นักรบพันธุ์ผสม บทที่ 411 - เมกะตันเบลด!
“การที่จะมีใครบ้างคนที่ไม่ได้เป็นศิษย์จริง ๆ ของสำนักแห่งนี้ มานำเอาเมกะตันเบลดในตำนานไปครอบครอง เป็นเรื่องที่รับไม่ได้!! นี่ยังไม่ต้องพูดว่ามันเป็นการนำไปด้วยความแข็งแกร่งทางกายภาพ ไม่ได้นำไปเพราะคลื่นสมองที่แข็งแกร่งเหมาะสมเลยด้วยซ้ำ” ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ตรงมุมด้านหนึ่งของโต๊ะครึ่งวงกลมฟาดมือของเขาลงไปที่โต๊ะอย่างแรง ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด
“ท่านเจ้าสำนัก! ท่านก็รู้ดีว่าปกติผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับความเห็นของ ‘หลี่ฟง’ มากนัก แต่คราวนี้เขาพูดถูก เจ้าเด็กคนนั้นไม่ใช่ลูกศิษย์ที่แท้จริงของสำนักเรา เป็นแค่เพียงนักเรียนที่สถาบันอื่นส่งมาฝึกฝนระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ผมเห็นควรว่าพวกเราต้องเรียกเมกะตันเบลดกลับมาในทันที” ชายอีกคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับผู้อาวุโสหลี่ฟง ‘ผู้อาวุโสสือหลี่’ เป็นผู้ที่กล่าวสนับสนุนออกมา
“โอ้! เดี๋ยวก่อน ๆ ทำไมพวกท่านถึงได้เป็นเดือดเป็นร้อนกับการที่เด็กคนหนึ่งโชคดีอย่างนี้ล่ะ? ดาบเล่มนั้นถูกทิ้งเอาไว้ในห้องเก็บอาวุธมานานหลายร้อยปีจนสนิมขึ้น แม้แต่พวกท่านก็ไม่สามารถทำให้มันยอมรับเป็นเจ้านายได้ ผมว่าการที่เด็กคนนั้นมาเอามันไปก็เป็นเรื่องดีแล้วไม่ใช่หรือ” ผู้อาวุโสตู้เหยียนกล่าวออกมา น้ำเสียงของเธอดูจะไม่ถือว่าเรื่องนี้คอขาดบาดตายอะไรนักเลย
“เฮอะ! ต่อให้ดาบเล่มนั้นจะขึ้นสนิมหาเจ้าของอยู่ในห้องอาวุธไม่ได้นานแค่ไหน ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะรีบยกมันให้ใครที่ไหนไม่รู้ได้แบบนี้นะ!” ผู้อาวุโสลำดับที่ 2 กล่าวโต้แย้งออกมาบ้าง
“อืม? แล้วท่านล่ะคิดอย่างไรผู้อาวุโสเหยียน? ในฐานะผู้อาวุโสใหญ่ มุมมองของท่านต่อเรื่องนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” เสียงที่ใสราวกับคริสตัลดังถามขึ้นมาอย่างนุ่มนวล ผู้พูดนั่งอยู่ตรงตำแหน่งกลางสุดของโต๊ะประชุมตัวนี้ เจ้าสำนักคนปัจจุบันของสำนักซิกนิส
เธอแต่งกายอยู่ในชุดผ้าไหมสีอ่อน ขับผิวที่ขาวราวกับหิมะให้โดดเด่นออกมาอย่างชัดเจน แต่บนใบหน้ามีผ้าคลุมปกปิดเอาไว้อย่างมิดชิด เผยให้เห็นออกมาแค่เพียงดวงตาที่สุกใสกระจ่างราวกับสายน้ำเท่านั้น ร่างกายที่บอบบางของเธอนั่งอยู่บนเก้าอี้ประจำตำแหน่งรูปดอกบัว คลื่นพลังที่เปล่งออกมาปกคลุมร่างกายนั้นเข้มข้นและลึกลับแปลกประหลาด แม้ว่าจะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่ผู้อาวุโสทุกคนที่นั่งอยู่ในที่นี่ก็ยังไม่คุ้นเคยกับกลิ่นอายนี้มากนักเลย
