ตอนที่แล้วบทที่ 4 ม้าโทรจัน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 6 ใครอยู่เบื้องหลัง (ตอนที่ 2)

บทที่ 5 ใครอยู่เบื้องหลัง (ตอนที่ 1)


บทที่ 5 ใครอยู่เบื้องหลัง (ตอนที่ 1)

"เกือบเก้าโมงแล้ว ทำไมซุนเฉิงถึงยังไม่มาอีก?”

หยางเฟยหาวและมองออกไปยังนอกประตู จากนั้นหันไปหาคนที่อยู่ข้างๆ เขาพร้อมบ่นด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “ซุนส่งข้อความในกลุ่มเมื่อบ่ายวานนี้บอกให้ทุกคนมาที่นี้เร็วๆ พวกเราสองสามคนมาถึงก่อน 8 โมงเช้าแล้ว ไหงเขายังไม่มาเลยล่ะ?”

"นายใจร้อนเกินไปแล้วน่า!”

หลัวหนาน ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นเลย สายตาของเขายังคงจับจ้องโทรศัพท์มือถือ แต่ปากกลับสามารถตอบอย่างฉุนเฉียวไปว่า "ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ ต่อให้เป็นคนตาบอดก็รู้ว่าพวกเราอาจจะประกาศยุบกลุ่มในไม่ช้านี้ ถึงมาช้าหรือมาเร็วมันจะแตกต่างอะไรกันเล่า?”

ใบหน้าของหยางเฟยดูเคร่งเครียดมาก แสดงว่าเขาเองก็คิดแบบเดียวกัน เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหัวและพูดว่า "ก็มันน่าเสียดายออก ทุกคนอุตส่าห์ทำงานหนักมาสามเดือนแล้วนะ...”

คำพูดนี้ได้ทำหลัวหนานเงียบไป เขาโกรธมากจนวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะข้างหน้าแล้วเอนหัวลงบนโต๊ะโดยไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมาอีก

...

ซุนเฉิงยามนี้กำลังยืนอยู่ที่บันไดของอาคารสำนักงานเก่าในวิทยาเขตเก่า เขาลังเลอยู่นาน ก่อนที่จะกัดฟันและเดินไปยังสำนักงานที่อยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว

ทันทีที่เขามาถึงประตูห้องทำงาน เขาก็รู้สึกว่ามีสายตาหลายคู่มองและจ้องมา ใบหน้าของพวกเขาล้วนแล้วแต่แดงก่ำ

“พี่ซุนมาแล้ว!”

เขาเห็นชายหนุ่มร่างอ้วนคนหนึ่งลุกขึ้นมาทักทายทันที ดวงตาของอีกฝ่ายดูมีความคาดหวังเป็นอย่างมาก ซึ่งทำให้ซุนเฉิงปวดใจยิ่งนัก

ชายหนุ่มคนนี้ชื่อหยางเฟย เอกคอมพิวเตอร์ ต่ำกว่าเขาหนึ่งปี ซึ่งอีกฝ่ายก็เหมือนกับ ซุนเฉิง เขาเป็นนักศึกษาที่วิทยาลัยเซาท์อินดัสเตรียลที่เดียวกันและเป็นคนที่เขาสนิทมากอีกด้วย

ซุนเฉิงรู้ดีว่าหยางเฟยคาดหวังอะไร  แต่ซุนเฉิงก็รู้สึกปวดใจยิ่งนักเมื่อคิดถึงเรื่องนี้...

มันกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไงกันนะ ?

