ตอนที่ 226 การตอบโต้ของทั้งสองฝ่าย(อ่านฟรี)
ตอนที่ 226 การตอบโต้ของทั้งสองฝ่าย
สงครามภายในระหว่างสหพันธรัฐและฝ่ายปฏิวัติไม่ได้จบลงอย่างรวดเร็ว แต่ทุกอย่างดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ด้วยความรุนแรง
แม้สหพันธรัฐจะถูกโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัวและเมืองหลวงของสหพันธรัฐก็ได้รับความเสียหายร้ายแรงมากที่สุด จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็มีการโจมตีอยู่เรื่อย ๆ
แต่สหพันธรัฐคือผู้ปกครองของสังคมมนุษย์มาอย่างยาวนาน พวกเขาไม่ได้พ่ายแพ้ง่าย ๆ ทันทีที่ตั้งตัวได้ก็โจมตีกลับใส่ฝ่ายปฏิวัติในทันที ถ้าไม่ใช่เพราะว่าในเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหพันธรัฐได้แปรพักตร์ไปอยู่ฝ่ายปฏิวัติหลายคน ฝ่ายปฏิวัติคงโดนสหพันธรัฐทำลายสิ้นซากไปแล้ว
สหพันธรัฐยังรักษากำลังทหารหลักของตัวเองได้และสั่งเคลื่อนพลโดยกำหนดเป้าหมายไปที่การทำลายฝ่ายปฏิวัติที่เมืองหลวงของสหพันธรัฐ
เป็นเวลา 2 วันในการสู้รบที่ดุเดือดกับทหาร 5 ล้านนายและเหนือมนุษย์ 1 ล้านคนของสหพันธรัฐได้ต่อสู้กับฝ่ายปฏิวัติที่มีทหาร 1 ล้านคนและเหนือมนุษย์ 1 แสนคน
กำลังที่ต่างกันทำให้ฝ่ายปฏิวัติที่เมืองหลวงได้พ่ายแพ้และหนีออกมา ในที่สุดสหพันธรัฐก็กลับมาควบคุมเมืองหลวงของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์
แต่ว่าในเวลานั้นสงครามไม่ได้อยู่แค่ในเมืองหลวง เพราะช่วงเวลาสองวันฝ่ายปฏิวัติได้กระจายกันไปยึดเมืองต่าง ๆ ในระดับรัฐของสหพันธรัฐ
ทำให้ชัยชนะของสหพันธรัฐเหมือนจะไม่ใช่ชนะจริง ๆ
ฝ่ายปฏิวัติรู้อยู่แล้วว่าไม่สามารถทำลายสหพันธรัฐได้ในคืนเดียว พวกเขาจึงใช้แผนการยึดหลาย ๆ จุดและสร้างอาณาเขตของตัวเองขึ้นมา
สหพันธรัฐก็กำลังรวบรวมกองกำลังและตรวจสอบสายลับที่อยู่ภายใน เพราะถ้าไม่จัดการสายลับที่ฝ่ายปฏิวัติวางไว้ พวกเขาก็จะโดนโจมตีจากภายในเรื่อย ๆ
จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าตกลงแล้วฝ่ายปฏิวัติต้องการล้มล้างสหพันธรัฐด้วยเหตุผลอะไร และฝ่ายปฏิวัติก็ได้ประกาศเป้าหมายของตัวเองออกมา
ทั้งสองไม่โจมตีผู้บริสุทธิ์ แต่สงครามไม่เคยมีความปรานี ใครก็ตามที่เข้าร่วมต่อสู้จะต้องยืนอยู่ระหว่างความเป็นและความตาย
เช้าของวันที่ 5 ตั้งแต่สงครามภายในปะทุขึ้นมา
ระหว่างที่สหพันธรัฐกำลังรวบรวมกำลังทหารของตัวเอง ฝ่ายปฏิวัติก็ประกาศสิทธิ์ในการควบคุมประตูมิติโลกสมบูรณ์แห่งที่ 2 ทำให้ตอนนี้สหพันธรัฐเหลือเพียงการควบคุมของประตูมิติโลกสมบูรณ์ที่ 1 และ 3 เท่านั้น
โลกต่างมิติคือสถานที่เต็มไปด้วยทรัพยากร การที่ฝ่ายปฏิวัติจะเล็งเป้าหมายไปที่มันก็ไม่แปลก ทำให้ตอนนี้ฝ่ายปฏิวัติมีทรัพยากรในการทำสงครามกับสหพันธรัฐแล้ว
เรื่องนี้ยังไม่จบ เพราะข่าวที่ประกาศแบบติด ๆ คือ 3 บริษัทชั้นนำของสหพันธรัฐ ได้แก่ บริษัทมังกรฟาร์มฟู้ด กรุ๊ปบริษัทมาสเตอร์มอนสเตอร์ และบริษัทโอดินอิเล็กทรอนิกส์ได้ประกาศสนับสนุนฝ่ายปฏิวัติอย่างเต็มกำลัง
ข่าวนี้ยิ่งสร้างความตื่นตระหนกในกลุ่มคนธรรมดาเป็นอย่างมาก ว่าแท้ที่จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ถ้าเป็นสงครามธรรมดาไม่มีบริษัทเอกชนที่ไหนกล้าประกาศตัวสนับสนุนแบบนี้แน่นอน แต่ว่าคราวนี้สามบริษัทชั้นนำของสหพันธรัฐประกาศอย่างชัดเจนว่าจะสนับสนุนฝ่ายปฏิวัติ
นี่มันบ้าไปแล้ว!
