บทที่ 108 : พิธีรายงานตัว (1-2)
บทที่ 108 : พิธีรายงานตัว (1-2)
เข็มนาฬิกาบอกเวลาว่าใกล้รุ่งเช้าแล้ว
อารอนมองมาที่ฉันด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า มีรอยคล้ำที่ใต้ดวงตาของเขา มันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะว่าเขาไม่ได้พักผ่อนตั้งแต่เช้าจรดค่ำ
อารอนพูด
“จะกลับแล้วเหรอครับพี่?”
“ฉันมีหลายอย่างที่ต้องทำน่ะ”
“พี่ซ้อมกว่าผมอีก ผมยิ่งควรจะต้องฝึกซ้อมหนักให้มากขึ้นเหมือนกัน”
“ถ้านายฝืนมากเกินไป ร่างกายจะแย่เอานะ ใจเย็นๆ”
“แต่พี่…”
"ฉันไม่เป็นไรหรอก"
อารอนฝืนยิ้มและออกจากสนามฝึกซ้อมไปแต่โดยดี
ฉันมองไปรอบๆ สนามฝึกซ้อม
เมื่อครึ่งวันก่อน สนามฝึกซ้อมเต็มไปด้วยผู้คน แต่ตอนนี้กลับว่างเปล่าอย่างน่าขนลุก
ฉันชักดาบออกมาจากฝัก ฉันเดินเข้าไปใกล้หุ่นไม้ที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ เมื่อพื้นที่ฝึกฝนได้เลื่อนขั้นไปถึงระดับ 2 อุปกรณ์ฝึกซ้อมก็พัฒนาจากหุ่นไล่กาไปเป็นหุ่นไม้ ฉันเริ่มเปิดใช้งานทักษะ
[“ฮาน (★★)” เข้าสู่สภาวะบ้าคลั่ง!]
จิตใจของฉันก็เริ่มร้อนขึ้นทันที
ความรู้สึกของการมีอำนาจได้พุ่งผ่านเส้นประสาทของร่างกาย หลังจากปรับท่าทางการยืนแล้ว ฉันก็เริ่มเข้าสู้การโจมตี ตาขวา ไหล่ซ้าย หัวใจ หน้าท้องส่วนล่าง ซี่โครง ขาหนีบ น่อง เหมือนฉันเหวี่ยงดาบออกแต่ละครั้ง หุ่นไม้ก็ถูกเฉือนออก และเศษไม้ก็ปลิวกระจัดกระจายไป
3 นาทีต่อมา
รูปปั้นไม้ได้รับความเสียหายไปทั้งตัว
รูปปั้นไม้นี้ไม่สามารถทนต่อการใช้ดาบของฉันได้ แต่อารอนต้องใช้พละกำลังทั้งหมดในการแทงเพื่อที่จะทิ้งร่องรอยเอาไว้เล็กน้อย แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นเพียงท่อนไม้เท่านั้น
“ความแข็งแกร่งของฉันเพิ่มขึ้นมามากเลย”
เมื่อมองจากหน้าต่างสถานะ การเปลี่ยนแปลงก็เห็นได้อย่างชัดเจน
ยกเว้นความฉลาด สถานะทั้งหมดเพิ่มขึ้นมา 5 ระดับ
ฉันเข้าใกล้รูปปั้นไม้และสังเกตอย่างพิถีพิถัน
ฉันกำลังตรวจสอบว่าดาบเข้าไปในจุดที่ตั้งใจไว้หรือไม่ การแทงอาวุธอย่างแม่นยำไปยังตำแหน่งที่ฉันต้องการเป็นหนึ่งในทักษะพื้นฐานที่ฉันฝึกฝนมาอย่างโดยตลอด หลังจากตรวจสอบนั้น ฉันก็ทำได้เพียงถอนหายใจออกมาด้วยความผิดหวัง
“ตามที่คาดไว้ มันยังไม่สมบูรณ์แบบ”
แรงโจมตีของดาบพลาดไปเล็กน้อยจากจุดที่ตั้งใจไว้
มันขาดความแม่นยำ ในสถานการณ์ปกติแบบนี้ มันไม่ควรจะมีข้อผิดพลาดใดๆ
ฉันจุดชนวนความบ้าคลั่งขึ้นมาอีกครั้ง การใช้เหตุผลของฉันจะไม่หายไปเพราะยังมีทักษะความสงบ แต่มันก็ยังมีข้อเสียอยู่เช่นกัน
