บทที่ 337: คำขอร้องของพ่อค้าวานิชจากต่างเผ่า!
เช้าวันรุ่งขึ้น มีพ่อค้าวานิชต่างเผ่ามาขอพบถังเจิ้น
นับตั้งแต่เปิดย่านการค้ามานี่ก็เป็นครั้งแรกเลยที่มีพ่อค้าวานิชมาขอเข้าพบ ดังนั้นถังเจิ้นจึงอยากลองพบอยู่เหมือนกัน
ในห้องโถงของเจ้าเมืองอันกว้างขวาง ถังเจินกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ และตัวแทนพ่อค้าวานิชในชุดเสื้อคลุมได้เดินเข้ามา
ครั้งนี้มีพ่อค้าวานิชมาขอพบหลายสิบคน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่ถังเจิ้นจะพบทุกคนดังนั้นจึงให้อีกฝ่ายส่งตัวแทนมาพบแค่คนเดียวพอ
โดยคนที่มานี้มีรูปร่างสูงผมเหมือนมนุษย์ที่ถูกจับทำมัมมี่ แต่ว่าที่หัวมีเขาแหลม ๆ หลายอัน มีเขี้ยวสองซี่ยื่นออกมาจากริมฝีปาก
“พ่อค้าแห่งผ่าวิญญาณไม้นามว่ารั่วเกิน (รากอ่อน) คารวะท่านเจ้าเมืองครับ!”
ถังเจิ้นส่ายหน้าแล้วโบกมือให้อีกฝ่ายตามสบาย
“ไม่ทราบว่าคุณรั่วเกินมีอะไรให้ช่วยเหรอครับ” ถังเจิ้นพูดกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายและสุภาพ
“ผมกับหุ้นส่วนหวังว่าจะได้รับใบอนุญาตฉายภาพยนตร์โดยสามารถนำไปเผยแพร่ในสถานที่แห่งอื่นจากท่านน่ะครับ
แล้วก็โดยส่วนตัวคือผมอยากขอให้ท่านช่วยสร้างภาพยนตร์ที่คล้าย ๆ กันแต่เป็นเรื่องของเผ่าวิญญาณไม้ซึ่งมีตัวเอกเป็นนักแสดงจากเผ่าวิญญาณไม้ของผมด้วยน่ะครับ!”
รั่วเกินพูดพลางมองถังเจิ้นด้วยสายตาคาดหวังและจริงใจ
รั่วเกินเป็นนักธุรกิจที่ชาญฉลาดและกล้าหาญมาก โดยหลังจากที่ได้ดูหนังเรื่องเมื่อคืนนี้ก็มองเห็นหนทางทำเงินขึ้นมาได้ทันที
และแน่นอนว่าไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่เห็นถึงเรื่องนี้
ทุกคนที่มาต่างเห็นพ้องต้องกันว่าถ้าเอาหนังนี่ไปฉายโดยเก็บค่าเข้าชมล่ะก็รับรองว่าได้กำไรอื้อซ่า
และเรื่องส่วนตัวนั่นก็เพราะตัวรั่วเกินเองยังมีความฝันที่ติดอยู่ในใจเสมอมา นั่นคือการบันทึกการเดินทางไปทำการค้าขายตามที่ต่าง ๆ ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาและเอาไว้ใช้ย้อนทวนชื่นชมเมื่อตนเองถึงวัยชราและไม่อาจทำต่อได้แล้ว
ในช่วงยี่สิบสามสิบปีมานี้รั่วเกินใช้การจดบันทึกลงในหนังลูกวัวและเก็บรักษาไว้ในกล่องไม้ใบใหญ่
ดังนั้นเมื่อเขามาถึงย่านการค้าเชิ่งหลงและเห็นกล้องถ่ายรูปเข้าก็เลยซื้อมันทันทีและถือว่านี่คือสมบัติที่แท้ทรู
ชาวเผ่าวิญญาณไม้นั่นล้วนเต็มไปด้วยความปรารถนาในเชิงศิลปะและความงาม พวกเขาเกลียดชังสงครามซึ่งเป็นสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้พวกเขามีโหลวเฉิงเป็นของตัวเองขนาดใหญ่แต่ไม่ค่อยมีสงครามอะไรกับใคร
และตัวรั่วเกินเองก็ชอบถูกเรียกว่านักกวีมากกว่านักธุรกิจ และหนังที่ฉายเมื่อคืนนี้ก็ทำให้เขาถึงกับต้องตกอยู่ในภวังค์
เสียงในใจของเขาได้กู่ร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่งว่าจะต้องถ่ายหนังแบบนี้ให้ด้ายยยยยย ไปบันทึกอัตชีวประวัติของตนลงบนแผ่นฟิล์มซ้า...
