CD บทที่ 429 คณะกรรมการสอบสวนทางวินัย
นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์นองเลือดบนสันเขานายพล กองกำลังตำรวจจำเป็นต้องลงมาจัดการการติดตามผลอย่างใกล้ชิด ซึ่งประเด็นส่วนใหญ่มีดังนี้
ประการแรก สิ่งที่สำคัญที่สุดและเร่งด่วนที่สุดคือการจับกุมเครือข่ายของนักพรตเต๋า หยวนซูไช่ และสมาชิกแก๊งที่เหลือของหลี่ซิวเซิง และกวาดล้างองค์กรของพวกเขาให้หมดสิ้น
เมื่อรู้ว่าฝูเจียนซิงและนักสืบตำรวจคนอื่น ๆ ถูกสังหารในเหตุระเบิดที่เกิดจากหยวนซูไช่ เหล่านักสืบที่รับผิดชอบคดีนี้จึงระบายความโกรธและทำงานทั้งวันทั้งคืนเพื่อจับกุมสมาชิกแก๊งที่เหลือเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม พวกเขายังตามล่าพวกที่หนีไปต่างประเทศอีกด้วย
ในบรรดาคนเหล่านี้ มีบางส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมฮวงจิงและเกอเกอด้วย พวกเขาทั้งหมดเป็นญาติพี่น้องของหยวนซูไช่
นอกจากนี้ ในกระบวนการจับกุม พวกตำรวจพบโกดังใต้ดินสองสามแห่งที่เป็นของนักพรตเต๋า และสามารถยึดโบราณวัตถุได้จำนวนนับไม่ถ้วน อาจกล่าวได้ว่าเป็นเข้ายึดวัตถุโบราณครั้งใหญ่ที่สุดของฉินชาน
สำหรับหลี่ซิวเซิง ด้วยอิทธิพลที่น้อยกว่านักพรตเต๋า และองค์กรของเขามีฐานอยู่ที่ฉินชานเป็นหลัก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับทางตำรวจที่จะกวาดล้างองค์กรของเขา
ภายในระเวลาเพียงสองวัน พวกเขาสามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยส่วนใหญ่ได้ และได้รับมอบหมายให้สอบสวนในขั้นตอนสุดท้ายเท่านั้น
หลังจากแก้ไขปัญหาเร่งด่วนเรียบร้อนแล้ว ตำรวจก็มุ่งความสนใจไปที่การสอบสวนเหตุการณ์อีกครั้ง
ประการแรก พวกเขาต้องทำให้สถานที่เกิดเหตุกลับสู่สภาพเดิมและรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ประการที่สอง พวกเขาต้องสืบสวนคดีอื่น ๆ ที่เชื่อมโยงกัน เช่น คดีหญิงสาวชุดโบราณ คดีฆาตกรรมที่สุสาน และอื่น ๆ ภาระงานจึงหนักมาก
ประการที่สามคืองานที่เกี่ยวข้องกับสื่อมวลชนที่จะรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงการค้นพบสมบัติเทวรูปทองคำในตำนาน การรวมข่าวทั้งหมดเข้าเป็นหนึ่งเดียวถือได้ว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะว่าถ้าเรื่องนี้ได้รับการเผยแพร่สู้สาธารณชนเมื่อไหร่ มันจะได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนเป็นอย่างมาก
ในฐานะเจ้าหน้าที่ตำรวจ การที่พวกเขาประกาศเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวพร้อมกับเผยแพร่รายละเอียดสู่สาธารณะถือเป็นงานที่สำคัญกับพวกเขาเช่นกัน