เมื่อฉันปิดสวิตช์ในใจ ความร้อนก็ลดลงอย่างรวดเร็ว กลับกลายเป็นความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย
“หากทักษะทั้งประสานกัน พวกมันควรจะรวมเป็นหนึ่งเดียวตามหลักการสิ”
เช่นเดียวกับการใช้ดาบและโล่ หากทั้งสองทักษะได้รับการประสานกันอย่างเหมาะสม มันจะรวมกันกลายเป็นทักษะเดียวนั้นคือทักษะดายและโล่ ฉันเคยลองทำการทดลอง ซึ่งมันได้รับการยืนยันแล้ว
“เมื่อฉันใช้งานทักษะความบ้าคลั่ง ร่างกายจะแข็งแกร่งขึ้นและโจมตีได้แรง แต่ความแม่นยำจะลดลงและสูญเสียความเยือกเย็นไป”
แสงพุ่งออกมาจากรูปปั้นไม้ที่กลายเป็นเศษชิ้นส่วน และมันก็เริ่มที่จะซ่อมแซมตัวเองขึ้นใหม่
ฉันเปิดใช้งานความบ้าคลั่งอีกครั้งและกลับมาฝึกซ้อมต่อ
ระงับความใจร้อนในใจไป ฉันต้องไม่สูญเสียการควบคุมร่างกายของฉัน เป้าหมายคือการผสมผสานทักษะทั้งสองที่จำเป็นรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ฉันอยากจะทำมันให้ได้ก่อนที่จะถึงขึ้นไปบนชั้นที่ 15
เนื่องจากไม่ใช่ที่จะให้คนอื่นเห็น ฉันจึงฝึกซ้อมตามลำพัง แต่สักพักฉันก็รู้ว่ามีคนกำลังมองฉันอยู่
“…”
ฉันหยุดการเคลื่อนไหว
และเมื่อหันกลับไป ฉันเห็นว่าอีดิสกำลังยืนพิงกำแพงและมองมาที่ฉัน
เมื่อเราสบตากัน อีดิสโบกมือพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย
“ฝึกจนดึกแล้วเหรอ?”
“แล้วเธอล่ะ ดึกป่านนี้ทำไมไม่นอน?”
เธอต่างจากอารอนที่คลั่งไคล้การฝึกซ้อม อีดิสมักจะจบการฝึกซ้อมอย่างรวดเร็ว ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องปกติที่เธอจะอยู่จนถึงค่ำ อีดิสก้าวออกจากกำแพงและเดินเข้ามาหาฉันอย่างช้าๆ
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับนายหน่อยน่ะ”
“มีอะไร?”
“ตอนที่เราต่อสู้ในชั้นที่ 12”
"แล้วยังไงต่อ"
เดิมทีอีดิสเป็นส่วนหนึ่งของปาร์ตี้ที่ 2 แต่ตอนนี้เธออยู่ในปาร์ตี้ที่ 1 ชั่วคราว
ในตอนแรกเธอยังสะดุดอยู่บ้าง แต่พอผ่านการสู้ครั้งแล้วครั้งเล่าตอนนี้เธอแข็งแกร่งขึ้นจนกลายมาเป็นผู้นำในปาร์ตี้ที่ 2 อีดิสลังเลอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“นายเคยฆ่าคนหรือเปล่า?”
'เป็นคำถามที่แปลกจริงๆ'
หลังจากเก็บดาบเข้าฝักแล้ว ฉันก็หันไปหาอีดิส
“ทำไมถึงถามแบบนั้น?”
“ฉันได้ยินมาว่ากลุ่มปาร์ตี้ของพวกนายไม่เคยต่อสู้มาก่อน เจนน่าเป็นพราน อารอนเป็นคนดูแลป่าไม้ และนายเป็นชาวนาถูกไหม? มันก็ดูยากแฮะที่จะเชื่อเรื่องนั้น”
"ใช่ แล้วยังไง?"
“การฆ่าคนแตกต่างจากการฆ่าสัตว์ประหลาด”
สายตาของอีดิสดูเหมือนจะพร่ามัว
ดูเหมือนเธอจะนึกถึงความทรงจำที่ผ่านมา
“ตั้งแต่ชั้น 12 เป็นต้นไป…”
“ศัตรูกลายเป็นมนุษย์ใช่ไหม?”
อีดิสพยักหน้าเงียบๆ
'ก็แค่นั้นแหละ'
ปาร์ตี้ที่ 2 ปีนขึ้นไปที่ชั้น 12 ก่อน
อาเชอร์และดีก้าตายบนชั้น 12 ซึ่งกลายเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้กลุ่มปาร์ตี้ที่ 2 เข้าร่วมการโจมตี
ดูเหมือนว่าการต่อสู้ของพวกเขาไม่ได้เกิดจากความยากของภารกิจ แต่เกิดจากความกลัวในจิตใจ
“เธอจะเข้ามาถามว่าเราเตรียมใจเอาไว้เแค่ไหนงั้นเหรอ?”
“ใช่ ฉันถามเพื่อให้รอดกลับมา”
“ฉันเดาว่าเธอเองก็น่าจะรู้คำตอบดี”
ฉันหัวเราะเบาๆ
“ชีวิตของฉันที่นี่ได้ถูกกำหนดไว้แล้วโดยการต้องพรากชีวิตของผู้อื่น มีฮีโร่สามคนที่ถูกสังเคราะห์ในตัวฉัน และจำนวนจะเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต” อีดิสหัวเราะอย่างขมขื่น
“เรื่องนั้นเธอน่าจะรู้ดีกว่าฉันนะ เพราะกลุ่มของเธอที่ถูกอัญเชิญมาด้วยกันตอนนั้นถูกฆ่าไปแล้ว”
“ว่าแต่เธอกำลังพยายามที่จะตำหนิ หรือว่าโทษฉันเหรอ?”
“ไม่ ฉันแค่… คือ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันกำลังจะพูดอะไร”
“อะไรก็ตามที่โผล่มา ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นตัวอะไร สำหรับฉันสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นคือสัตว์ประหลาด”
“นายอาจจะคิดแบบนั้น แต่ปาร์ตี้ของนายอาจจะคิดแตกต่างกันออกไปก็ได้นะ”
“พวกเขาจะไม่คิดแตกต่างกันหรอก หากพวกเขามีความคิดเห็นอื่น ฉันคงไม่คิดที่จะช่วยพวกเขา ฉันจะเตรียมหาสมาชิกใหม่ดีกว่า”
เธอคงจะไปเจอกับสัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายมนุษย์มาจริงๆ
มันไม่ใช่แค่มนุษย์เท่านั้น อาจมีมนุษย์ธรรมดามากมายปะปนอยู่ท่ามกลางศัตรูอีกด้วย
ฉันไม่ได้คิดมาก่อนเลยว่าหลังจากเจอโครงกระดูกที่ชั้น 11 เราจะต้องต่อสู้กับมนุษย์ที่ชั้น 12 แต่ฉันรู้ดีว่าไม่ช้าก็เร็ว คงต้องเจอกับสัตว์ประหลาดประเภทนั้นอยู่ดี จากนั้นฉันจึงพูดกับอีดิสต่อ
“สรุปก็คือ เธอกังวลสินะ แล้วที่ฉันตอบไปได้ตอบคำถามที่มีในใจของเธอได้หรือเปล่า?”
“ตอบไปแล้วล่ะ”
อีดิสลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเดินหายไปจากสนามฝึกซ้อม
'การฆาตกรรม'
ถือเป็นอาชญากรรมที่เลวร้ายที่สุดอย่างหนึ่งในสังคมยุคใหม่
เมื่อพิจารณาจากปฏิกิริยาของอีดิส ดูเหมือนว่าจะในเมืองทาวน์เนียการฆาตกรรมก็ถือว่าเป็นอาชญกรรมเหมือนกันกันบนโลก
'ตลกสิ้นดี'
ฉันฆ่าก็อบลินตายไปหลายร้อยตัว ฉีกร่างนักบวชทมิฬที่คล้ายมนุษย์และซากศพเดินได้บนชั้น 10 ฉันเบื่อที่จะเห็นคนตายแล้ว เลือด กลิ่นคาว และความร้อนของไฟยังคงตราตรึงไว้ในใจอย่างชัดเจน
“…”
ฉันชักดาบออกมาจากฝักอีกครั้ง
เอาล่ะ ฉันยังมีอะไรให้ทำอีกเยอะ