บทที่ 4 ม้าโทรจัน
บทที่ 4 ม้าโทรจัน
เขาไม่รู้ว่าเขาหมดสติไปนานแค่ไหน แต่ทันใดนั้นซุนเฉิงก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นเพราะมีเสียงดังมาจากประตูของห้องถัดไป เขายังคงรู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย เขาลองคลำไปรอบๆ โดยสัญชาตญาณและเขาก็ได้หยิบวัตถุเย็นเหยียบขึ้นมาวางตรงหน้าเขา พยายามลืมตาที่พร่ามัวเหลือบมองโทรศัพท์และพบว่ามันคือ วันที่ 14 เมษายน เวลา 08.23 น.
“นี่ฉันตื่นสายขนาดนี้เลยเหรอ?”
ซุนเฉิงลูบหัวอันเจ็บปวดของเขา โยนโทรศัพท์ไปข้างๆ แล้วหลับตาอีกครั้ง
"ข้าคือเฟรนซี่...สิ่งมีชีวิตจักรกลจากดาวไซเบอร์ตรอน..."
เมื่อนึกถึงความทรงจำอันวุ่นวายที่ยังคงค้างคาอยู่ในหัวของเขา ซุนเฉิงก็บิดตัวและพึมพำกับตัวเอง
"มันคงเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้นสินะ.."
ต้องเป็นฝันอยู่แล้วสิ!
เรื่องที่ไร้สาระเช่นนี้มีแต่จะเป็นความฝันเท่านั้น!
แต่มันก็ช่างเป็นความฝันที่วิเศษและเหลือเชื่อจริงๆ!
น่าประหลาดใจที่ซุนเฉิงไม่ลืมความทรงจำเมื่อเขาฟื้นคืนสติ เขาจำได้ทุกอย่างและรู้สึกเหมือนเขาเป็น "เฟรนซี่" ในความฝันไม่มีผิด เป็นสายลับจักรกลจากอารยธรรมมนุษย์ต่างดาวไซเบอร์ตรอน
เขาร่วมมือกับบาริเคด ผู้ซึ่งเป็นสหายของเขา ตัวเขาทำหน้าที่เป็นสายลับสอดแนมและแทรกซึมเข้าไปในสถาบันวิจัยของสหรัฐอเมริกา และใช้คอมพิวเตอร์ในสถาบันเพื่อเป็นช่องทางในการแฮ็กข้อมูลเข้าสู่อินเทอร์เน็ตของโลก
“ช่างเป็นความฝันที่ไร้สาระจริงๆ มนุษย์อย่างฉันจะกลายเป็นนักรบจักรกลได้ยังไงกัน?”
ซุนเฉิงลุกขึ้นจากเตียงแล้วหัวเราะ เขาหยิบบุหรี่มวนสุดท้ายออกมาจากซองที่อยู่มุมโต๊ะคอมพิวเตอร์และกำลังจะจุดบุหรี่ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงหยอกล้อกัน เขาจึงเดินไปที่หน้าต่างและมองลงไปที่ระเบียงมองดูนักศึกษาหนุ่มสาว ที่เปล่งประกายด้วยความเยาว์วัยและความมีชีวิตชีวาราวท้องฟ้ายามเช้า เขามองพวกเขาด้วยความอิจฉาและความรู้สึกเสียใจ
เขาคิดว่าหากทุกอย่างสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ก็คงดี! นี่น่ะเป็นความคิดที่ยังคงวงเวียนอยู่ในหัวของซุนเฉิงมาครึ่งเดือนแล้ว
ครั้งหนึ่งเขาเคยมีช่วงเวลาที่สดใส มีเพื่อนมากมายที่เขาสามารถพูดคุยได้ทั้งคืน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความฝัน การเล่นเกม หรือเรื่องต่างๆ นาๆ ช่างน่าเสียดายที่ตอนนี้พวกเขาได้หายไปหมดแล้ว!
