บทที่ 10 สตาร์สครีม
บทที่ 10 สตาร์สครีม
ทูซอนเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในหุบเขาทะเลทรายที่ถูกล้อมรอบด้วยภูเขา
มันตั้งอยู่ในเทศมณฑลพิมาทางตอนใต้ของรัฐแอริโซนา อยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา แต่กินพื้นที่เกือบทั่วทั้งสหรัฐอเมริกาไปจนถึงวอชิงตันดีซี
ด้วยความที่มีระยะทางที่ห่างไกลจากจุดที่พวกเขาอยู่ แต่เพื่อหลีกเลี่ยงสายตาของมนุษย์ บาริเคดจึงต้องใช้เวลาเกือบ 15 ชั่วโมงในการขับรถตำรวจพาซุนเฉิงผ่านถนนที่ว่างเปล่าไปยังทูซอน เพื่อหลีกเลี่ยงสายตาที่อาจกำลังจับจ้องมาที่พวกเขา
ความเงียบเกิดขึ้นตลอดการเดินทาง ในที่สุดซุนเฉิงก็รู้สึกว่ารถเริ่มช้าและหยุดลง
"เรามาถึงแล้ว" บาริเคดกล่าว
เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถ ซุนเฉิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัยเล็กน้อย
ด้วยสายตาจักรกลของเขา แม้ว่าจะเป็นช่วงดึกและไม่มีแสงไฟอยู่รอบๆ แต่มันก็ไม่มีปัญหาอะไรเลยสำหรับเขา
“ที่นี่เป็นพื้นที่ภูเขางั้นเหรอ?”
ห่างออกไปหลายร้อยเมตรเป็นเนินเขา ซึ่งมันไกลสุดลูกหูลูกตาและมืดจนไม่อาจมองเห็นได้ ราวกับสัตว์ร้ายน่าสะพรึงกลัวรอขย้ำเหยื่อที่พุ่งเข้ามา
ความรู้สึกนี้ทำให้ซุนเฉิงรู้สึกอึดอัดมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบาริเคดเปิดประตูผู้โดยสาร แม่แบบสายลับที่ติดตั้งอยู่บนตัวเขาก็ร้องเตือนเขาทันที
แม้ว่ามันจะเป็นเพียงครู่เดียว แต่เขาก็สามารถจับภาพและสายตาที่ไม่เป็นมิตรจากความมืดได้
"ลงจากรถไป!” บาริเคดเร่งเร้าด้วยความหงุดหงิด
ซุนเฉิงต้องกระโดดลงจากรถและมองดูรอบๆ ตัวเขาอย่างระมัดระวัง ดวงตาอิเล็กทรอนิกส์สองคู่บนหัวของเขาถูกใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพ พยายามค้นหาเป้าหมายที่แสดงความเป็นศัตรูต่อเขา
น่าเสียดายที่เขาไม่พบอะไร
มีเสียงกระทบกันได้ดังขึ้น หลังจากเสียงโลหะและเฟืองบดหยุดลง ทันใดนั้นซุนเฉิงก็รู้สึกถึงร่างกายของเขาที่เบาหวิว ก่อนที่เขาจะตอบสนอง เขาก็ถูกบาริเคดคว้าตัวไปแล้ว
“ท…ท่านบาริเคด เรามาที่นี่เพื่ออะไรงั้นหรือ?” ครั้งนี้บาริเคดได้จับเขาไว้ในฝ่ามือเท่านั้น มันแตกต่างจากครั้งก่อนที่อีกฝ่ายจับตัวเขาด้วยเจตนาฆ่า แต่ว่าการต้องมาฝากชีวิตอยู่ในเงื้อมมือของคนอื่น มันก็ทำให้เขาอึดอัดมาก ทว่าซุนเฉิงต้องพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้เคลื่อนไหวใดๆ ที่อาจกระตุ้นให้บาริเคดโกรธ เพราะแกนหลักของเขายังคงส่งเสียงเตือนในใจอย่างไม่หยุดยั้ง
ดูเหมือนว่าบาริเคดจะพอใจมากกับท่าทีของซุนเฉิงที่คิดไม่ต่อต้าน เขาเดินมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ภูเขาที่อยู่ใกล้เคียงต่อไป จากนั้นก็ตอบคำถามของซุนเฉิงด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ในไม่ช้าเจ้าจะได้รู้เองว่าคนสำคัญที่ว่าคือผู้ใด!"