เขาอดไม่ได้ที่จะถามตัวเองพลางเหลือบมองคนทั้งห้าคนในสำนักงาน ทันใดนั้นจมูกของเขาก็รู้สึกแสบร้อนมาก

สามเดือนที่ผ่านมา ซุนเฉิงมีความทะเยอทะยานมาก เขามั่นใจและเชื่อมั่นว่าเขาจะทำมันได้ เขายังคุยโวกับคนคนรอบข้างและกับอีกใครหลายคนๆ ด้วยว่า "นี่เป็นยุคมหัศจรรย์ ที่ซึ่งความสำเร็จจะเข้าข้างผู้ที่เตรียมพร้อม วันนี้เราอาจจะไม่เหลืออะไรเลยและพรุ่งนี้เราอาจจะยังยากจนอยู่ แต่หากเรามีความฝันและลงมือทํา อนาคตข้างหน้ามันจะตอบแทนเราร้อยเท่าเป็นพันเท่าต่อความพยายามของเราในวันนี้!"

เขาพูดเรื่องนี้มากกว่าหนึ่งครั้งกับตัวเอง กับคนอื่นๆ และแม้กระทั่งกับอาจารย์

บางทีในสายตาของคนพวกนั้น เขาที่ยังคงล้มเหลวอยู่เช่นนี้อาจถูกมองว่าเป็นแค่ไอ้โง่

แต่ถึงจะล้มเหลว เขาก็ไม่สามารถยอมรับมันได้!

ซุนเฉิงสูดหายใจเข้าลึกๆ ปิดกลั้นความรู้สึกอันบึ้งตึงในใจและเดินเข้าไปในสำนักงาน ภายใต้สายตาจ้องมองของคนหลายคน

“ฉันขอโทษที่ฉันมาสายไปจนทำให้พวกนายเสียเวลา! ฉันจะไม่พูดอ้อมค้อมนะ พวกนายคงเดาได้แล้วสินะว่าทำไมฉันถึงขอให้ทุกคนมาที่นี่วันนี้?”

เขาถอนหายใจ มันคงถึงเวลาที่ต้องเผชิญหน้าแล้ว “ฉันไม่เพียงแต่ทำร้ายตัวเอง แต่ยังขาดความรับผิดชอบต่อพวกนายทุกคนที่นี่”

ซุนเฉิงสงบสติลงและมองไปยัง หยางเฟย ลั่วหนาน ลู่หยูและคนหนุ่มสาวที่เขารู้จักในสำนักงานอย่างใจเย็น ก่อนพูดว่า "ปีนี้เป็นช่วงฤดูกาลแห่งการสำเร็จการศึกษาของฉันและทุกคนที่นี่ ฉันกับพวกนายเต็มไปด้วยความฝันและความทะเยอทะยาน พวกเราวางแผนและเตรียมพร้อมเมื่อสามเดือนที่แล้ว ฉันร่วมมือกับเพื่อนร่วมห้องสองคนและพี่ชายอีกคน เพื่อพัฒนาโครงการสตาร์ทอัพและสมัครรับการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัย โดยหวังว่าจะสร้างชื่อให้ตัวเราเองในฐานะคนหนุ่มสาวที่จะสำเร็จในอนาคต!"

เขาหยุดพูดชั่วขณะหนึ่งและยิ้มออกมาจนทำให้ทุกคนเงียบงันไป

“แม้ว่าฉันจะไม่อยากยอมรับ แต่ผลที่ได้มานั้นเลวร้ายยิ่ง ฉันล้มเหลวและพ่ายแพ้อย่างน่าสมเพชมาก จนวันนี้ฉันต้องกล่าว 'ขอโทษ' กับทุกคนที่ครั้งหนึ่งเคยหวังในตัวฉัน”

ซุนเฉิงมีความฝันที่เขาอยากจะทำให้เป็นจริงอยู่ แต่เขาก็รู้ดีกว่าใครๆ ว่าการบรรลุความฝันนี้นั้นยากเย็นเพียงใด ดังนั้นเขาจึงต้องใช้เวลาวางแผนเป็นเวลานานเพื่อให้มันสำเร็จ