เขาดูดบุหรี่และพ่นควันออกมา จากนั้นซุนเฉิงจึงหันกลับมาด้วยความเศร้าหมองและมองไปที่หอพักของเขาอย่างสงบ ตอนนี้มีเพียงเขาคนเดียวที่เหลืออยู่ในหอพักนั้น ไม่นานเขาก็ถอนหายใจเบาๆ ท่ามกลางควันบุหรี่
"แต่ก็ดีแล้วล่ะ!"
เขาโทษตัวเอง ทุกสิ่งยามนี้มันสายไปแล้วสำหรับซุนเฉิง จากนั้นเขาสูบบุหรี่เพื่อผ่อนคลายสักพัก เขารู้ว่าเมื่อคืนเขาคงดื่มมากเกินไปจนทำตัวเขามีกลิ่นตัวไปหมด ดังนั้นเขาหยิบกะละมัง เดินไปหอพักตรงข้ามเพื่ออาบแล้วจึงสวมชุดใหม่
พอเสร็จภารกิจก็กลับเข้าห้อง หยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาหนึ่งห่อ ฉีกเปิดเทน้ำร้อนแล้วนำไปวางที่โต๊ะคอมพิวเตอร์
โต๊ะคอมพิวเตอร์ตรงหน้าเขารกรุงรัง มีเบียร์เปล่าสามขวดอาหารเย็นกองหนึ่ง มันฝรั่งส่งกลิ่นรสเปรี้ยวและที่ยังเหลืออีกสองสามชิ้นส่งกลิ่นเหม็น ซึ่งทำให้ซุนเฉิงรู้สึกไม่ดีเท่าไร เขาถอนหายใจพร้อมวางกล่องบะหมี่ลง ก้มลงหยิบถังขยะแล้วโยนขยะทั้งหมดบนโต๊ะลงไป
เขานำผ้ามาเช็ดโต๊ะให้สะอาด จากนั้นเขาก็นั่งที่โต๊ะคอมพิวเตอร์แล้วเปิดคอมพิวเตอร์
“หืม? พังอีกแล้วเหรอ?”
ซุนเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเขาเห็นว่าโน๊ตบุ๊คไอบีเอ็มที่เขาพึ่งซื้อมาไม่ถึงปีขณะที่เขาเปิดเครื่อง มันกลับค้างไปเสียอย่างนั้น
โน๊ตบุ๊คของเขาสร้างปัญหามากมายให้เขาพอควร ขัดข้องโดยไม่รู้สาเหตุและสร้างความสับสนให้กับเขาเอามาก เขาเคยเอาไปที่ร้านเพื่อซ่อมแล้ว แต่ช่างซ่อมก็ไม่พบปัญหาอะไร ช่างซ่อมได้ติดตั้งระบบใหม่ แต่มันก็ยังพังอีก ทำให้เขาปวดหัวจริงๆ เลย
โดยทั่วไปแล้วมีเหตุผลเพียงไม่กี่ประการที่ทำให้คอมพิวเตอร์พัง มีฝุ่นมากเกินไปจนทำให้ฮาร์ดแวร์ขัดข้อง ซอฟต์แวร์เข้ากันไม่ได้ หรือปัญหาของตัวระบบเอง
หากเป็นประการแรกก็สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง ส่วนสองประการที่อาจเกิดจากความล้มเหลวของฮาร์ดแวร์และฝุ่นที่มากเกินไปบนคอมพิวเตอร์ ซุนเฉิงนั้นเป็นนักศึกษาสาขาวิชาไมโครอิเล็กทรอนิกส์ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเซาเทิร์น ชอบถอดประกอบทำความสะอาดและตรวจสอบฮาร์ดแวร์เป็นประจำ เขาเพิ่งทำความสะอาดเมื่อไม่กี่วันก่อน ดังนั้นจึงไม่มีทางเลยที่จะเป็นปัญหาที่สอง
ส่วนเรื่องความไม่เข้ากันของซอฟต์แวร์นั้น ซุนเฉิงไม่มีโปรแกรมซอฟต์แวร์อะไรมากมายในคอมพิวเตอร์ของเขา เขาได้ทดสอบใช้แล้ว แสดงว่าไม่มีปัญหาความเข้ากันได้ จึงเหลือความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวนั่นคือปัญหาของระบบ
ซึ่งก็เป็นอันเข้าใจได้ แม้ว่าคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ในจีนจะได้รับการอัปเดตเป็น Windows 7 8 หรือ 10 ไปแล้ว แต่ก็ยังมีคนจำนวนมากเหมือนซุนเฉิงที่ยังใช้ระบบ XP ที่แสนล้าสมัยอยู่
อาจเพราะ Windows XP มันใช้งานง่ายกว่ามาก รวมทั้งคุ้นชินกว่าด้วย ทำให้พอเปลี่ยนไปใช้ Windows 7 มาสองสามครั้งแล้ว มันก็ทำให้เขารู้สึกว่ามันลำบาก ทั้งยังรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ทำให้เขาจึงไม่เคยเปลี่ยนเลย
"ไหนขอฉันตรวจสอบกระดานสนทนาทีซิว่ามีแพตช์ใหม่เข้าหรือเปล่า..."
ซุนเฉิงปิดโน๊ตบุ๊คของเขาแล้วเปิดใหม่อีกครั้ง หลังจากนั้นไม่กี่นาทีเขาก็ตกใจเมื่อเห็นหน้าจอ
“อ่า ฉันเข้าใจคำศัพท์ภาษาอังกฤษทั้งหมดนี้ได้ด้วย!”
เขาตกใจกับการค้นพบครั้งใหม่ของเขามาก!
ซุนเฉิงรู้ดีถึงความสามารถทางภาษาอังกฤษของเขา แม้ว่าเขาจะผ่านการสอบระดับ 1 เมื่อปีที่แล้ว และได้รับประกาศนียบัตรภาษาอังกฤษระดับมืออาชีพแห่งชาติระดับ 1 แต่เขาก็ลืมคำศัพท์ภาษาอังกฤษส่วนใหญ่ที่เขาได้เรียนรู้ภายในหกเดือนหลังการสอบไปแล้ว
ทว่าตอนนี้เขากลับรู้สึกแปลกใจในตัวเขาเองมาก เพราะเขาไม่เพียงแต่เข้าใจภาษาอังกฤษเท่านั้น แต่ยังเข้าใจวิธีการแก้ไขโปรแกรมต่างๆ อีกด้วย ซุนเฉิงรู้ดีกว่าใครๆ ว่าทักษะคอมพิวเตอร์ของเขาดีกว่าคนทั่วไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
"อะไรวะเนี่ย…"
เขาขยี้ตาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ จ้องมองอีกครั้งและเห็นว่ามันเป็นความจริง ด้วยความอยากที่จะลองทดสอบดู ซุนเฉิงจึงกดปุ่ม F8 อย่างรวดเร็วเพื่อเข้าสู่เซฟโหมดของWindows XP ที่ติดตั้งบนคอมพิวเตอร์ของเขา มันยังคงเป็น XP เวอร์ชั่นเก่าที่เพื่อนร่วมห้องของเขาลงไว้ให้ ซึ่งภาษาที่อยู่ในเซฟโหมดทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นภาษาอังกฤษ
หากเป็นตามปกติ แม้ว่าซุนเฉิงจะเข้าสู่เซฟโหมดและมีคู่มือภาษาอังกฤษ เขาก็คงไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อไปยังไง แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เลย ทุกอย่างกลับดูง่ายดายมาก
หลังจากเข้าสู่เซฟโหมดและเรียกดูตัวเลือกภาษาอังกฤษทีละตัว ซุนเฉิงก็เข้าใจความหมายและการทำงานของแต่ละบรรทัดอย่างถ่องแท้ ราวกับคำแนะนำต่างๆ ปรากฏอยู่ในหัวของเขา
ผ่านไปพักหนึ่ง ดูเหมือนตัวเขายามนี้จะแตกต่างไปจากเดิม มือซ้ายและขวาของเขาแตะแป้นพิมพ์อย่างรวดเร็ว เขาสามารถควบคุมเมาส์ได้ในขณะที่เลือกตัวเลือกไปมาอย่างรวดเร็ว ระบบปฏิบัติการ XP ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะเข้าใจ บัดนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งที่เขาเข้าใจมันอย่างท่องแท้ อักษรและรหัสทุกตัว เขาเข้าใจมันได้หมดทุกประโยค
หลังจากพิมพ์บนคีย์บอร์ดไปสักพัก ในที่สุดซุนเฉิงก็เข้าสู่ระบบและทำการทดสอบซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ด้วยตนเองอย่างละเอียด
เมื่อเขาดูโปรแกรมทดสอบตัวเองเริ่มต้นขึ้น เขาก็นั่งมองหน้าคอมพิวเตอร์อย่างไม่อยากเชื่อสายตา จ้องมองที่มือของเขาแล้วกลับมาที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยสีหน้าตกใจ
"ฉันทำสิ่งนี้ได้จริงๆ เหรอเนี่ย?"
สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาช่างแปลกประหลาดมากจริงๆ!
ซุนเฉิงสามารถเข้าใจตัวอักษรภาษาอังกฤษในโน๊ตบุ๊คนี้ได้ไงกัน? หรือเป็นเพราะความรู้ภาษาอังกฤษที่เขาได้เรียนรู้มา? แต่งั้นแล้วเรื่องความรู้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์พวกนี้ล่ะมาจากไหน?
มันเหมือนกับว่าภายในหัวของเขามีสมองที่เหนือชั้นเป็นพิเศษ กระทั่งแฮ็กเกอร์อันดับต้นๆ ที่อ้างตนว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญระบบ XP ก็ไม่อาจต่อกรได้ เหมือนเด็กที่ไม่อาจทัดเทียมสู้ผู้ใหญ่
ซุนเฉิงรู้ดีถึงทักษะในการใช้คอมพิวเตอร์ของเขา แม้ว่าเขาจะเก่งกว่าคนทั่วไปในสาขาวิศวกรรมไฟฟ้า แต่เขาก็คงไม่เก่งไปกว่าพวกมืออาชีพ อย่าลืมสิว่าในโลกใบนี้ยังมีกูรูด้านคอมพิวเตอร์ในโลกที่สามารถสรุปวิธีต่างๆ มากมายในการปรับปรุง Windows XP ภายในหนึ่งหรือสองนาทีอยู่
ขณะที่เขาใช้สมองครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา ทันใดนั้นโน๊ตบุ๊คของซุนเฉิงก็ส่งเสียง "ติ๊ง" ซึ่งทำให้เขาได้แต่ขมวดคิ้ว ปรากฎว่าระบบ XP ได้ตรวจสอบตัวเองอย่างละเอียดแล้ว แต่มันยังไม่พบความผิดปกติใดๆ ที่ทำให้เครื่องพัง
เขาจึงล้มเลิกความคิดอยากรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาชั่วคราว จากนั้นด้วยการคลิกเพียงไม่กี่ครั้งบนแป้นพิมพ์ เขาก็เปิดบันทึกข้อขัดข้องที่ผิดปกติ ซึ่งซ่อนอยู่ในไฟล์ระบบขึ้นมา หลังจากเรียกดูไปได้สักพัก ใบหน้าของซุนเฉิงก็มัวหมองลงไปมาก "มีโฟลเดอร์ที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ในระบบไดรฟ์ C เนี่ยนะ? ทุกครั้งที่คอมพิวเตอร์ขัดข้อง ไฟล์ในคอมพิวเตอร์ของฉันจะถูกสแกนเข้ากับเครือข่าย?"