ความเร็วของบาริเคดนั้นรวดเร็วมาก แม้ว่าเขาจะอุ้มซุนเฉิงอยู่ แต่พวกเขาก็ไม่ได้เดินช้าไปกว่าการวิ่งมากนัก
เขาไม่ได้พาซุนเฉิงขึ้นไปบนภูเขา แต่เดินไปรอบๆ ภูเขาเป็นระยะทางอย่างน้อย 4 ถึง 5 กิโลเมตร ไม่นานนักพวกเขาก็เห็นทางรถไฟที่เป็นสนิมทอดยาวตรงไปยังภูเขาที่อยู่ใกล้เคียง
“เหมืองร้าง?”
พวกเขาเดินตามรางรถไฟไป ซึ่งด้วยสายตาของเขา ซุนเฉิงก็สามารถมองเห็นโครงสภาพของเหมืองได้อย่างรวดเร็วและรู้สึกสงสัยว่าบาริเคดกำลังคิดจะพาเขาเข้าไปข้างในหรือเปล่า
ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาสงสัย เพราะเหมืองนี้เป็นผลผลิตจากการก่อสร้างของมนุษย์ในอดีต และหากมองไปที่สนิมบนรางรถไฟ ก็สามารถรู้ได้อย่างชัดเจนว่ามันถูกทิ้งร้างโดยมนุษย์มาอย่างน้อย 10 ปีแล้ว
ความสูงของถ้ำเล็กพอสมควร มันไม่ใช่ทางที่บาริเคดจะสามารถเข้าไปได้หลังจากแปลงร่างเลย
ขณะที่เขายังคงสับสน ทั้งสองก็มาถึงหน้าเหมืองร้างแล้ว
เมื่อเห็นบาริเคดหยุดลง ซุนเฉิงกำลังจะถามเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทันใดนั้นเขากลับรู้สึกเวียนหัวอย่างกะทันหัน เมื่อเขาตั้งสติได้ เขาก็พบว่าตัวเองนั่งอยู่บนที่นั่งผู้โดยสารในขณะที่บาริเคดเปลี่ยนร่างกลับเป็นรถตำรวจ
บรืน!
เมื่อเสียงเครื่องยนต์คำราม บาริเคดก็ควบคุมล้อให้เคลื่อนที่บนรางรถไฟที่ถูกทิ้งร้างและขับรถเข้าไปในเหมืองโดยไม่ลังเล
“อึก!”