เมื่อสามเดือนที่แล้ว เขาพาเพื่อนร่วมชั้นสองคนและเพื่อนร่วมห้องอีกคนหนึ่งสร้างแผนเริ่มต้นและสมัครขอรับทุนการสนับสนุนผู้ประกอบการจากมหาวิทยาลัย

บางทีแผนโครงการงานที่พวกเขาเขียนขอไปคงดีมาก หลังจากได้รับการตรวจสอบจากมหาวิทยาลัยไม่นาน พวกเขาก็ได้อนุมัติใบสมัครของซุนเฉิง พวกเขาไม่เพียงแต่ให้ใช้สํานักงานชั่วคราวภายในอาคารการสอนเก่าของวิทยาเขตเก่า แต่ยังมีคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะห้าเครื่องและเงินทุนสนับสนุน 30,000 หยวน

ในช่วงเริ่มต้นโครงการ ทุกคนต่างพยายามกันอย่างหนัก

ซุนเฉิงมีทักษะทางเทคนิคที่อ่อนที่สุดในบรรดาสมาชิกทีมทั้งสี่คน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รับผิดชอบต่อการพัฒนาอะไร ทว่าตัวเขามีทักษะในการพูดโน้มน้าวและเป็นผู้ริเริ่มสตาร์ทอัพนี้ ดังนั้นเขาจึงรับผิดชอบด้านการสรรหาบุคลากรการจัดการ บริหารงานและการระดมทุน

เมื่อมองย้อนกลับไปในตอนนี้ แม้ว่าช่วงเวลานั้นจะทั้งยากลำบากและเหนื่อยล้า แต่มันก็เต็มไปด้วยความสุขที่เต็มไปด้วยความหวังมากมาย

“แต่ฉันต้องขอโทษมากจริงๆ”

ซุนเฉิงโค้งคำนับและก้มศีรษะลง เขาขอโทษหยางเฟย ลั่วหนาน และอีกห้าคนอย่างเคร่งขรึม

“ฉันเป็นผู้รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวสำหรับความผิดพลาดทั้งหมดนี้ บางทีแผนโครงการนี้อาจผิดพลาดมาตั้งแต่ต้นแล้ว!”

เขายิ่งรู้สึกเจ็บปวดในใจเมื่อนึกถึงแฟลชไดรฟ์ในกระเป๋าและการคาดเดาหลายอย่างที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน ฟันของเขาขบเข้าหากันแน่นด้วยอาการเครียด

เห็นได้ชัดว่าด้วยนิสัยที่อ่อนน้อมถ่อมตนของซุนเฉิง จึงทำให้เพื่อนร่วมทีมของเขาหลายคนไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอะไรนัก

เมื่อเขาโค้งคำนับและขอโทษอย่างจริงจัง ขอรับผิดชอบทั้งหมดด้วยตัวเขาเอง หยางเฟยผู้ซึ่งมีความสนิทสนมและความสัมพันธ์ที่ดีที่สุดกับเขาย่อมไม่สามารถอยู่เฉยๆ ได้ เขาเป็นคนแรกเลยที่ยืนขึ้นและสนับสนุนซุนเฉิง

“พี่ซุน พี่กำลังพูดเรื่องอะไรอยู่เนี่ย? ทุกคนรู้สถานการณ์ที่เรากำลังเจอตอนนี้ดี ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้คนชั่วชื่อ ฮั่วเมี่ยว ที่มันทั้งโลภและหิวเงิน เรื่องทั้งหมดคงไม่กลายเป็นแบบนี้!”

ฮั่วเมี่ยว...