ปรากฏว่าโน๊ตบุ๊คของเขาติดไวรัส
ในที่สุดซุนเฉิงก็รู้สาเหตุที่โน๊ตบุ๊คของเขาพังบ่อยๆ แล้ว
เมื่อเขากำลังจะลบไฟล์ไวรัสในเซฟโหมด ทันใดนั้นซุนเฉิงก็เพิ่งนึกได้ว่าจู่ๆ ทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ของเขาก็พัฒนาขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้ เขาจึงเริ่มสนใจไวรัสในคอมพิวเตอร์ของเขา จดชื่อโฟลเดอร์ที่มีไวรัสลงในกระดาษทันทีและเลือกที่จะบูตในเซฟโหมด
หลังจากที่คอมพิวเตอร์เริ่มทำงาน ซุนเฉิงเปิดไดรฟ์ C ทันทีและพบโฟลเดอร์ที่น่าสงสัยซ่อนอยู่ในไฟล์ระบบจำนวนมาก เขาพยายามเปิดมัน แต่ก็ถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าไป ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ เขาคงไม่มีวิธีแก้ปัญหา
แต่ตอนนี้ซุนเฉิงเพียงขมวดคิ้วเล็กน้อย
เมื่อเขารู้ว่าไม่สามารถเข้าถึงโฟลเดอร์ที่น่าสงสัยได้ จู่ๆ ในสมองกลับมีวิธีแก้ปัญหาต่างๆ เข้ามาในหัวของเขา มันเป็นความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เขาลองนึกทบทวนวิธีแก้เหล่านั้นดู ซึ่งทุกวิธีที่เขาคิดล้วนแล้วแต่เป็นไปได้
เขาเลือกตัวเลือกที่ง่ายที่สุด ซึ่งก็คือการเพิ่มสิทธิ์คอมพิวเตอร์ของเขาไปที่ระดับสูงสุด จากนั้นจึงเข้าถึงโฟลเดอร์ ครั้งนี้ไม่มีเซอร์ไพรส์อะไร เขาคลิกเปิดมันอย่างง่ายดาย
"Swttrs.exe? เป็นโทรจันสินะ..."
หลังจากตรวจสอบซอร์สโค้ดของไฟล์แล้วซุนเฉิงก็ได้แต่ขมวดคิ้วขึ้น "วันที่ติดตั้งคือวันที่ 24 กุมภาพันธ์ นั่นเป็นวันที่ฉันติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ใหม่ไม่ใช่เหรอ?"
จากทดสอบซอร์สโค้ดมาสักพักหนึ่ง เขาก็รู้สึกเครียดในทันที
"จริงสิ ถ้าไวรัสโทรจันถูกติดตั้งบนคอมพิวเตอร์ของฉันพร้อมกับระบบ...บางที..."
ทันใดนั้นเขาก็ก้มลงและค้นหาในลิ้นชักใต้โต๊ะคอมพิวเตอร์
หลังจากนั้นไม่นาน ในที่สุดเขาก็พบแฟลชไดรฟ์ USB ขนาด 2GB รุ่นเก่า เขายกมันขึ้นต่อหน้าเขาด้วยสายตาที่ลังเล
“ฉันหวังว่านี่จะไม่ใช่สิ่งที่ฉันคิดหรอกนะ…”
หน้าตาของซุนเฉิงดูเครียดมาก เขาถอนหายใจและรู้สึกไม่อยากอาหารเลย เขารีบปิดคอมพิวเตอร์ตรงหน้าทันที เก็บแฟลชไดรฟ์ USB ใส่ในกระเป๋าแล้วเขาก็ควานหามือถือบนเตียง ก่อนจะหยิบขึ้นมาและรีบเร่งหยิบกุญแจแล้วเดินออกไป