แม้ว่าตัวเขาจะมีอุปกรณ์สอดแนมติดตั้งไว้เป็นอย่างดี แต่ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในเหมือง ดวงตาอิเล็กทรอนิกส์ทั้งสองข้างของซุนเฉิงก็เบิกโพล่ง มันเกิดความแปรปรวนของอุปกรณ์สอดแนมเป็นระยะๆ จนเขารู้สึกอยากจะบ่นออกมาเหลือเกิน
ในตอนแรกบาริเคดไม่ได้ขับเร็วนัก ตัวรถก็มีเสียงกระแทกเป็นบางครั้ง อาจชนหินหรือแร่ที่ถูกทิ้งไป ทว่าบาริเคดดูจะไม่ได้สนใจที่จะหลีกเลี่ยงพวกมันเลย
หลังจากผ่านอุโมงค์ที่แตกต่างกันสี่แห่ง ซุนเฉิงที่จ้องมองอยู่นอกหน้าต่างก็ถึงกับเบิกตากว้าง
ปรากฏว่าถึงรางรถไฟจะหยุดการก่อสร้างแล้ว แต่ด้านในของเหมืองร้างกลับคล้ายถูกปรับปรุงใหม่อย่างมาก ไม่เพียงแต่กว้างขวางขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีสายเคเบิลและสิ่งอื่นๆ มากมายอยู่รอบๆ ด้วย
ในขณะที่พวกเขาพุ่งไปข้างหน้ามุ่งตรงไปยังส่วนลึกของเหมือง ซุนเฉิงก็นับเวลาในใจของเขาอย่างเงียบๆ เมื่อเขานับไปถึง 129 วินาที พื้นที่หนึ่งก็ปรากฏอยู่ต่อหน้าเขา มันเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ที่สูงอย่างน้อยสิบเมตรและอาจมีขนาดกว่าพันตารางเมตร
หลังจากที่พวกเขาออกจากทางแยก บาริเคดก็หยุดโดยไม่มีการเตือนใดๆ และแปลงร่าง โยนซุนเฉิงออกจากที่นั่งและส่งเขาบินลอยละลิ่ว ทำให้เขาชนกับเสาโลหะที่อยู่ไม่ไกล จากนั้นก็ทรุดตัวลงกับพื้น
“เฮ้ เจ้าโง่ อย่ามายุ่งกับงานของข้านะ!”
ซุนเฉิงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและลุกขึ้นยืน แต่ก่อนที่เขาตรวจเช็คและยืนยันได้ว่ามันพังหรือไม่ เขาก็ได้ยินเสียงเครื่องจักรอันโกรธเกรี้ยวดังมาจากด้านข้างเขา
เขามองกลับไปและถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ คนที่เพิ่งตะโกนใส่เขาคือหุ่นยนต์ที่ดูเหมือนรถไถดิน อีกฝ่ายสูงกว่าเขาสองเท่า ซุนเฉิงได้เห็นข้อมูลเกี่ยวกับดิเซปติคอนตนนี้แล้ว หุ่นยนต์นี้มีแม่แบบการผลิต ซึ่งจากในความทรงจำ อีกฝ่ายก็เป็นดิเซปติคอนระดับต่ำเหมือนกับเขา
"หุบปาก!” เขาตะโกนกลับมาด้วยความรำคาญ หลังจากแน่ใจว่าโทรศัพท์ของเขาไม่ได้รับความเสียหายแล้ว ซุนเฉิงก็มองไปรอบๆ บริเวณด้วยความสนใจ
ที่นี่คือฐานดิเซปติคอนขนาดเล็กที่ซ่อนอยู่ลึกลงไปในเหมืองในภูเขาใกล้กับทูซอน แม้ว่าขนาดของมันจะด้อยกว่าฐานดวงจันทร์ที่เขาจำได้ แต่ที่นี่ก็ถือว่าค่อนข้างน่าประทับใจพอสมควร
มีแม่แบบการก่อสร้างอย่างน้อย 30 หรือ 40 ตนที่กำลังยุ่งอยู่กับการเดินสลับไปมาในห้องโถงหลัก บางตนกำลังเคลื่อนย้ายเครื่องจักรจากอุโมงค์เหมืองใกล้เคียงเข้าไปในห้องโถงหลัก ขณะที่บางตนกำลังยุ่งอยู่กับการประกอบชิ้นส่วนบางอย่าง มันคึกคักมากเลยทีเดียว
เนื่องจากมีการใช้แม่แบบสายลับอยู่ ข้างในจึงมีเครื่องจักรจำนวนหนึ่งที่เขารู้สึกคุ้นชิน
ซุนเฉิงมองพวกมันละเอียดอยู่พักหนึ่ง จนสามารถระบุได้ว่าเครื่องจักรที่แม่แบบการก่อสร้างกำลังประกอบเป็นชุดของเครื่องกำเนิดความร้อนใต้พิภพ สิ่งนี้กระตุ้นความสนใจของเขาอย่างมากทำให้เขาจ้องไปที่พวกมันอย่างตั้งใจ
“เจ้าดูสนใจเครื่องกำเนิดความร้อนใต้พิภพของข้ามากเลยนะ เจ้าตัวเล็กจากกองทหารคาสเซ็ตต์...”
