ตอนที่ 248 ความประหลาดใจของสองพี่น้อง(ฟรี)
(ต้องขออภัยผู้อ่านด้วยครับ เมื่อวานออกไปทำธุรด่วน กลับมาลงไม่ทัน ชดเชยให้ครับ)
เมืองเต่าทมิฬ ณ ป้อมเทียนเหมิน
สองพี่น้องอาหลี่มาเข้าแถวตรงหน้าประตูเทียนเหมิน โดยใส่ชุดคลุมหัวมิดชิด
มีหลายคนที่แต่งตัวในลักษณะเดียวกัน เพื่อที่จะบังตัวและหัวจากฝุ่นกับทราย
“ทุกคนโปรดเข้าแถว อย่ายืนเบียดกัน”
เกาเฉายืนอยู่บนหอคอย และตะโกนสั่งผู้คนให้เป็นระเบียบ
“ดูเหมือนว่าที่นี่จะเข้มงวดเรื่องการเข้าเมืองมาก”
อาหลี่เช่อพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ
“นั้นดีมาก”
แววตาของอาหลี่ย่าเป็นประกายขึ้นมาทันที
หากมีขั้นตอนที่เข้มงวดก็จะกันพวกที่คิดร้ายออกไปได้
“การเข้าเมืองเต่าทมิฬ จะต้องจ่ายค่าลงทะเบียนเพื่อทำบัตรผ่านเป็นผลึกสัตว์อสูรชั้นต้นระดับทั่วไป
“ขอชื่อกับที่มา และจะมาทำอะไรที่เมืองเต่าทมิฬ”
หูของอาหลี่ย่ากระดิกไปมาเมื่อได้ยินเสียงดังมาจากด้านหน้าเคาเตอร์
“ถ้าจะเข้าเมืองเต่าทมิฬจะต้องจ่ายผลึกสัตว์อสูรชั้นต้นระดับทั่วไปสองก้อน”
เธอหันกลับมาพูดด้วยเสียงกระซิบกับพี่สาว
อาหลี่เช่อจับไปที่กระเป๋าหนังของเธอทันที
และพูดด้วยน้ำเสียงที่แห้งๆ
“เราเหลือผลึกสัตว์อสูรชั้นต้นระดับทั่วไปสองอัน….”
“....”
อาหลี่ย่าอ้าปากขึ้นเล็กน้อย
ก่อนที่อาหลี่เช่อจะถอนหายใจอย่างเป็นกังวล
“ถ้าเราไม่สามารถหาที่อยู่ที่นี่ได้ พวกเราคงต้องไปนอนข้างถนน”
อาหลี่ย่าพูดปลอบใจพี่สาวของเธอเอง
“ไม่เป็นไรพี่ อย่าได้คิดมาก ต่อให้ผิดหวังกับเมืองเต่าทมิฬ เราก็ยังกลับไปเมืองปักษาได้ อย่างน้อยก็ไม่ต้องกลัวอด”
ผู้มีความสามารถในการสร้างยุทธภัณฑ์วิญญาณนั้นเป็นอะไรที่หลายเมืองใหญ่ต้องการมากๆ ทำให้เมืองใหญ่ๆ ต่างตามหาและรับสมัครช่างฝีมือยุทธภัณฑ์วิญญาณ
“แบบนั้นก็ไม่ได้แย่เท่าไร”
อาหลี่เช่อพยักหน้าช้าๆ ก่อนที่จะเอาผลึกสัตว์อสูรออกมาจากกระเป๋าหนัง และส่งให้น้องสาวของเธอไป
“คนต่อไป”
เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองตะโกนขึ้น
อาหลี่ย่าก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
“การจะเข้าเมืองจำเป็นต้องจ่ายค่าทำบัตรผ่าน เป็นผลึกสัตว์อสูรชั้นต้นระดับทั่วไป ต้องการจะทำบัตรผ่านหรือไม่?”
เจ้าหน้าที่พูดด้วยประโยคเดิมที่ได้ยินก่อนหน้านี้
“ทำ”
อาหลี่ย่าพยักหน้าและส่งผลึกสัตว์อสูรให้
“โปรดรอสักครู่”
เจ้าหน้าที่ทำทุกอย่างด้วยความชำนาญ ทั้งเก็บผลึกและเตรียมบัตรผ่านออกมา และเตรียมตัวในท่าเขียน
“ชื่อ”
“อาหลี่ย่า”
อาหลี่ย่าบอกชื่อจริงของเธอ
“มาจากไหน”
เจ้าหน้าที่ถามต่อ
“เมืองปักษา”
“ต้องการมาทำอะไรในเมืองเต่าทมิฬ”
อาหลี่ย่าลังเลที่จะตอบเล็กน้อยก่อนที่จะพูดออกไป
“มาสมัครเป็นช่างยุทธภัณฑ์วิญญาณ”
“เธอเป็นช่างยุทธภัณฑ์งั้นหรอ?”