เมื่อได้ยินชื่อฮั่วเมี่ยวจากปากของหยางเฟย ซุนเฉิงก็ชะงัก เขาอ้าปากค้างอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่ในที่สุดก็ไม่พูดอะไรและเพียงส่ายหัวเล็กน้อย

ฮั่วเมี่ยวเป็นเพื่อนร่วมชั้นของเขาและเป็นหนึ่งในสี่สมาชิกดั้งเดิมของทีมเริ่มต้น ซุนเฉิงพยายามติดต่ออีกฝ่ายอย่างมากเพื่อจะรับเขาเข้ามาในทีมให้เป็นช่างเทคนิคของทีม เพราะเขามีทักษะการเขียนโปรแกรมที่เก่งมากจนแทบไม่ต่างกับมืออาชีพเลย

ครึ่งเดือนที่ผ่านมา ฮั่วเมี่ยวผู้เป็นหนึ่งในสี่คนก่อตั้งเก่าได้ส่งจดหมายลาออกฝากเพื่อนในทีมมาและไม่เคยกลับมาอีกเลย ต่อมาได้ยินว่าเขาได้เข้าร่วมกับทีมใหม่อีกทีม ซึ่งทำให้ซุนเฉิงเกลียดเขาไปอยู่พักหนึ่ง

แต่ตอนนี้เขารู้ดีแล้วว่าไอ้แผนโครงการที่คิดมาโดยคนไม่กี่คนมันมีปัญหาตั้งแต่แรกและมันเกินความสามารถของทีมเล็กๆ ของเขายากที่จะประสบความสำเร็จได้

ฮั่วเมี่ยวอาจเป็นอีกส่วนหนึ่งและเป็นคนเร่งให้ทีมล่มสลาย แต่หลังจากฉุนเฉิงรู้ถึงปัญหาทุกอย่างแล้ว เขาก็รู้สึกควรจะขอบคุณฮั่วเมี่ยวแทนด้วยซ้ำ

ถ้าหากฮั่วเมี่ยวไม่ได้ตัดสินใจออกไป เขาอาจจะยังเป็นไอ้บ้าที่มีความหวังโครงการที่ไม่มีวันสำเร็จนี้ อาจกําลังวิ่งหาเงินและระดมทุนเพื่อโครงการนี้อยู่ด้วยซ้ำไป

หากเป็นเช่นนั้น สภาพของเขาอาจดูแย่กว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้

ซุนเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และยังคงเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูด เขาก็กลั้นลมหายใจพักใหญ่เลย "ฉันเสนอโครงการออกไปเพราะในตอนแรกฉันเห็นความเป็นไปได้ของการทำงานข้ามแพลตฟอร์มของเกมมือถือ หวังว่าจะพัฒนาอีมูเลเตอร์ที่เข้ากันได้และใช้งานง่ายขึ้น น่าเสียดายที่ฉันมองเห็นแต่โอกาสและลืมความยากลำบากในการพัฒนาไป หากไม่มีเงินลงทุนมากกว่า 1 ล้าน  จะครึ่งปีหรือนานกว่านั้น มันก็ยังความล้มเหลวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี”

“เรายังคงมีงานอีกหลายจุดต้องจัดการ แต่ทางกองทุนเพื่อการพัฒนาได้ถูกตัดงบออกไปแล้ว เรามาถึงจุดจบแล้วล่ะ ฉันคิดอยู่สองสามวันถึงได้ตัดสินใจ บางทีมันอาจจะถึงเวลาต้องบอกลาพวกนายทุกคน”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เขาก็โค้งคำนับทุกคนอีกครั้ง "ฉันขอโทษทุกคน ฉันสัญญาไว้มาก แต่ฉันกลับไม่ได้ทำสำเร็จสักอย่าง ตอนนี้ฉันไม่สามารถแม้แต่จะเลี้ยงอาหารทุกคนเพื่อกล่าวอำลาได้  ฉันขอโทษจริงๆ!”