ส่วนสุดท้าย เป็นการดำเนินการกับร่างผู้เสียชีวิต ในที่เกิดเหตุนอกจากนักสืบทั้งห้านายจากแผนกสืบสวนที่เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติหน้าที่แล้ว ยังมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก อาทิเช่น พวกลูกน้องของนักพรตเต๋า ลูกน้องของหลี่ซิวเซิง ทั้งหมดถูกสังหารเกือบทั้งหมด และเสียชีวิตอย่างโหดร้ายทั้งสิ้น
ไม่ว่ามันจะเกี่ยวข้องกับตำรวจหรืออาชญากร ทางหน่วยงานตำรวจก็ต้องจัดการกับเรื่องเหล่านี้ด้วยความระมัดระวัง และไม่ให้ใครได้เปรียบเสียเปรียบกัน
สำหรับงานที่กล่าวมาข้างต้น ภาระงานและความกดดันที่มีต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจินตนาการได้ดี ไม่ว่าสำนักเทศบาลหรือสถานีไหน ทุกคนเต็มไปด้วยภาระงานที่ล้นมือ
ในตอนแรก แม้ว่าพวกเขาจะสะดุดเล็กน้อย แต่จุดสนใจหลักของหน่วยงานตำรวจก็ชัดเจน ทำให้งานเป็นไปอย่างราบรื่น แต่ในขณะทิศทางการขยายผลเป็นไปได้ด้วยดี จู่ ๆ ก็มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร จู่ ๆ ก็มีคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยโผล่ออกมาจากสำนักงานเทศบาล กลุ่มนี้ได้การมอบหมายงานพิเศษ พวกเขาไม่ได้มาสืบสวนอาชญากร แต่เป็นตำรวจแทน
เพื่อให้ชัดเจนยิ่งขึ้น พวกเขามุ่งความสนใจไปที่บุคคลคนเดียว นั่นคือผู้กองเหมี่ยวแห่งแผนกสืบสวนสถานีหรงหยาง
ในช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่กี่วัน พวกเขาได้พูดคุยกับเหมี่ยวอิงสองสามครั้ง มีครั้งหนึ่งที่พวกเขาคุยกับจ้าวหยู่ด้วย
จากเนื้อหาที่พวกเขาพูดคุย จ้าวหยู่ก็ตระหนักว่าจากคำสารภาพของผู้รอดชีวิตเพียงไม่กี่คนซึ่งเป็นลูกน้องของหลี่ซิวเซิง พวกเขาเคยได้ยินสิ่งที่สามารถเล่นงานเหมี่ยวอิงได้ มันจึงเป็นที่มาของการสืบสวนของคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย จ้าวหยู่ยังได้ยินพวกเขาพูดว่า ‘ลุแก่อำนาจ’ และ ‘ทำเกินกว่าเหตุ’ อยู่หลายครั้ง
เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้จ้าวหยู่นึกถึงช่วงเวลาความเป็นความตายในถ้ำนั้น ในตอนที่เขาถูกยิงโดยหน้าไม้ของหลี่ซิวเซิง ทำให้เขาหมดสติไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง เขาโชคดีที่มียาแก้พิษอเนกประสงค์ และเครื่องกระตุ้นหัวใจล่องหนเพื่อช่วยชีวิตเขาเอง
แต่เขาจำได้ชัดเจนว่าก่อนที่เขาจะหมดสติ ศัตรูส่วนใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ แต่เมื่อเขาตื่นขึ้น คนเหล่านี้ก็ตายกันหมดแล้ว!
ไม่ต้องสงสัยเลยเหมี่ยวอิงเป็นคนฆ่าพวกเขาทั้งหมด แต่… ในบรรดาคนเหล่านั้น มีหลายคนที่หมดสภาพแล้ว ดังนั้นแหมี่ยวอิงจึงไม่ควรฆ่าพวกเขาทั้งหมดใช่ไหม?