“การเรียกดาบเล่มนั้นคืนกลับมานับว่าเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด เมื่อคำนึงว่าวันหนึ่งมันอาจจะถูกนำมาใช้เป็นอาวุธในการโจมตีสำนักของพวกเราได้ในอนาคต แต่! ตามกฎที่ทางสำนักแห่งนี้ตั้งเอาไว้ ลูกศิษย์ทั่วไปสามารถเลือกรับอาวุธในหอสมบัติไปเป็นอาวุธประจำกายได้คนล่ะ 1 ชิ้น และเมื่อลงทะเบียนสำเร็จแล้ว อาวุธชิ้นนั้นจะถือว่าเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของลูกศิษย์ ไม่ได้เป็นสมบัติของทางสำนักอีก พวกเรารู้เรื่องนี้ช้าไป การเรียกเมกะตันเบลดกลับมาตอนนี้ ไม่ต่างอะไรกับการขโมยมันกลับมาเด็กคนนั้นเลย” ผู้อาวุโสใหญ่ กล่าวออกมาด้วยสีหน้าที่ครุ่นคิด
คำพูดของเขาทำให้ผู้อาวุโสคนอื่นมีสีหน้าที่เคร่งขรึมขึ้นมาทันที สิ่งที่ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวออกมานั้นทุกต้อง และการกระทำเช่นนั้นถือว่าเป็นการทำให้สำนักเสียหน้าเป็นอย่างยิ่ง เรื่องนี้ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเสียแล้ว
“ในเมื่อเรียกกลับมาโดยตรงไม่ได้! ก็ต้องวางแผนการให้รอบคอบสักหน่อย อาจต้องสร้างสถานการณ์ผลักดันให้เด็กคนนั้นเข้าตาจน และเป็นฝ่ายมอบดาบคืนกลับมาให้พวกเราเอง ถ้าเป็นอย่างนั้น! ทางสถาบันต้นสังกัดของอีกฝ่ายก็จะไม่สามารถใช้เป็นข้ออ้างในการก่อเรื่องได้” ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวต่อออกมา
“เรื่องหนึ่งที่ต้องระวังเอาไว้อย่างหนักก็คือ ห้ามไม่ให้ผู้อาวุโส หรืออาจารย์คนไหนไปทวงดาบเล่มนั้นคืนมาอย่างเด็ดขาด เพราะฉะนั้น พวกเราคงต้องใช้ลูกศิษย์ให้เป็นผู้ดำเนินการ ถ้ามันเป็นการทะเลาะกันหรือการลงมือของเหล่ารุ่นเยาว์ เรื่องมันก็จะจบลงได้อย่างง่ายดายกว่าเดิมมากแล้ว ยอดเยี่ยม! ผู้อาวุโสใหญ่ช่างปราดเปรื่องจริง ๆ” ผู้อาวุโสคนหนึ่งคาดเดาความคิดออกได้อย่างรวดเร็ว เขากล่าวเสริมจนจบพร้อมกับสรรเสริญเยินยอผู้อาวุโสใหญ่อย่างไม่ยั้งเลย