ซึ่งมันได้วนเวียนเวียนวนอยู่ในหัวตลอดทั้งคืน และพอรุ่งสางมาถึงก็ตัดสินใจมาหาถังเจิ้นนี่แหละ
รั่วเกินยินดีจ่ายเต็มที่เพื่อให้ได้สร้างหนังที่ตนเองต้องการ และจะต้องสร้างให้ได้ด้วย!
ถังเจิ้นนั่งฟังเรื่องราวของรั่วเกินเงียบ ๆ โดยในใจก็นึกถึงความเป็นไปได้ในการขายหนัง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นสื่อที่ยอดเยี่ยมในด้านการขยายอิทธิพลของเมืองเชิ่งหลง โลกภายนอกสามารถเข้าใจเมืองเชิ่งหลงได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นผ่านผลงานภาพยนตร์ และในขณะเดียวกันก็ดึงดูดผู้คนเข้าสู่เมืองเชิ่งหลงได้มากขึ้นไปด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น ตัวหนังเองยังเป็นอุตสาหกรรมที่ดึงดูดเงินได้ดี ซึ่งข้อพิสูจน์ที่เขาได้เห็นมาแล้วก็คือการพัฒนาอันเฟื่องฟูของโลกเดิมนั่นเอง
การใช้ภาพยนตร์โปรโมตและขยายอิทธิพลของเมืองเชิ่งหลงพร้อมกับรับลูกปัดสมองกองใหญ่เข้ากระเป๋าถือเป็นไอเดียที่บรรเจิดไม่น้อยเลยทีเดียว
เดิมทีถังเจิ้นคิดเพียงแค่จะใช้กำลังในการพิชิตศัตรูแต่อย่างเดียว แต่ดูท่าว่าจะมีวิธีอื่นอยู่ด้วยนะเนี่ย
ไม่นึกเลยว่าแค่สร้างหนังเล่น ๆ ขึ้นมาเรื่องเดียวจะนำพาไอเดียใหม่ ๆ มาให้ด้วย อะไรจะโคตรเซอร์ไพรส์ขนาดนี้
ถังเจิ้นคิดอะไรไปเรื่อยอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยตอบตกลงซึ่งทำให้รั่วเกินตื่นเต้นสุด ๆ
ถังเจิ้นได้บอกกับรั่วเกินไปว่าถ้าจะถ่ายหนังล่ะก็จะต้องถ่ายที่เมืองเชิ่งหลงเท่านั้น
โดยเมืองเชิ่งหลงจะให้บริการด้านอื่น ๆ ทั้งหมด ส่วนตัวรั่วเกินเองนั้นมีหน้าทีแค่เตรียมสคริปต์กับลูกปัดสมองให้พอเท่านั้น
รัวเกินที่ได้คำตอบที่ตนพอใจก็รีบกลับไปที่กองคาราวานของตนอย่างมีความสุขและเริ่มร่างบท
ตลอดชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยมีช่วงเวลาไหนเลยที่จะรู้สึกดีแบบนี้ มันทำให้รู้สึกว่าตัวเองอ่อนเยาว์ลงไปหลายสิบปี พลังจากไหนก็ไม่รู้ล้นปรี่ออกมา
เมื่อรั่วเกินกลับไปแล้วถังเจิ้นก็เตรียมตัว
ของในโลกโหลวเฉิงไม่สามารถตอบสนองความต้องการของเขาได้ ดังนั้นจึงต้องกลับโลกเดิม
หากต้องการบริหารอุตสาหกรรมภาพยนตร์จนกลายเป็นโครงการที่ทำกำไรได้ล่ะก็จำเป็นต้องมีความร่วมมือจากหลาย ๆ ด้าน ตัวถังเจิ้นคนเดียวไม่อาจทำทั้งหมดเองได้ ดังนั้นส่วนอื่น ๆ ที่เขาทำไม่ได้ก็ต้องให้ชาวเมืองเอาไปทำ