ทันใดนั้นเสียงหนึ่งดังขึ้นไม่ไกลจากเขา ซุนเฉิงตอบสนองทันทีด้วยการหันกลับไปมองด้วยอย่างรวดเร็ว เขาถึงกับตกใจกับสิ่งที่เขาเห็น
ที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากเขาคือดิเซปติคอนยักษ์ที่ดูตัวใหญ่กว่าบาริเคด อีกฝ่ายยิ้มกว้างให้เขา
ร่างจักรกลของดิเซปติคอนนี้ดูประหลาดและตลกมาก แม้ว่ามันจะใหญ่โต แต่ก็ค่อนข้างสง่างามและมีลักษณะค่อนข้างคล้ายกับปู
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าดีเซปติคอนตนนี้จะปรากฏตัวด้วยรอยยิ้มและดูเป็นมิตรมาก แต่หลังจากที่ซุนเฉิงเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เขาก็ตกใจมากจนแกนหลักของเขาเกือบพัง “ท... ท่านสตาร์สครีม”
ดวงตาของซุนเฉิงเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ‘ให้ตายเถอะ ทำไมต้องเป็นเขาด้วย...’
ถ้าเขารู้ว่าผู้บัญชาการสตาร์สครีมได้มายังโลกนี้ด้วย ซุนเฉิงคงจะไม่กล้ามาที่นี่แน่ แม้ว่าเขาจะมีความกล้ามากขึ้นถึง 10 เท่าก็ตาม
เพราะเหตุผลนั้นง่ายมาก ดิเซปติคอนตนนี้ที่มีนามว่า สตาร์สครีม มีชื่อเสียงอย่างมากในกองทัพดิเซปติคอน!
สตาร์สครีม เป็นดิเซปติคอนระดับผู้นำผู้บัญชาการฝูงบินอากาศและรองผู้บัญชาการกองทัพดิเซปติคอน มีชื่อเสียงรองจากเมกะทรอนในกองทัพดิเซปติคอน
แม้ว่าเฟรนซี่จะเป็นสายลับใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นมาด้วยมือของซาวด์เวฟ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเป้าหมายที่ซาวด์เวฟเน้นย้ำเรื่องให้เก็บงำเรื่องภารกิจพิเศษเป็นความลับให้ดี
ตามข้อมูลที่เขาได้รับมา บุคคลที่อยู่ตรงหน้าเขามีชื่อเสียงที่ได้ก่อกบฏมาแล้วอย่างน้อย 6 ครั้งในช่วง 1,000 ปีที่ผ่านมา ซึ่งสองในนั้นเกือบจะล้มล้างการปกครองของเมกะทรอนได้
ถ้าเป็นมนุษย์ ไม่ว่าประเทศใดก็คงต้องประหารชีวิตพวกที่มันคิดก่อกบฏและดันล้มเหลว
ทว่าท่านผู้นี้กลับยังคงก่อกบฏซ้ำแล้วซ้ำเล่าและล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เมกะทรอนไม่ได้ทำอะไรเขาเลย ทั้งยังไม่เพียงแค่ปล่อยให้อีกฝ่ายบัญชาการฝูงบินอากาศ แต่ยังไม่คิดเพิกถอนตำแหน่งรองผู้บัญชาการของสตาร์สครีมด้วยซ้ำ
เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว ต่อให้เป็นคนโง่ก็คงคิดออกว่าคนตรงหน้าเขาน่าสะพรึงและน่าหวาดกลัวเพียงใด