จ้าวหยู่ต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม แต่เขาเห็นว่าสภาพจิตใจของเหมี่ยวอิงไม่มั่นคง เขาจึงไม่ถามอะไร ถึงแม้เขาจะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็ไม่คิดว่าสิ่งที่เหมี่ยวอิงทำเป็นเรื่องที่ผิด คนที่ถูกเธอฆ่าล้วนแต่เป็นพวกโจรที่เลวทรามและชั่วร้าย
ในสถานการณ์คับขันอย่างนั้น มันไม่ต่างจากสงครามที่ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชีวิตรอด หากมัวแต่ยึดกฎระเบียบอยู่ล่ะก็ คนที่ทำอย่างนั้นคงไม่อยู่ให้พวกเขามาสอบสวนทางวินัยอย่างแน่นอน
ดังนั้น การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยจึงมุ่งเป้าไปที่เหมี่ยวอิงโดยตรง เห็นได้ชัดว่าเป็นผลเสียต่อเธออย่างร้ายแรง ไม่แน่ใจว่าเป็นพวกเบื้องบนที่ต้องการเรียกเธอให้รับผิดชอบ หรือทางครอบครัวผู้เสียชีวิตหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมา
นอกจากนี้ พวกเขายังบีบให้เหมี่ยวอิงลาออก เนื่องจากการต่อสู้ครั้งก่อน ก่อนที่เธอจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นองเลือดบนสันเขานายพล
ตามคำอธิบายของพวกเขา เหมี่ยวอิงไม่มีอำนาจในการบังคับใช้กฎหมายอย่างเต็มที่ในขณะนั้น การสังหารโจรจำนวนมากภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ถือเป็นการฝ่าฝืนกฎระเบียบของกองกำลังตำรวจ
ตอนนี้อารมณ์ของเหมี่ยวอิงไม่มั่นคง แม้ว่าจ้าวหยู่จะพยายามปลอบเธอหลายครั้ง แต่สุขภาพจิตของเธอก็ไม่ค่อยดีนัก ผู้การหลันถึงกับติดต่อจิตแพทย์เพื่อมาให้คำปรึกษากับเหมี่ยวอิง แต่เธอกลับปฏิเสธ
เมื่อมองดูคนที่เขารักอยู่ในสภาพย่ำแย่ จ้าวหยู่ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เมื่อมีคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยโผล่ออกมาจากที่ไหนก็ไม่รู้เพื่อเล่นงานเธอ มันก็เป็นการเติมเชื้อเพลิงลงในกองไฟ จ้าวหยู่ไม่มีทางปล่อยให้พวกเขาทำตามใจชอบเด็ดขาด
ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ ขณะที่จ้าวหยู่มาถึงสถานีหรงหยาง เขาก็เดือดดาลด้วยความโกรธ เขาพุ่งเข้าไปในห้องประชุมที่พวกเขากำลังสอบสวนเหมี่ยวอิงอยู่
จากนั้น ก่อนที่เขาจะผลักประตูให้เปิดเข้าไป เขาได้ยินชายคนหนึ่งถามเหมี่ยวอิงด้วยเสียงดังและเด็ดขาดว่า
“ผู้กองเหมี่ยว ในฐานะผู้กอง คุณควรเข้าใจบรรทัดฐานของการปฏิบัติภารกิจภาคสนาม แต่ในถ้ำบนภูเขา คุณยิงคนไปเจ็ดคนซึ่งเห็นได้ชัดเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ เกี่ยวกับเรื่องนี้ คุณจะอธิบายตัวเองอย่างไร!?”
“ฉัน…” เหมี่ยวอิงอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เธอไม่ได้พูดอะไรออกมา
“แม้ว่าทั้งเจ็ดคนจะเป็นโจรทั้งหมด และคุณก็ดำเนินการตามจุดประสงค์ของการป้องกันตัว” ผู้หญิงที่แวววตาเฉียบแหลมกล่าวเสริม “เราได้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือว่า ก่อนที่คุณจะยิงพวกโจร พวกเขากว่าครึ่งหมดสภาพเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น พวกเขาจึงไม่สามารถเป็นภัยคุกคามกับคุณได้! การกระทำของคุณไม่ใช่แค่การทำเกินกว่าเหตุเท่านั้น แต่ยังแฝงเจตนาส่วนตัวอีกด้วย!”
"ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้น!" เหมี่ยวอิงปกป้องตัวเอง แต่ด้วยข้อกล่าวหาเหล่านี้ มันทำให้เธอก็หน้าซีดมาก
“ในบรรดาทั้งหมดนี้ มีเหยื่อสามรายที่ถูกยิงเข้าที่ศีรษะ!” ชายผู้พูดด้วยเสียงดังและเด็ดขาดก่อนหน้านี้กล่าวต่อว่า “เราได้ยินมาว่าผู้กองเหมี่ยวเป็นมือปืนที่เก่งกาจ ในระยะใกล้เช่นนี้ คุณสามารถเลือกที่จะยิงไหล่ ต้นขา หรือบริเวณอื่น ๆ ที่ไม่สำคัญของศัตรูได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเป็นข้อกำหนดที่ชัดเจนในหลักจรรยาบรรณสำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจ…”
จ้าวหยู่ฟังด้วยความโกรธ ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขายกขาขึ้นแล้วเตะเปิดประตู!