เมื่อเทเลพอร์ตกลับมาที่โลกเดิมแล้วถังเจิ้นก็เขียนรายการที่ต้องการซื้อและสร้าง ไม่ว่าจะเป็นโปรเจ็กเตอร์ อุปกรณ์ถ่ายภาพ และอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ที่เหมาะสมในการใช้ที่โลกโหลวเฉิง
เสร็จก็มอบรายการสิ่งของให้กับปาร์โกไปจัดการหามา
เสร็จจากเรื่องนี้แล้วถังเจิ้นก็ไปขนย้ายของที่โกดัง
ซึ่งครั้งนี้ของมีเยอะมาก แม้เขาจะอัปเกรดช่องเก็บของแล้วแต่ก็ยังต้องใช้เวลาอีกเกือบชั่วโมงกว่าจะขนไปหมด
ต่อมาก็กลับมายังบ้านของอีวานอฟแล้วก็เปิดวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ประชุมทางไกล
ภาพของอีวานอฟกำลังเอกขเนกบนโซฟ้าตัวใหญ่ที่ดูนุ่มสบายได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าถังเจิน
ตราบใดที่มีอุปกรณ์ถ่ายวิดีโอเช่น โทรศัพท์มือถือหรือโน้ตบุ๊กก็ล้วนสามารถเชื่อมต่อด้วย [ชุดเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์สากล] ได้ทั้งสิ้น
ภายในไม่กี่วินาทีซูเฟิงที่สมาพันเอเชีย คุมิโกะที่วาจิมะ และอิมเฮซุนที่แดนกิมจิก็ได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าถังเจิ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
หลังจากพูดคุยทักทายอะไรกันพอเป็นพิธีแล้วถังเจิ้นก็บอกกับทั้ง 4 คนว่าเขาจะใช้หนังเพื่อโปรโมตให้โลกเดิมค่อย ๆ ปรับตัวคุ้นชินกับโลกโหลวเฉิง และจะใช้โอกาสนี้ในการบ่มเพาะผู้มีความสามารถพิเศษไปด้วยเลย
อีกทั้งถังเจิ้นยังเปิดเผยข้อมูลเรื่องแผนการถ่ายโอนวิญญาณข้ามโลกไปด้วยว่าจะทำอะไรยังไงบ้าง
และที่เขาเลือกเปิดเผยตอนนี้ก็เพราะต้องการฟังความเห็นของทั้ง 4 ด้วย ถึงยังไงคนที่ต้องปฏิบัติการจริง ๆ ก็คือทั้ง 4 คนนี้นี่แหละ
ถังเจิ้นพูดจบก็เปิดหนังให้ทุกคนได้ดู
ทั้งทิวทัศน์ที่สวยงามของโลกโหลวเฉิง ทั้งมอนสเตอร์ที่น่าสะพรึงกลัว และมันน่าตื่นเต้นก็เพราะการตัดต่อขั้นเทพนี่แหละ
คนดูที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ย่อมถูกดึงดูดจนยากจะถอนตัว ขนาดหนังเล่นจบแล้วแต่ทั่ง 4 ก็ยังคงไม่ได้สติอยู่นาน ใบหน้าของแต่ละคนต่างเต็มไปด้วยความตกใจและความกระตือรือร้น
“สวรรค์โปรด นี่น่ะเหรอโลกโหลวเฉิง! นี่มัน... ไม่รู้จะพูดยังไงเลย!”
ทั้งหมดใช้เวลาย่อยข้อมูลอยู่นานกว่าจะกลับมาตั้งสติได้ พวกเขารู้ดีว่าที่เห็นเมื่อกี๊นี้มันไม่ใช่แค่หนัง แต่เป็นโลกจริง โลกที่มีตัวตนอยู่จริง ๆ!