ถึงจะเป็นแค่สามบริษัท แต่ทั้งสามบริษัทนั้นเป็นบริษัทชั้นนำของสหพันธรัฐที่ควบคุมอำนาจทางเศรษฐกิจมหาศาล ทำให้มีแค่ 4 บริษัทที่เหลือ ซึ่งยังไม่ได้เข้ามายุ่งในสงครามครั้งนี้
สหพันธรัฐประณามการสนับสนุนของทั้งสามว่าพวกเขาเป็นพวกผู้ก่อการร้าย ขอให้ประชาชนร่วมมือกันทำลายพวกเขา
ในเวลาเดียวกันสหพันธรัฐก็ตอบโต้ด้วยการส่งกำลังทหารจำนวน 10 ล้านนายพร้อมกับเหนือมนุษย์ในกองทัพ 1,000,000 นายบุกโจมตีที่ฐานที่มั่นของฝ่ายปฏิวัติ ทั้งหมด 12 แห่งและฐานที่สำคัญที่สุดคือตั้งอยู่ที่เมืองหน้าประตูมิติโลกสมบูรณ์ที่ 2
ทั้งสองกองทัพประจันหน้ากันอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 5 วันเต็ม ๆ ซึ่งนับรวมแล้วก็ 10 วันตั้งแต่เกิดสงครามภายในขึ้นมา การโจมตีครั้งนี้ทำลายฐานที่มั่นของฝ่ายปฏิวัติไป 4 แห่ง แต่ไม่สามารถทำลายฐานที่มั่นที่เมืองหน้าประตูมิติได้ แต่ถึงอย่างนั้นการเสียฐานที่มั่น 4 แห่งไปในคราวเดียวก็ทำให้ฝ่ายปฏิวัติเสียหายอย่างรุนแรง
ทำให้ฝ่ายปฏิวัติลงมือตอบโต้กลับอย่างรุนแรง
2 วันต่อมา
ฝ่ายปฏิวัติเอาคืนกับการบุกโจมตีของสหพันธรัฐ โดยการลอบสังหารผู้นำสหพันธรัฐคนที่ 76 จนบาดเจ็บสาหัสและอาการโคม่าไม่ได้สติ การกระทำนี้สร้างความช็อกให้กับคนทั้งโลกอีกครั้ง
ราชาเลือดที่ขึ้นตรงต่อผู้นำสหพันธรัฐได้ออกไล่ล่าผู้ที่ลอบสังหารซึ่งมีชื่อว่า มาเดลินหรือฉายาว่า เจ้าแห่งหอคอยสูง การต่อสู้ของทั้งสองรุนแรงมาก แต่ไม่มีข้อมูลมากนัก
อีกด้านหนึ่งสหพันธรัฐต้องมีผู้นำที่พร้อมรับมือกับสงครามภายในนี้ รองผู้นำสหพันธรัฐซัตตันจึงได้สาบานตนขึ้นมารับตำแหน่งแทนในทันที
การรับตำแหน่งครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าอาการของผู้นำสหพันธรัฐรุนแรงมาก เพราะพวกของสหพันธรัฐก็ยังหมดหวังที่ผู้นำจะฟื้นขึ้นมาได้
หลังจากซัตตันขึ้นมาทำหน้าที่แทนเป็นผู้นำสหพันธรัฐคนที่ 77 เขาก็ประกาศใช้มาตรการรุนแรงในทันที โดยบอกว่าจะโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์เพื่อทำลายล้างฝ่ายปฏิวัติ
แม้จะมีเสียงต่อต้าน เพราะว่าในพื้นที่ฝ่ายปฏิวัติก็มีประชาชนของสหพันธรัฐอยู่เป็นจำนวนมาก พวกเขาเหล่านั้นไม่สามารถหนีออกมาได้
แต่ผู้นำสูงสุดซัตตันก็ยังยืนยันเช่นเดิมที่จะทำมัน
ทำให้ในเวลาไล่เลี่ยกันนั้นฝ่ายปฏิวัติก็ออกมาแถลงการณ์ว่าถ้าสหพันธรัฐใช้อาวุธนิวเคลียร์โจมตีพวกเขา พวกเขาก็จะใช้อาวุธนิวเคลียร์ตอบโต้กลับไปเช่นกัน