*โครม!!!*
ด้วยการเตะครั้งนี้ แม้แต่ตัวล็อคประตูก็หลุดออกไป และกระจกที่ประตูก็แตกออกเป็นชิ้น ๆ นอกจากเหมี่ยวอิงซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นแล้ว คนอื่น ๆ ที่อยู่ข้างในนั้นเป็นชายและหญิงหนึ่งคน ซึ่งพวกเขาเป็นสมาชิกของคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยของเทศบาล ส่วนอีกสามคนเป็นเผิงซิน และสมาชิกจากคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย พวกเขาอยู่ที่นั่นเพื่อทำหน้าที่เป็นผู้สังเกตการณ์
จู่ ๆ ประตูก็ถูกเตะเปิดออกโดยจ้าวหยู่ ทำให้คนเหล่านี้หวาดกลัว และลุกขึ้นจากที่นั่ง
“จ้าว… จ้าวหยู่!” เหมี่ยวอิงเงยหน้าขึ้นและตะโกน เธอยังคงนั่งอยู่บนโซฟา ใบหน้าของเธอซีดผิดปกติ
เมื่อมองดูคนรักของเขาเต็มไปด้วยความคับข้องใจ ทำให้จ้าวหยู่เดือดเลือดพล่าน ทันใดนั้นเขาก็ตะโกนใส่คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยว่า
“ไอ้พวกขี้ขลาดตาขาว พวกแกทำให้กระบวนการยุติธรรมต้องเสื่อมเสีย!”
จากนั้น จ้าวหยู่หยิบถ้วยชาขึ้นมาจากโต๊ะแล้วแกล้งทำเป็นโยน
“จ้าวหยู่!” เผิงซินตกใจมาก และรีบเดินเข้ามาหยุดเขา
จ้าวหยู่ถือถ้วยและตะโกนใส่คนเหล่านั้นว่า
“พวกแกเป็นบ้าอะไร!? ต้องการอะไรกันแน่!? พวกแกทำอย่างกับว่ากำลังสอบปากคำคนร้ายอยู่ กล้าดียังไงถึงทำกับพวกเราอย่างนี้!?
พวกเราทั้งต่อสู้กับคนร้ายโดยที่ต้องเสี่ยงตายทุกวินาที เมื่อเรากลับมา เรายังต้องฟังเรื่องไร้สาระของพวกแกอีกเหรอ? ไอ้เวรเอ๊ย!!!”
"คุณ! คุณ! คุณ!” สมาชิกของคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยถึงกับพูดไม่ออก เมื่อได้ยินสิ่งที่จ้าวหยู่พูด นับตั้งแต่พวกเขาเข้ารับตำแหน่ง พวกเขาไม่เคยเจอตำรวจอารมณ์ร้อนขนาดนี้มาก่อน
“คุณอะไร!? ให้ตายเถอะไอ้เวร!” จ้าวหยู่พูดออกมาว่า “พวกแกสนุกมากมั้ยที่เห็นคนอื่นกำลังเดือดร้อน พวกแกมีมโนธรรมบ้างรึเปล่า!? ถ้าไม่มีกฎหมายมาขวางฉันอยู่ล่ะก็ ฉันคงทุบตีพวกแกจนตายคามือไปแล้ว!”
“เฮ้! คุณพูดจาแบบนี้ได้ยังไง!? คุณยังเป็นตำรวจหรือเปล่า!?” ชายคนหนึ่งโกรธและถ่มน้ำลายใส่จ้าวหยู่
จากนั้น จ้าวหยู่ก็ผลักเผิงซินออกไป และโยนถ้วยแก้วไปทางชายคนนั้น!!!