“หึ! ทำไมจะต้องทำให้เรื่องมันยุ่งยากมากมายด้วยนักก็ไม่รู้? ถึงจะเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน แต่สถาบันที่ส่งเจ้าเด็กนั่นมาก็เป็นแค่สถาบันที่รวมพวกสติเฟื่องเอาไว้แค่นั้นไม่ใช่หรือ? เจ้าพวกนั้นหาวิธีการฝึกฝนไม่ได้ ถึงกับตัดสินใจตัดต่อพันธุกรรมของตัวเองด้วยยีนของพวกสัตว์ร้ายกับสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ น่าสมเพชจะตาย พวกเขาไม่ใช่คนที่ผู้ฝึกฝนคลื่นสมองอย่างพวกเราจะต้องกลัวเลย วิธีการฝึกฝนของพวกเรามีประสิทธิภาพและรวดเร็วกว่าเป็นร้อยเป็นพันเท่า ต่อให้เจ้าพวกนั้นมาหาเรื่องจริง ๆ หรือต่อให้มีสงครามระหว่างสำนักขึ้นมา พวกเราก็ไม่มีทางแพ้อยู่แล้ว” ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งกล่าวออกมาอย่างไม่ชอบใจนัก สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความขยะแขยง
สำหรับผู้ฝึกตนในสำนักแห่งนี้ การยอมตัดแต่งดัดแปลงร่างกายของตัวเองด้วยยีนของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ หรือแม้แต่สิ่งมีชีวิตในตำนาน ถือว่าเป็นเรื่องของคนป่าเถื่อนที่ไร้ความหวังในการทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น การพึ่งพาปัจจัยภายนอกแบบนี้ ไม่ใช่ทางเลือกในการฝึกฝนที่ดีเลยแม้แต่น้อย
และที่สำคัญที่สุด การทำให้ร่างกายสะอาดบริสุทธิ์ไร้การปนเปื้อนจากสิ่งอื่น ถือเป็นหัวใจหลักของการฝึกฝนของสำนักแห่งนี้ มันจะช่วยให้ความก้าวหน้าในการฝึกฝนคลื่นสมองและจิตสำนึกพัฒนาไปได้อย่างรวด โดยเฉพาะเมื่อฝึกฝนในขั้นที่สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ
“ผู้อาวุโสที่ 5 เฉิงชาน! ท่านไม่ควรจะคิดอะไรตื้น ๆ อย่างนั้นเลย สถาบันแห่งนั้นไม่ได้อ่อนแอเลยแม้แต่น้อย ไม่เช่นนั้นท่านเจ้าสำนักคงไม่ยอมลดตัวลงไปทำข้อตกลงกับพวกเขาหรอก” ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวปรามออกมาเบา ๆ
ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ พากันหันหน้ามองไปยังเจ้าสำนักเป็นตาเดียว ข้อตกลงการแลกเปลี่ยนนักเรียนครั้งนี้เป็นการตัดสินใจของเจ้าสำนักคนเดียวเท่านั้น พวกเขาพยายามสอบถามถึงเหตุผลในการตัดสินใจแบบนี้หลายครั้งแล้ว แต่ยังไม่เคยได้รับคำตอบที่ชัดเจนออกมาเลยแม้แต่น้อย
ภายในห้องประชุมกลายเป็นเงียบกริบไปชั่วครู่ ก่อนที่เจ้าสำนักจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “การพยายามรักษาร่างกายและจิตใจให้บริสุทธิ์ดุจอัญมณี บางครั้งอาจจะเป็นการหยิ่งผยองลำพองในความสามารถของมนุษย์มากเกินไป เอาล่ะ! สำหรับเรื่องดาบ ให้จัดการตามที่ผู้อาวุโสใหญ่เสนอมาก็แล้วกัน พวกเรามาปรึกษากันที่หัวข้อต่อไปดีกว่า กิจกรรมการล่าที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นอย่างไรบ้าง พวกลูกศิษย์เตรียมตัวกันไปถึงไหนแล้ว”
......................