ด้วยการถ่ายโอนวิญญาณข้ามโลกจะทำให้วิญญาณของมนุษย์จากโลกเดิมถูกส่งไปยังอีกโลกหนึ่ง แล้วก็สร้างโลกใหม่กันที่นั่น
นี่มันคือแผนการขนาดยักษ์ เป็นเมกกะโปรเจกต์ที่จะส่งผลกระทบต่ออนาคตของมนุษยชาติอย่างใหญ่หลวงและถึงขั้นเขียนเป็นหน้าประวัติศาสตร์ขึ้นมาได้เลยทีเดียว
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งซูเฟิงก็สูดหายใจเข้าลึกแล้วนวดหน้าตัวเองทีหนึ่งเพื่อจัดโหงวเฮ้งใหม่
“เรื่องบ่มเพาะผู้มีความสามารถที่ท่านทูตว่าผมเห็นด้วยนะ
อุตส่าห์เสียทรัพยากรไปเพียบเลยนี่นา มันต้องได้ผลตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อสิ
ผู้ดีกับไพร่ แม้ทั้งคู่จะใช้ทรัพยากรเหมือนกันเมื่อถ่ายโอนวิญญาณก็เถอะ แต่คุณค่าที่ทั้งคู่จะแสดงออกมากลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะงั้นผมเลยเห็นด้วยกับการบ่มเพาะผู้มีความสามารถขึ้นมาล่วงหน้า”
พูดจบก็นวดขมับจัดโหงวเฮ้งตัวเองต่อ
ถังเจิ้นสังเกตเห็นว่าที่ขมับของซูเฟิงเริ่มมีผมขาวแซมขึ้นมาบ้างแล้ว และสีหน้าก็ค่อนข้างจะซีดเซียวเลยทีเดียว
เห็นได้ชัดว่าการฝึกฝนคนมีความสามารถในสามาพันธ์เอเชียนั้นต้องใช้พลังงานหนักแน่ ๆ
“ภาพยนตร์ที่ท่านทูตให้ดูเมื่อกี๊จะช่วยให้คนเข้าใจโลกโหลวเฉิงได้มากยิ่งขึ้น ข้อได้เปรียบที่สุดคือสามารถขจัดความไม่คุ้นเคยกับโลกโหลวเฉิงในใจทุกคนได้ แล้วอย่างน้อย ๆ ก็น่าจะดึงดูดใจแฟน ๆ ได้บ้างบางส่วนล่ะนะ
ส่วนเรื่องการบ่มเพาะคนมีความสามารถผมว่าควรจะฝึกคนในองค์กรเราก่อน”
หลังจากซูเฟิงพูดจบอีวานอฟก็พูดต่อ “ถ้าเราฝึกคนในองค์กรเราก่อนก็เลี่ยงการใช้จ่ายเงินก้อนโตไม่ได้ แล้วเราจะจัดสรรบุคลากรก่อนที่จะเริ่มการถ่ายโอนวิญญาณยังไง...
อืม... ถ้าเป็นไปได้ผมอยากมีที่ที่เป็นอิสระของตัวเองเลย จะได้ทำอะไรได้เต็มเหนี่ยวหน่อย”
ถังเจิ้นพยักหน้ารับกับความคิดดี ๆ และด้วยความรวยของเขาในตอนนี้สามารถซื้อที่ดินหรือเกาะซักเกาะในโลกนี้เพื่อใช้เป็นฐานทัพของตัวเองได้แล้ว
และถ้าทำแบบนั้นทุกสิ่งทุกอย่างในฐานจะถูกเปิดเผยต่อสายตาของผู้ที่ชอบสอดส่องและถูกกองกำลังนับไม่ถ้วนคอยจับตามอง
บางทีภายในไม่กี่ปีคนทั่วโลกก็คงจะรู้กันหมดว่าที่นั่นเป็นสถานที่แบบไหน!
แต่เมื่อถึงเวลานั้นการทดลองของถังเจิ้นน่าจะสำเร็จเสร็จสิ้นไปหมดแล้วและไม่จำเป็นต้องปกปิดอีกต่อไป
คิดถึงตรงนี้ก็มอบหมายให้อีวานอฟไปจัดการ ส่วนตัวเขาเองจะจัดการเรื่องเงินให้
ต่อมาอิมเฮซุนกับคุมิโกะก็ได้เสนอไอเดียของตนเช่นกัน โดยที่อิมเฮซุนขอให้ใช้หนังเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ในการโปรโมตเกมเวอร์ชวลเรียลลิตี้ที่กำลังจะเปิดตัว ส่วนคุมิโกะนั้นขอเรื่องลิขสิทธิ์เพื่อเอาไปใช้หาเงินเพิ่ม
การประชุมทางไกลดำเนินไปเป็นเวลาหลายชั่วโมง และหลังจากที่ได้ข้อสรุปทุกคนก็เริ่มลงมือทำงานของตน