สถานการณ์ของทั้งสองฝ่ายจึงกลับมาตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม จนกระทั่งเริ่มมีสมาชิกในสภาสูงของสหพันธรัฐเริ่มเห็นว่าจะเจรจากับฝ่ายปฏิวัติถึงข้อตกลงกันได้แล้ว
แต่เสียงเหล่านั้นก็ถูกเมินเฉยไปอย่างง่ายดาย ในเมื่อเสียงส่วนใหญ่นั้นไม่คิดจะเจรจากับทางฝ่ายปฏิวัติ เพราะพวกเขาเคยชินกับการที่สหพันธรัฐปกครองด้วยอำนาจสูงสุดมาอย่างยาวนานแล้วพวกผู้ก่อการร้ายที่เรียกตัวเองว่าฝ่ายปฏิวัติมีสิทธิ์อะไรมาเจรจากับพวกตน
สุดท้ายสงครามจึงยังดำเนินต่อไป โดยที่ฝ่ายสหพันธรัฐและฝ่ายปฏิวัติได้ทำสงครามกันอย่างรุนแรง โดยทั้งการต่อสู้ยึดครองและแย่งชิงดินแดน ตลอดจนภารกิจลอบสังหารและทำลาย
รวมทั้งการปรากฏตัวของเหนือมนุษย์ที่ทรงพลังจำนวนมาก ซึ่งภารกิจอย่างการลอบสังหารและทำลายจะตกเป็นของเหนือมนุษย์เหล่านี้
เป้าหมายการสังหารคือเจ้าหน้าที่ระดับสูงหรือไม่ก็ผู้ของอีกฝ่าย ส่วนสถานที่ซึ่งถูกโจมตีมากที่สุดคือฐานทัพนิวเคลียร์ต่าง ๆ ทั่วทั้งการปกครองของทั้งสองฝ่าย
ยิ่งอยู่ใกล้ศูนย์กลางอำนาจก็ยิ่งมีการต่อสู้ที่รุนแรง ส่วนเมืองเล็ก ๆ นั้นก็จะปลอดภัยกว่า เพียงแต่เมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่ก็อยู่ในสถานการณ์สับสนไม่น้อยนั้นคือเมืองปลายฝน
เมืองปลายฝนค่อนข้างพิเศษ
แม้มันจะจัดเป็นเมืองขนาดเล็กตามข้อมูลเก่าและถูกทำลายไปด้วยภัยพิบัติมอนสเตอร์ แต่ก็ฟื้นฟูกลับมาได้ในเวลาอันรวดเร็ว อีกทั้งยังมีการสร้างเมืองนอกประตูเชื่อมติดกับเมืองปลายฝน จากการที่ประตูมิติเปิดขึ้นมา
ทำให้เมืองปลายฝนเป็นเหมืองเมืองคู่กับเมืองนอกประตูจนมีขนาดใหญ่เทียบกับเมืองหลวงของรัฐได้เลย แต่ว่านั้นไม่นับเป็นอะไรเลย ถ้าเทียบกับสิ่งที่สำคัญอย่างประตูมิติโลกสมบูรณ์
อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านั้นประตูมิติโลกสมบูรณ์แห่งที่ 2 ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของสหพันธรัฐ นั้นก็หมายความว่าประตูมิติแห่งที่ 1 กับ 3 ก็ตกเป็นเป้าหมายเช่นกัน
แต่ด้วยความที่ประตูมิติแห่งที่ 3 พึ่งเปิดขึ้นมามันจึงยังใหม่มากและฐานทัพของสหพันธรัฐก็ไม่ได้มีขนาดใหญ่เท่ากับสองฐานทัพอื่น ๆ ของประตูทั้งสองก่อนหน้านั้น
ทำให้ในวันที่ 15 ของสงครามภายในสหพันธรัฐอีคอนเรี่ยน พวกเขาได้ส่งยานเหาะของกองทัพขนาด 1,000 เมตร จำนวน 3 ลำมาที่นี่ พร้อมด้วยทหารมากกว่า 9 ล้านนายมาที่นี่และเหนือมนุษย์อีก 10,000 คน
