บทที่ 7 การนองเลือด
บทที่ 7 การนองเลือด
เมื่อซุนเฉิงฟื้นคืนสติ ดวงตาจักรกลทั้งสี่ก็เปล่งประกายด้วยแสงสีฟ้า
"ฉันหมดสติไปเพียงแค่หนึ่งวินาทีเองงั้นเหรอ?"
หลังจากรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเวลาจากแกนกลางภายในร่างกายของเขา ซุนเฉิงก็รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก เขารู้สึกไม่อยากจะเชื่อขณะที่เขาเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ที่อยู่ตรงหน้าอย่างรวดเร็ว หลังจากปรับเทียบเวลาระหว่างอินเตอร์เน็ตกับโลกนี้แล้ว เขาก็ยืนยันว่าเขาไม่ได้คิดผิไป
ค่ำคืนอันแสนยาวนานและประสบการณ์อันมากมายในเช้าวันรุ่งขึ้นในอีกโลกหนึ่งกลับไม่มีผลต่อเวลาของสถานที่แห่งนี้เลย
ราวกับว่ามือลึกลับคู่นี้ได้แช่แข็งหยุดเวลาของโลกทั้งใบเอาไว้เมื่อเขากลับคืนสู่โลกแห่งความเป็นจริง ช่างเป็นพลังที่น่าเหลือเชื่อยิ่ง
มันมหัศจรรย์เหลือเกิน!
น่าเหลือเชื่อจริงๆ!
เขาพึมพำเบาๆ แต่น่าเสียดายที่มันออกมาเป็นเสียงอิเล็กทรอนิกส์ ซุนเฉิงลุกขึ้น ดึงแขนขวาของเขาออกจากตัวเชื่อมและกำลังจะปิดคอมพิวเตอร์เพื่อออกไป แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียง เขามองหาที่มาของเสียงและพบว่ามีวัตถุขนาดเท่าฝ่ามือตกลงมาจากเก้าอี้ข้างตัวเขา
โทรศัพท์ขนาดเท่าฝ่ามือ เป็นโทรศัพท์ที่ไม่ควรมีอยู่ด้วยซ้ำ
เมื่อดวงตาอิเล็กทรอนิกส์ที่คมชัดเป็นพิเศษของเขาจับเงาของโทรศัพท์ได้อย่างชัดเจนในบริเวณอันมืดมิด ซุนเฉิงก็ต้องตกตะลึงอย่างมาก
“นี่คือ iPhone 5 ของฉันใช่ไหมเนี่ย?”
ดูใกล้ๆ แล้วก็ใช่เลย มันเป็น iPhone 5 ที่พัฒนาและผลิตโดย Apple ในสหรัฐอเมริกา
แม้ว่าจะมีบริษัท Apple ในโลกคู่ขนานแห่งนี้ แต่โลกนี้เพิ่งจะปี 2007 แม้แต่ iPhone รุ่นแรกก็เพิ่งเปิดตัวเมื่อสองเดือนที่แล้วและยังไม่ได้เปิดขายอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ
ถึงเขาจะรู้สึกสงสัย แต่เขาก็กระโดดลงจากเก้าอี้ทันทีและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากพื้น จากนั้นจึงพลิกมันเพื่อดูรอยไหม้ที่มองแทบไม่เห็นที่เป็นรอยจากก้นบุหรี่ ตอนที่เขากินข้าวกับเพื่อนร่วมห้องเมื่อสองปีก่อน
ทันใดนั้นซุนเฉิงก็มั่นใจยิ่งว่านี่ต้องเป็นโทรศัพท์ที่ครอบครัวมอบให้เมื่อเขาเข้าเรียนมหาวิทยาลัย
มันเป็นโทรศัพท์ของเขาจริงๆ แปลกมาก มันข้ามมาโลกนี้กับเขาได้ยังไงกัน?
หลังจากใส่รหัสผ่านการใช้งานอย่างรวดเร็วและเข้าสู่หน้าจอระบบการทำงานของโทรศัพท์ ซุนเฉิงก็มองไปที่แถบสัญญาณที่ว่างเปล่าและรู้สึกสับสนงุนงงอย่างมาก
ในขณะที่เขาสับสน ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที เขารู้สึกไวต่อเสียงฝีเท้าที่นอกทางเดินของสํานักงาน มันตามมาด้วยเสียงของชายวัยกลางคน
"เฮ้ ทําไมมีแสงสว่างในสำนักงานข้างหน้าล่ะ เฮ้ย ทอม วันนี้มีคนทำงานล่วงเวลาหรือเปล่า?”
“โอ้ ไม่มีนะ!”
ซุนเฉิงแอบซ่อนอยู่อย่างเงียบๆ แม้ว่าเขาจะปิดคอมพิวเตอร์แล้ว แต่แสงจากหน้าจอโทรศัพท์นั้นสะดุดตามากในห้องที่มืดมิด
เขาจึงรีบปิดหน้าจอโทรศัพท์โดยเร็ว!
แต่ทันทีที่เขาทำเช่นนั้น ซุนเฉิงก็ต้องรู้สึกเสียใจ เพราะการทำเช่นนั้นไม่ใช่ว่าเป็นการบอกว่าคนหน้าสงสัยอยู่ที่นี่หรอกหรือ?
แน่นอนว่าในขณะที่เขาปิดหน้าจอโทรศัพท์ เสียงฝีเท้าในโถงทางเดินที่ช้าและมั่นคงก็เร่งขึ้นอย่างกะทันหัน เสียงของชายวัยกลางคนดูตึงเครียดมาก “ตรวจพบแสงไฟจากไหนชั้น 2 ย้ำ ตรวจพบแสงไฟที่ไหนไม่รู้มาจากไหนบนชั้น 2 สงสัยว่าจะเป็นผู้บุกรุก...”
ซุนเฉิงไม่ใช่สายลับมืออาชีพ เขารู้สึกกังวลอยู่พักหนึ่งก่อนจะคืนสติกลับมาได้ เขาวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะคอมพิวเตอร์และเปิดใช้งานฟังชั่นการแปลงร่างทันที เปลี่ยนตัวเองเป็นเครื่องบันทึกเทปและซ่อนตัวอย่างระมัดระวัง
แม้ว่าเขาจะเปลี่ยนเป็นเครื่องบันทึกเทป แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการมองเห็นของเขาในบริเวณรอบนอกแม้แต่น้อย ถึงขอบเขตการมองเห็นของเขาจะอาจจะค่อนข้างน้อยกว่าเดิมเมื่อเขาอยู่ในร่างคล้ายมนุษย์ก็เถอะ
เวลาได้ผ่านประมาณเกือบยี่สิบวินาทีหลังจากที่เขาแปลงร่าง ประตูห้องทำงานเปิดออกและมีไฟฉายส่องเข้ามาในห้อง
“มีใครอยู่ที่นี่ไหม?”
เป็นเสียงชายวัยกลางคนที่เขาได้ยินก่อนหน้านี้ เขาหลบซ่อนอยู่นอกประตูอย่างระมัดระวัง ถือไฟฉายในมือข้างหนึ่งและปืนพกในอีกข้างหนึ่งพร้อมตะโกนเข้าไปในสำนักงานอย่างระวังตัว
หลังจากตะโกนสี่หรือห้าครั้งและยังไม่พบร่างที่น่าสงสัยที่ซุ่มซ่อนอยู่ภายใน ชายผู้ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ศูนย์วิจัยแห่งนี้ก็เอาไฟฉายคาบไว้ปาก มืออีกข้างถือปืน ส่วนมืออีกข้างคลำจับผนังห้องอย่างระมัดระวัง พอเขาเจอสวิตช์ไฟห้องก็กดโดยไม่ลังเล
"แป๊ะ! "
ทันใดนั้นห้องทำงานสลัวก็สว่างขึ้น ทำให้ในที่สุดซุนเฉิงก็สามารถมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน ชายผิวดำหัวโล้นในวัยสี่สิบยืนอยู่ข้างนอกสำนักงานด้วยความระมัดระวัง แม้ว่าเขาจะมีพุงใหญ่ แต่แขนที่แข็งแรงกำยำก็เผยให้เห็นว่าเขาออกกำลังกายเป็นประจำ
หลังจากที่ไฟเปิดขึ้น ทุกอย่างในสำนักงานก็ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน แต่ไม่มีวี่แววของใครเลย
ทว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยผิวดำยังคงระมัดระวัง เขาเดินเข้ามาพร้อมกับปืนของเขาเข้าทีละก้าวเพื่อตรวจสอบพื้นที่้ซึ่งคิดว่าสามารถหลบซ่อนได้ เขาส่องดู 2-3 ที่ใต้โต๊ะทำงานในห้อง แต่หลังจากที่เขาแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่นแล้ว เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วเก็บปืนกลับเข้าไปในซองหนัง
“เฮ้แฮทช์เป็นยังไงบ้าง? เราควรแจ้งตำรวจไหม?”