ซุนเฉิงโค้งคํานับโดยโน้มตัวลงอย่างนอบน้อมเป็นเวลานานมาก

ในห้องทำงานมีแต่ความเงียบ ทันใดนั้นเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นก็ได้ดังขึ้น เธอเป็นหญิงสาวเพียงคนเดียวที่อยู่ในกลุ่ม เธอปิดปากพยายามกลั้นร้องไห้อย่างเงียบๆ

หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไร แต่ละคนเริ่มก้าวเท้าออกจากห้องไป เสียงฝีเท้าก้าวเดินตรงไปที่ประตูสำนักงาน ผ่านไปสักพักก็ไม่มีเสียงใดอีก

ตลอดช่วงเวลานั้น ซุนเฉิงยังคงโค้งคำนับและไม่เคยเงยหน้าขึ้นมองเลย

หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เช็ดน้ำตาออกจากดวงตาของเขา เขาคิดว่าทุกคนจากไป แต่เขากลับพบว่ามีคนยังอยู่ข้างในห้องสํานักงาน “หยางเฟย?”

ซุนเฉิงสูดลมหายใจและพยายามกลั้นน้ำตา  เขาเองก็อยากจะร้องไห้ตามลําพัง

“พี่ซุน...” หยางเฟยถอนหายใจ “ถึงแม้ทีมจะถูกยุบลงแล้ว แต่พี่ไม่ควรต้องเสียใจเลย อันที่จริงเราไม่ได้ตำหนิพี่สักนิดเดียว เราทุกคนรับรู้ดีว่าพี่ต้องทนทุกข์และลำบากมากแค่ไหน”

ซุนเฉิงนิ่งและยังคงเงียบไป

เป็นเวลาสามเดือนที่พวกเขาทำโครงการมาเพื่อไล่ตามความฝันของเขา  เขาได้ยืมเงินสามถึงห้าพันหยวนจากเพื่อนร่วมห้องของเขาที่รู้จักเขามาสามปี และยังยืมเงินหนึ่งหมื่นถึงสองหมื่นหยวนจากเพื่อนๆ บางคนเพื่อที่จะคงเสถียรภาพของทีมเอาไว้  เขาไม่เพียงแต่ยืมเงินหนึ่งหมื่นหยวนในชื่อของเขาเองจากแพลตฟอร์มเงินกู้ของมหาวิทยาลัย แต่ยังขอยืมเงินทุนโครงการไปอีกห้าหมื่นหยวนอีก ถ้าคำนวณหนี้ที่เขากำลังแบกรับอยู่ตอนนี้ มันก็เกือบ 100,000 หยวนแล้ว (ประมาณ 500,000 บาท)

ตอนนี้โครงการล้มเหลว เขาสูญเสียเพื่อนร่วมงานและสายสัมพันธ์แห่งมิตรภาพไปแล้ว ไม่ว่ามันจะถูกหรือผิดยังไง หนี้ทั้งหมดนี้มีเพียงซุนเฉิงต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งทำให้เขาเป็นคนที่น่าสงสารที่สุด

หยางเฟยเองก็รู้สึกและอ่านอารมณ์อีกฝ่ายได้จากดวงตาที่เศร้าหมองและสีหน้าซีดเซียวของซุนเฉิน เขาได้แต่พยายามปลอบใจ แต่ไม่มีคำพูดใดๆ ออกมาจากซุนเฉิงเลย หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง เขาก็ถอนหายใจและพูดอย่างแผ่วเบาไปว่า "พี่ซุน ผมทิ้งกุญแจไว้บนโต๊ะของพี่นะครับ พี่เป็นผู้ชายที่สามารถทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้แน่ ความล้มเหลวเพียงครั้งเดียวมันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย หากพี่ต้องการความความช่วยเหลืออะไร ก็โทรหาผมได้เลยนะ”

เมื่อเห็นเขาพยักหน้าตอบช้าๆ หยางเฟยก็หันมองมาอย่างไม่เต็มใจและเหลียวมองไปที่สํานักงานที่พวกเขาใช้เวลาตลอดหลายเดือน ก่อนที่จะเดินจากไป จนทิ้งให้ในห้องเหลือเพียงซุนเฉิง

0 0 โหวต
Article Rating
1 Comment
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด