บทที่ 6 ใครอยู่เบื้องหลัง (ตอนที่ 2)
บทที่ 6 ใครอยู่เบื้องหลัง (ตอนที่ 2)
ทุกคนจากไปในพริบตา ทิ้งให้ซุนเฉิงอยู่ตามลำพังในสำนักงานใหญ่
เขารู้สึกหดหู่และยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงถอนหายใจและปิดประตูห้องทำงาน เดินไปที่โต๊ะของเขาซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของห้องทำงานเล็กๆ ในตอนที่พวกเขาได้สนับสนุนจากมหาวิทยาลัย พวกเขาได้รับอนุญาตให้ใช้สถานที่แห่งนี้อยู่ชั่วคราว
แม้ว่าจะมีโต๊ะทำงานเพียงไม่กี่ตัวและคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะห้าเครื่องที่มหาวิทยาลัยให้ยืม ซึ่งมันไม่ใช่ระดับดีเลิศหรือแย่จนเกินไป แต่ทว่าสำนักงานแห่งนี้ก็เรียบง่ายและมีแต่ความอบอุ่น ซุนเฉิงและทีมของเขาต่างมีความรู้สึกและความทรงจำที่ดีในสถานที่แห่งนี้อยู่มากมาย
น่าเสียดายที่สิ่งเหล่านั้นมันไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้ว
เมื่อเดินไปที่โต๊ะทํางานตัวโปรด ยิ่งซุนเฉิงหวนคิดถึงมากเท่าไร เขาก็รู้สึกเศร้าหมองยิ่ง โต๊ะทำงานที่นี่ไม่มีโน๊ตบุ๊คและทีมงานของเขาอีกต่อไปแล้ว เอกสารสองสามชิ้นที่กระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะก็ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นบางๆ
ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครใช้มันมาสักระยะหนึ่งแล้ว
เขาลากนิ้วไปทั่วโต๊ะเบาๆ รู้สึกถึงฝุ่นเกรอะกรังบนปลายนิ้วของเขา หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ซุนเฉิงก็หยิบแฟลชไดรฟ์ USB ออกมาจากกระเป๋าของเขา ดวงตาของเขากระพริบไปมา
“ขอล่ะ อย่าเป็นอย่างที่ฉันคิดนะ!”
เขาพึมพำกับตัวเอง เหมือนเป็นการปลอบใจตัวเองมากกว่า
ซุนเฉิงรีบฟื้นคืนสติและเดินไปที่โต๊ะข้างๆ เขาเปิดคอมพิวเตอร์ทันที
หากเขาจำไม่ผิด คอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัยจัดหาให้มีระบบ Linux เวอร์ชั่นภาษาจีนที่ได้รับการแก้ไขเพื่อทดแทน Microsoft XP ต่อมาสมาชิกในทีมบางคนที่ไม่คุ้นเคยกับมันก็ได้เปลี่ยนไปใช้ Windows 7 ซึ่งสิ่งนี้มันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการทำงานของพวกเขาอะไรนัก
เขาเข้าสู่เซฟโหมดก่อน และใช้ทักษะคอมพิวเตอร์ที่จู่ๆ กลับโผล่มาอย่างรวดเร็ว เพื่อตรวจสอบคอมพิวเตอร์ในสำนักงานอย่างละเอียด ซึ่งแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่เข้าใจเลยว่ามันอะไรยังไง
"ไม่มีอะไรหรอกมั้ง ฉันแค่คิดไปเองจริงๆ เหรอ?"
ยังคงสับสนอยู่ เขาเปิดคอมพิวเตอร์ทั้งหมดทีละเครื่อง และหลังจากตรวจสอบทั้งหมดแล้ว เขาก็ไม่พบโทรจันในโน๊ตบุ๊คที่มีฝุ่นเกรอะเลย ซุนเฉิงจึงกลับมายังคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่เขาเปิด
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งเขาก็หยิบแฟลชไดร์ฟ USB ออกมาอีกครั้งและใส่เข้าไปในคอมพิวเตอร์พร้อมที่จะติดตั้งระบบจากแฟลชไดร์ฟไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องนี้เพื่อยืนยันความคิดของเขา
เวลาผ่านไปกว่าสี่สิบนาที มันเป็นการรอคอยที่ยาวนานมาก
บางทีอาจเป็นเพราะเขาจ้องมองไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานเกินไป มันจึงทำซุนเฉิงรู้สึกเวียนหัวอย่างมาก
เขาถูหน้าผากที่ปวด แต่มือของเขาไม่หยุดขยับ หลังจากติดตั้งระบบบนคอมพิวเตอร์ เขาก็ตั้งค่าการอนุญาตสูงสุดสำหรับตัวเองอย่างรวดเร็วและเข้าสู่ไดรฟ์ C เขาใช้เวลาเพียงสิบวินาทีในการค้นหาโฟลเดอร์โทรจันที่ซ่อนอยู่นี้ท่ามกลางไฟล์ระบบจำนวนมาก
ทันใดนั้น ใบหน้าของซุนเฉิงก็หม่นหมองลง เศษเสี้ยวความทรงจำที่ถูกฝังไว้บางส่วนก็หลั่งไหลเข้ามาในจิตใจของเขา
"เฉิง หากนายต้องการสร้างธุรกิจ ฉันจะสนับสนุนนายอย่างเต็มที่เอง นายก็รู้ฐานะของครอบครัวฉันดี ฉันช่วยนายทางการเงินไม่ได้ แต่ถ้านายไม่รังเกียจ ฉันก็สามารถให้ความช่วยเหลือนายด้วยฝีมือของฉันได้!"
"..อาเฉิง อย่าคิดว่าเงินนี้มันน้อยเกินไปเลย ฉันได้รับเงินเจ็ดพันหยวนจากการทำงานหนักมา มันอาจจะพอช่วยนายได้สักพักหนึ่ง อย่าปฏิเสธสิ เฮ้ นายนี้ดื้อดึงเหลือเกินนะ.. เฮ้อ เถอะน่า งั้นคิดว่านายยืมจากฉันเอาก็ได้”
“นายยังจำเรื่องที่นายยืมเงินฉันได้ไหม? พอดีฉันไปเห็นแบบฟอร์มการกู้ยืมเงินของมหาวิทยาลัยเมื่อวันก่อนมา ดูเหมือนว่าพวกเขาจะให้สินเชื่อการวิจัยเทคโนโลยีกับนักศึกษามหาวิทยาลัยด้วยล่ะ ไปดูกันไหม?”
“หา? ร้านซ่อมไม่เจอปัญหาอะไรเลยเหรอ? งั้นทำไมนายไม่ลองติดตั้งระบบใหม่อยู่ที่นี่เลยล่ะ ฉันมีแผ่นติดตั้งระบบปฏิบัติการ XP เวอร์ชั่นคลาสสิกอยู่พอดีเลย…”
ยิ่งเขาคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไร ซุนเฉิงก็ยิ่งรู้สึกว่าคำพูดเหล่านั้นที่ทำให้เขาหวั่นไหวในใจกลับเต็มไปด้วยความสงสัย เขารู้สึกเหมือนหินก้อนใหญ่กำลังกดทับหน้าอกของเขา อาการวิงเวียนหัวก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ฉันปวดหัวมาก อาจจะเป็นอาการเมาค้างจากเมื่อคืนหรือเปล่า?
ดวงตาของเขาเริ่มสั่นไหว แม้ว่าเขาจะยังคงสับสน แต่ซุนเฉิงก็รู้ว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติกับร่างกายของเขา เขาต้องดึงเก้าอี้จากด้านข้างและนั่งลง เขาต้องการนอนพักดูก่อน เผื่อว่าไอ้อาการที่เขาเป็นอยู่มันจะหายไปสักที
เขาไม่คาดคิดเลยว่าทันทีที่เขาปิดคอมพิวเตอร์และขยับแป้นคีย์บอร์ดตรงหน้าเขา เขาจะรู้สึกเวียนหัวมากขึ้นเรื่อยๆ เปลือกตาของเขาปวดหนักอย่างรุนแรง ส่งผลให้เขาหมดสติไปในไม่กี่นาทีหลังจากนอนลง
...นี่มันเกิดอะไรขึ้น
ทันทีที่เขาลืมตา ซุนเฉิงพบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในสำนักงานที่ตั้งอยู่ในวิทยาเขตเก่าของมหาวิทยาลัย แต่อยู่ในพื้นที่ทรงกลมสีฟ้าคราม ที่แปลกแต่คุ้นเคย เขาได้แต่ตะโกนออกมาเสียงดังๆ ด้วยความสงสัย
น่าเสียดายที่แม้ว่าเขาจะส่งเสียงตะโกน แต่เขาก็ไม่ได้ยินเสียงของตัวเอง มันรู้สึกว่างเปล่าคล้ายสูญเสียร่างกายไป เหมือนก่อนหน้านี้ไม่มีผิด
“พื้นที่ทรงกลมที่ปล่อยแสงสีฟ้าครามออกมา ร่างกายไม่สามารถสัมผัสอะไรได้...หมายความว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ไม่ใช่ความฝันเหรอ?”
ราวกับเพิ่งตระหนักได้ ใบหน้าของซุนเฉิงจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เพื่อยืนยันการคาดเดาของเขา เขาแหงนหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วราวไร้ซึ่งกระดูกคอ มองไปยังศูนย์กลางของพื้นที่ทรงกลม เขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่าในใจกลางของพื้นที่ลึกลับนี้มีสองหน้าจอขนาดเท่ากันประดับอยู่ด้านซ้ายและขวา
เขาลอยไปที่หน้าจอหนึ่งและทันทีที่เขาเข้ามาใกล้ เขาก็เห็นร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งพิงอยู่บนโต๊ะ ซึ่งร่างนี้ปรากฏบนหน้าจอสลัวๆ
"ในออฟฟิศ นั่นฉันไม่ใช่เหรอ!”
เขาพยายามระงับความตื่นเต้นและความวิตกกังวลในใจ หลังจากผ่านประสบการณ์เมื่อคืนนี้มา ซุนเฉิงก็พอตระหนักคร่าวๆ ว่ามันมีบางอย่างดูเหมือนจะเปลี่ยนไปในตัวเขา แต่เขาไม่อาจบอกได้ว่าสิ่งที่เปลี่ยนไปนี้มันดีหรือแย่
เมื่อคืนเพราะเขาร้อนร้นเกินไป ซุนเฉิงจึงไม่ได้เพ่งมองหน้าจออย่างจริงจัง
ตอนนี้เขาแน่ใจแล้วว่าสามารถออกจากที่นี่ได้ เขาจึงเริ่มสนใจและตรวจสอบหน้าจอที่อยู่ตรงหน้าอย่างละเอียด และในไม่ช้าเขาก็พบบางสิ่งที่เขาไม่ได้สังเกตเห็นเมื่อคืนนี้ที่มุมหนึ่งของหน้าจอ
มีตัวเลขสองชุดที่ดูธรรมดามาก มันมีสัญลักษณ์ดาวสีต่างกันอยู่ด้านหน้าแต่ละชุด พวกมันเขียนว่า บูลสตาร์: 65/1000 และเรดสตาร์: 51847:56:12
ซุนเฉิงไม่เข้าใจความหมายของตัวเลขชุดแรก แต่ตัวเลขชุดที่สองมันเหมือนการนับถอยหลังมาก
หลังจากจ้องมองมันอยู่พักหนึ่ง ซุนเฉิงก็มั่นใจอย่างคลุมเครือและคํานวณอย่างเงียบๆ สักครู่หนึ่ง จนคิดตัวเลขขึ้นมาในหัวได้ "36 วันงั้นเหรอ? นี่มันมีความหมายพิเศษอะไรหรือเปล่า?"
อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลน้อยเกินไป ไม่ว่าเขาจะใช้ความคิดมากแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถคิดออกว่าตัวเลขทั้งสองชุดนี้หมายถึงอะไร เขาได้แต่ยอมแพ้และตรวจสอบหน้าจออย่างละเอียดต่อไป จากนั้นเขาก็ล่องลอยไปยังอีกหน้าจอหนึ่งที่อยู่ถัดไปด้วยความผิดหวัง
วู้บบ!
ราวกับสัมผัสได้ถึงการมาเยือนของเขา ทันทีที่เขาเข้ามาใกล้หน้าจออีกจอ มันก็สว่างขึ้นและภาพที่คุ้นเคยของซุนเฉิงก็ได้ฉายออกมา
"นั่นมันสํานักงานของศูนย์วิจัยที่ฉันบุกไปเมื่อคืนนี้เหรอ? ทําไมมันยังเป็นภาพเดิมอีกล่ะ? ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยตั้งแต่ฉันหมดสติงั้นเหรอ?"
บนหน้าจอ มันเป็นภาพเดียวกับที่ซุนเฉิงเห็นเมื่อคืนนี้ ร่างจักรกลขนาดเล็กเท่าหัวคนสามคนเรียงกันกำลังอยู่บนเก้าอี้
หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง เขาก็เห็นตัวเลขสองชุดอย่างรวดเร็วจากมุมของหน้าจอด้านนี้
ตัวเลขชุดหนึ่งเหมือนกับตัวเลขบนอีกจอที่อยู่ติดกัน มันเขียนว่าบูลสตาร์และด้านหลังเขียนว่า 65/1,000 ส่วนตัวเลขชุดที่สองแตกต่างจากชุดก่อนหน้า มันมีสัญลักษณ์ดาวสีขาวอยู่ด้านหน้าและมีตัวเลขชุดใหม่อย่าง 1/1 อยู่ด้านหลัง ซุนเฉิงพยายามวิเคราะห์ แต่ก็ไม่อาจเข้าใจมันได้อยู่ดี
ดูเหมือนว่าเมื่อคืนเขาจะไม่ได้ฝันไป แต่ที่นี่คือที่ไหนมั นคืออะไรกันแน่? เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเขา? หน้าจอสองหน้าจอนี้หมายถึงโลกสองใบงั้นเหรอ? เขาควรทำยังไงต่อไปดี? เขาควรตรวจสอบมันหรือเปล่า?
แม้ว่าจิตใต้สำนึกของเขาจะเตือนเขา แต่สิ่งที่เขากำลังพบอยู่ตอนนี้ไม่เพียงแต่เรื่องน่าเหลือเชื่อเท่านั้น แต่มันยังน่ากลัวอีกด้วย ลองคิดดูสิว่าหากเดินทางข้ามโลกหรือจักรวาลได้จะเป็นยังไง จากความทรงจำของเขาเมื่อคืนก่อน เขาเกือบถูกบาริเคดบีบคอในอีกโลกหนึ่ง ซึ่งมันทำให้เขารู้ดีเลยว่าการผจญภัยอันตรายแบบนี้ไม่เพียงแต่มีความเสี่ยงสูง แต่ยังเป็นอันตรายต่อชีวิตของเขาอีกด้วย!
ซุนเฉิงกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคืองและจ้องมองไปที่หน้าจอกำแสงตรงหน้าเขาอย่างมั่นคง
แต่อย่าลืมสิว่าเขาเองก็ยังเป็นวัยรุ่นไฟแรงอยู่…หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง เขาก็ไม่อาจต้านทานความปรารถนาของเขาที่จะลองเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่รู้จักดู
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่คิดหันหลังพร้อมกัดฟันและวิ่งไปยังหน้าจอกำแพงแสงเพื่อทะลุมิติไปอีกโลกหนึ่ง