ถ้านับจากที่ออกมาจากหอสมบัติ ตอนนี้เวลาก็ผ่านไป 3 วันแล้ว เดวิดย้ายเข้ามาอยู่ในห้องพักของศิษย์ทั่วไปตั้งแต่ตอนนั้น และเมื่อเวลาผ่านไปพอสมควรโดยที่ไม่มีใครมาตามทวงดาบยักษ์กลับไป เขาก็เริ่มสบายใจขึ้นมาทีละนิด
อาวุธระดับตำนาน! แม้จะยังไม่รู้ว่ามันมีคุณสมบัติอย่างไร แต่จากข้อมูลที่เดวิดรู้มา ในสำนักแห่งนี้ มีเพียงเจ้าสำนักและผู้อาวุโสอีกไม่กี่คนเท่านั้นที่มีอาวุธระดับเดียวกันนี้อยู่ในครอบครอง มันบ่งบอกถึงความสำคัญของดาบยักษ์เล่มนี้ได้เป็นอย่างดี และเขาเป็นกังวลไม่น้อยว่าอาจจะมีคนมาเก็บมันกลับไป แน่นอน! เดวิดไม่มีวันยอมง่าย ๆ อยู่แล้ว เขาคิดหาข้ออ้างและวิธีเอาไว้ร้อยแปดอย่างถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างนั้นขึ้นมาจริง ๆ
ส่วนเวลา 3 วันที่ผ่านไป เดวิดใช้ความพยายามทั้งหมดที่มีส่งคลื่นสมองเข้าไปยังตัวดาบอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ว่าจะบีบให้มันเข้มข้นมากถึงระดับไหน ก็ยังไม่สามารถทะลุการป้องกันเข้าไปสัมผัสกับตัวดาบได้เลยแม้แต่นิดเดียว
แต่เขาก็ไม่ได้ผิดหวังอะไรมากนัก เพราะรู้ตัวดีว่าต่อให้บังคับดาบนี้ด้วยคลื่นสมองไม่ได้ แต่น้ำหนักและความแข็งแกร่งของมันจะเป็นเหมือนไม้ตายให้ตัวเองใช้ในยามคับขันได้แน่นอน ถ้าเดวิดคำนวณไม่ผิดพลาด สภาวะหกดาว! หรือบางทีเจ็ดดาวก็เพียงพอที่จะกวัดแกว่งใช้ดาบนี้โจมตีได้แล้ว และขอเพียงให้มันถูกเป้าหมายก็เพียงพอ
สิ่งที่เขาเป็นกังวลอยู่ในตอนนี้ คือความก้าวหน้าในการฝึกฝนคลื่นสมองของตัวเองมากกว่า มันช้ากว่าที่ควรจะเป็นมากเกินไป
“ต่อให้เสียเวลาไปกับดาบยักษ์นี่พอสมควร แต่คลื่นสมองของฉันยังไม่เข้มข้นพอที่จะบรรลุถึงระดับก่อพลังชั้นกลางได้ ทั้ง ๆ ที่ฝึกฝนอย่างเต็มที่ไปหลายรอบแล้ว ปัญหาน่าจะอยู่ที่ทักษะที่ใช้ในการฝึกฝน ยังไงเสียทักษะที่ฉันมีอยู่เป็นแค่เพียงทักษะเบื้องต้นเท่านั้น คงต้องไปหาทักษะระดับสูงกว่านี้มาฝึกเสียแล้ว” เดวิดพึมพำออกมาเบา ๆ หลังจากที่เขาลองส่งพลังเข้าใส่ดาบยักษ์อีกครั้ง และรู้สึกว่าคลื่นสมองของตัวเองเพิ่มขึ้นเพียงน้อยนิดเท่านั้น
ตามกฎของสำนักแห่งนี้ ศิษย์ทั่วไปทุกคนจะสามารถไปเลือกอาวุธประจำกายจากหอสมบัติได้ 1 ชิ้น และสามารถเข้าไปในหอตำราเพื่อเลือกคู่มือการทำสมาธิและคู่มือการฝึกฝนทักษะระดับที่สูงขึ้นมาฝึกฝนได้ ดูเหมือนว่าตอนนี้จะถึงเวลาแล้ว...