แม้จะเป็นสหพันธรัฐก็เถอะ แต่ก็ไม่ได้มีเหนือมนุษย์ของกองทัพมากขนาดนั้น เพราะเหนือมนุษย์ส่วนใหญ่เป็นฮันเตอร์ ไม่ขึ้นตรงกับสหพันธรัฐ แม้ว่าจะมีข้อบังคับอย่างภารกิจบังคับที่ออกมาโดยผ่านหน่วยงานอย่างสำนักงานเหนือมนุษย์บังคับให้เข้าร่วมสงครามได้
กิลด์ส่วนใหญ่ก็รักษาท่าทีแบบที่กิลด์เทพศาสตราวุธทำ เพราะพวกเขารู้สึกว่าการปรากฏตัวขึ้นมาของฝ่ายปฏิวัติมันช่างแปลกประหลาด แถมการต่อสู้ก็ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายง่าย ๆ แบบที่แสดงออกคือต้องการทำลายสหพันธรัฐ
พวกกิลด์ที่แข็งแกร่งกลับคิดว่ามันมีเป้าหมายอื่นอยู่ เพียงแต่มันคืออะไร และทำไมฝ่ายปฏิวัติต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้ ทำให้ตอนนี้กิลด์ทั้งหลายจึงเลือกจะรอดูสถานการณ์ไปก่อน
ลุคเองก็เหมือนกัน วันนี้เข้ายืนอยู่ที่ชั้นสูงสุดของหอคอยกิลด์ที่เพื่อดูกองยานเหาะ 3 ลำได้เดินทางมาที่นี่ฐานทัพที่ประตูมิติโลกสมบูรณ์แห่งที่ 3
“ยุ่งยากขึ้นไม่น้อย”
ลุคพึมพำออกมา โดยเฉพาะกับยานเหาะทั้ง 3 ลำนั้น
ถ้าเทียบกับยานเหาะ 3 หมื่นเมตรของฟาเดย์มันดูกระจอกมากแต่นั่นหมายถึงเทียบกัน ส่วนลุคไม่มีแม้แต่ยานไปเทียบ ถ้าเป็นยานเหาะตอนนี้คงมีแค่ยานที่ได้มาจากข้อตกลงเช่าที่ของสามบริษัทใหญ่
“พูดถึงเรื่องนี้ พวกบริษัทใหญ่ที่เข้าร่วมกับฝ่ายปฏิวัติคิดอะไรถึงกล้าประกาศเป็นศัตรูกับสหพันธรัฐ แต่ว่าก็ช่วยแก้ความยุ่งยากลงไม่น้อย ทหารของสหพันธรัฐได้ทำลายร้านค้าและตึกของพวกมันได้ ส่วนที่ดินก็โดนเรายึดคืนมา แต่บริษัทฮิลล์สโตนยังไม่กระโดดออกมา”
เมื่อไม่กี่วันก่อนพอบริษัทชั้นนำทั้งสองอย่างบริษัทมังกรฟาร์มฟู้ด กรุ๊ปบริษัทมาสเตอร์มอนสเตอร์ ซึ่งเป็นสองในสามบริษัทชั้นนำของสหพันธรัฐที่ไปเข้าร่วมกับฝ่ายปฏิวัติ กองทัพเลยส่งทหารไปทำลายบริษัทสาขาของพวกเขาจนราบเป็นหน้ากลอง
เรื่องนี้ทำให้ลุคไม่ต้องลงมือให้ยุ่งยาก สองบริษัทเสียหายอย่างร้ายแรงแน่นอน
แต่บริษัทฮิลล์สโตนกลับไม่ออกมาประกาศตัวด้วย ทำให้ลุคเริ่มสงสัยว่าพวกบริษัทฮิลล์สโตนไม่ลงมาเล่นในสงครามครั้งนี้แน่นอน
เรื่องการแก้แค้นสามบริษัทชั้นนำลุคยังจำมันและอยากจะทำลายพวกเขามาตลอดตั้งแต่โดนหักหลัง ตอนนี้ก็มีโอกาสแล้ว เพียงแต่ที่ตั้งของบริษัทแม่ของพวกเขานั้นไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ นี้แต่อยู่ที่เมืองหน้าประตูมิติโลกสมบูรณ์แห่งที่ 2 ลุคไม่มีปัญญาไปถึงขนาดนั้น