกล้องก็ดีขึ้นจนน่าทึ่ง
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ซุนเฉิงรู้สึกประหลาดใจที่สุด สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจจริงๆ คือแบตเตอรี่ลิเธียมเดิมทีมีแบตเตอรี่เพียง 1,000 mAh ซึ่งในตอนนี้เขาได้เพิ่มความจุมันขึ้นอย่างน้อยยี่สิบเท่าหลังจากการปรับปรุงมันไปเพียงไม่กี่ครั้ง
สิ่งที่บ้าบอที่สุดคือ การ์ดหน่วยความจำในโทรศัพท์ของเขา ตอนแรกมันมีหน่วยความจำอยู่ที่ 64GB แต่ได้รับการขยายเพิ่มขึ้นเกือบ 48 เท่า ซึ่งเป็นเรื่องที่บ้ามาก!
การค้นพบเรื่องประหลาดเช่นนี้ได้เบี่ยงเบนความสนใจของซุนเฉิงไปอย่างไม่ต้องสงสัย
เนื่องจากไม่มีข้อมูลอ้างอิงเพิ่มเติม เขาจึงตัดสินใจศึกษาด้วยตัวเอง เป็นผลให้ซุนเฉิงได้ค้นพบว่าดิเซปติคอนที่เป็นสิ่งมีชีวิตจักรกลที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงเกินจินตนาการ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องชิปเก็บพลังงานหรือหน่วยความจำก็เรียกได้ว่าอยู่ในขั้นสุดยอด
แต่อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องพลังงานในตอนนี้เลย เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่ซุนเฉิงมีความเข้าใจหรือเชี่ยวชาญสักนิดเดียว
แต่เมื่อตอนที่เขาเรียนวิชาเอกไมโครอิเล็กทรอนิกส์ เขามีความรู้บางอย่างเกี่ยวกับชิปหน่วยความจำพอสมควร ซึ่งทําให้เขามีก็พอจะรู้ว่าควรต้องเริ่มพัฒนาความสามารถที่อะไรกัน
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ซุนเฉิงได้ศึกษาร่างกายจักรกลของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนพบว่าเขามีชิปเก็บข้อมูลสองตัวฝังอยู่ในตัวเขา หนึ่งในชิปถูกรวมเข้ากับแม่แบบสายลับและสามารถจัดเก็บข้อมูลได้อย่างไม่น่าเชื่อ มันมีขนาดเท่ากับ 440EB หากอิงตามสูตรการคำนวณของมนุษย์ [1 EB = 1,073,741,824 GB]
ชิปอีกตัวถูกวางไว้นอกส่วนหัวของแกนหลักและใช้สำหรับการจัดเก็บข้อมูลที่ไปแฮ็กหรือขโมยมา แม้ว่าความจุของมันจะต่ำกว่าชิปหน่วยความจำ แต่ก็ยังอยู่ที่ประมาณ 165PB [1 PB= 1,048,576 GB]
แม้แต่สายลับดิเซปติคอนระดับล่างสุดก็มีชิปเก็บหน่วยความจำที่ทรงพลังเช่นนี้ มันทำให้ซุนเฉิงประหลาดใจมาก หลังจากเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว เขาก็ไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าเทคโนโลยีของเผ่าพันธุ์จักรกลนี้ก้าวหน้าเพียงใด
หลังจากใช้เวลาครึ่งวันในการปรับปรุง iPhone 5 ของเขาอย่างละเอียด เขายังไม่มีโอกาสลองใช้คุณสมบัติใหม่ของมันเลย แต่จู่ๆ ทันใดนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงคล้ายสุนัขเห่าดังขึ้นมา
ในขณะที่เขากำลังจะปีนขึ้นไปบนกองเศษเหล็กเพื่อตรวจสอบร่างกายของตน ซุนเฉิงก็ตัวแข็งทื่อขึ้นมาทันที ปรากฏว่าแกนหลักในตัวเขาได้รับข้อความเสียงออกมา “ออกมาได้แล้ว ข้าเอง!”
น้ำเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมา เป็นเสียงของบาริเคดที่หายไปสองวัน ถึงแม้ว่าเขาจะอยากรู้ว่าบาริเคดไปอยู่ที่ไหนมาตลอด แต่เขาก็ไม่กล้าถามออกไป
ซุนเฉิงรีบคว้าโทรศัพท์ของเขาและมุ่งหน้าไปที่มุมของลานขยะ ติดตามสัญญาณของบาริเคดไป
ที่นั่นมีรถตำรวจฟอร์ดมัสแตงสีขาวดำจอดอยู่เงียบๆ และประตูผู้โดยสารก็เปิดกว้าง
บนที่นั่งมีคนขับชายผิวขาววัยกลางคน ซึ่งนั่นเป็นภาพฉายที่ถูกสร้างขึ้นบาริเคด ร่างนั้นจ้องมองซุนเฉิงที่เพิ่งปีนขึ้นไปบนที่นั่งผู้โดยสารอย่างเย็นชา เมื่อซุนเฉิงเงยหน้าขึ้นมองเขา ชายผิวขาววัยกลางคนก็ยิ้มออกมาอย่างเย็นชาและแข็งทื่อตอบ
“ไปได้แล้ว มีคนสำคัญต้องการพบเจ้า!”
ซุนเฉิงตกตะลึงและอยากถามเหลือเกินว่าเป็นใคร แต่เขาก็กลัวบาริเคดจะไม่บอกเขา หลังลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงถามไปว่า “ตอนนี้เราจะมุ่งหน้าไปที่ไหนงั้นหรือครับ?”
“ทูซอน!”