มีเสียงเอ่ยถามจากสัญญาณเครื่องส่งรับวิทยุสื่อสารที่เอวของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยชายผิวดำ
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผากของเขา และหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาอย่างไม่เต็มใจ “ขอโทษทีพวก ฉันคิดว่าฉันอาจตาฝาดไป มันอาจจะเป็นเสียงโทรศัพท์ของใครบางคนดังขึ้นมาล่ะมั้ง..”
เขาเดินขึ้นไปที่โต๊ะของซุนเฉิงที่แปลงร่างอยู่ เขาเห็น iPhone 5 ที่วางไว้บนโต๊ะ ชายผิวดำหยิบมันขึ้นมาและเล่นมัน ทำให้ซุนเฉิงไม่พอใจมากและพร้อมที่จะแปลงร่างจู่โจมได้ทุกเมื่อ แต่แล้วอีกฝ่ายก็เก็บมันกลับไปไว้ที่เดิม
“โอ้ แฮทช์.. ฉันเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมพวกเขาถึงยอมให้นายเกษียณก่อนที่สงครามอิรักจะสิ้นสุดลง เพื่อน ฉันขอแนะนำให้นายไปพบนักบำบัดนะ!”
“หุบปากไปเลยทอม!”
เพราะถูกล้อเลียนโดยเพื่อนร่วมงานของตน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยผิวดำจึงตะโกนผ่านวิทยุแล้วก็ปิดวิทยุลง
เขายัดวิทยุกลับเข้าไปในกระเป๋า ดูเหมือนยังคงไม่พอใจ จากนั้นเขาจึงหันกลับมาเตะโต๊ะข้างๆ
ปัง!
แรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงได้ส่งผลทำให้ iPhone 5 ที่เขาวางไว้บนขอบโต๊ะอย่างประมาทได้ตกลงกับพื้น จนทำให้เกิดเสียง
"โพล๊ะ"
“เวรเอ๊ย!”
เมื่อเห็นโทรศัพท์ถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยผิวดำเตะลงไปที่พื้น ซุนเฉิงก็รู้สึกโกรธมาก โทรศัพท์เครื่องนี้มีความหมายกับเขาเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเห็นว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยผิวดำเพียงเหลือบมองโทรศัพท์บนพื้น ทั้งยังเดินไปที่ประตูสำนักงานโดยไม่มีคิดที่จะหยิบมันขึ้นมา และเหยียบซ้ำทิ้งรอยสกปรกเอาไว้บนโทรศัพท์ของเขาอีก
ซุนเฉิงรู้สึกโกรธอย่างมาก เขาจึงเปิดใช้งานฟังชั่นการแปลงร่างของเขาและกระโดดขึ้นสูงบินพุ่งเข้าหาชายผิวดำ
เมื่อได้ยินเสียงดังจากด้านหลัง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสีดำก็รู้สึกตื่นตระหนก
ช่างโชคร้ายที่เขาทำได้เพียงหันกลับมาเห็นแค่แวบเดียวของร่างสีขาวเงินร่างหนึ่ง จากนั้นเขาก็รู้สึกเจ็บที่คอและหน้าผาก ดวงตาของเขาแดงก่ำและร่างกายของเขาได้กระตุกสองหรือสามวินาที ก่อนที่จะล้มลงกับพื้นอย่างแรง
ปัง!
ซุนเฉิงร่อนลงมาอย่างมั่นคงข้างๆ ศพของชายผิวดำในร่างเครื่องจักรกลของเขา แม้ว่าเขาจะรู้สึกไม่สบายหลังจากการฆ่าคนไป แต่เขาก็เพียงมองดูชายสีผิวดำอย่างเย็นชาอยู่พักหนึ่งแล้วจึงเดินไปเก็บโทรศัพท์ทันที
เมื่อเห็นรอยบุ๋มที่มุมโทรศัพท์ เขาก็รู้สึกใจหายมากยิ่งขึ้น ความสํานึกผิดและความกลัวที่กําลังเดือดในใจของเขา ทั้งหมดล้วนสลายไปแล้ว เขารีบออกจากห้องทำงานไปโดยไม่หันกลับมามองอีกเลย