อยู่ๆ เจ้าหน้าที่ก็ชะงักไป และดูจริงจังขึ้น
“ใช่”
อาหลี่ย่าพยักหน้า
“อยู่ในระดับไหน”
เจ้าหน้าที่ถามอีกครั้ง
“ช่างฝีมือระดับกลาง”
อาหลี่ย่าตอบอย่างระมัดระวัง
“เข้าใจแล้ว”
เจ้าหน้าที่ก้มหน้าลงและเขียนบางอย่างลงในบัตรผ่าน
หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าหน้าที่ก็วางปากกาลง และส่งบัตรผ่านให้กับอาหลี่ย่า
“แค่นี้หรอ”
อาหลี่ย่ามองดูบัตรผ่าน และเห็นว่าภายในนั้นมีเพียงข้อมูลที่เธอตอบเท่านั้น
“ใช่ ไปต่อที่ป้อมเฉือนคงได้เลย”
เจ้าหน้าที่ยิ้มให้อย่างกระตือรือร้น
“เดี๋ยวฉันจะรอพี่สาวฉันตรงนี้ก่อน”
อาหลี่ย่า เดินออกไปข้างๆ
อาหลี่เช่อก้าวขึ้นมาด้านหน้าเคาเตอร์
ก่อนที่จะได้ตอบคำถามตามที่เจ้าหน้าที่ถาม และส่งผลึกสัตว์อสูรให้
“รอสักครู่”
เจ้าหน้าที่บอกให้อาหลี่เช่อรอ
ไม่นานเจ้าหน้าที่ก็ทำขั้นตอนการทำบัตรผ่านให้อาหลี่เช่ออย่างรวดเร็ว
“เป็นช่างยุทธภัณฑ์ระดับกลางเหมือนกันด้วยหรอ?”
เจ้าหน้าที่พูดด้วยความตกใจ
“ใช่”
อาหลี่เช่อพยักหน้าตอบเบาๆ
คิ้วของเจ้าหนักงานขมวดเข้าหากัน อยู่ๆ ก็มีช่างยุทธภัณฑ์ระดับกลางสองคนปรากฏตัวขึ้น และทั้งคู่ก็เป็นพี่น้องกันอีก นี้ไม่ใช่เรื่องโกหกใช่ไหม?
อาหลี่เช่อถามด้วยความสงสัย
“มีอะไรรึป่าว?”
“ไม่มีครับ ไปยังป้อมต่อไปได้เลย”
เจ้าหน้าที่ส่ายหัวและส่งบัตรผ่านให้ด้วยมือทั้งสองข้าง
อาหลี่เช่อถอนหายใจ และพยักหน้า
สองพี่น้องเดินออกจากป้อมเทียนเหมินและไปยังป้อมเฉือนคง ทั้งคู่ไม่ได้มีอาวุธติดตัวทำให้ผ่านป้อมเฉือนคงได้อย่างสบายๆ
และทั้งคู่ก็มาหยุดอีกครั้งที่หน้าป้อมซานไห่
“ยินดีต้อนรับ แสดงบัตรผ่านให้ดูด้วย”
เว่ยกังพูดอย่างสุขุม
“นี่”
อาหลี่ย่ากับอาหลี่เช่อส่งบัตรผ่านให้เว่ยกังดู
ทั้งสองรู้สึกกังวลและทำตัวไม่ถูกกับความเข้มงวดในการเข้าเมืองเช่นนี้มาก่อน ต้องผ่านด่านตรวจถึงสามป้อม และต้องตรวจบัตรผ่านทุกครั้ง
“ทั้งคู่เป็นช่างยุทธภัณฑ์วิญญาณงั้นหรอ?”
เว่ยกังเงยหน้าขึ้นมองทั้งสองด้วยความตกใจ หลังจากดูข้อมูลในบัตรผ่านของทั้งคู่
อาหลี่ย่าพยักหน้าอย่างระมัดระวัง
“ใช่ พวกเรามาที่นี่เพื่อสมัครงาน”
เว่ยกัง เหลือบมองไปที่หญิงสาวทั้งสองก่อนที่จะขอให้ทั้งคู่เปิดผ้าคลุมหัวเพื่อให้เห็นใบหน้าที่แท้จริง
ทั้งคู่พยักหน้าช้าๆ ก่อนที่จะยอมเปิดผ้าคลุม เมื่อเว่ยกังดูแล้วไม่มีอะไรผิดปกติจึงปล่อยผ่านไป
“ถ้างั้นตามมา เดี๋ยวจะพาไปพบท่านหยู่”
เว่ยกังส่งบัตรผ่านคืนให้กับทั้งสองพร้อมกับทำท่าทางให้ตามมา
อาหลี่ย่ากับพี่สาวมองหน้ากันก่อนที่จะเดินตามเว่ยกังไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งสามเดินผ่านป้อมซานไห่ไปยังถนนการค้า
“ว้าว ที่นี่สะอาดมาก!”
แววตาของอาหลี่เช่อเป็นประกาย และถูกดึงดูดจากสิ่งรอบข้างไปหมด
“นี่คือถนนการค้า และกลิ่นหอมๆ ที่กำลังได้กลิ่นอยู่คือกลิ่นของมันเผา”
เว่ยกังเริ่มแนะนำสถานที่ให้ทั้งสองฟังขณะที่เดินไปด้วย
“ถ้าเธอสองคนเป็นช่างฝีมือระดับกลางจริงๆ ท่านเจ้าเมืองยินดีที่จะต้อนรับพวกเธอ และให้อาศัยอยู่ที่เมืองได้ ถึงตอนนั้นพวกเธอจะมาเที่ยวเล่นในถนนการค้าแค่ไหนก็ได้”
“เข้าใจแล้ว”
อาหลี่ย่าหันกลับไปมองหลายครั้งด้วยความสนใจ
ทั้งสองเดินตามเว่ยกังจนมาถึงป้อมเว่ยฉาย
อาหลี่ย่าถามด้วยความสงสัย
“นี่เป็นเขตที่อยู่อาศัยงั้นหรอ”
“ก็ประมาณนั้น”
เว่ยกังไม่ได้อธิบายอะไรมาก เพียงตอบเล็กน้อย
เขตอยู่อาศัยนั้นก็ดีไม่แพ้ถนนการค้าของเมือง
สองสาวเดินตามและมองดูไปรอบๆ
“พี่…ที่นี่สะอาดมาก ไม่มีกลิ่นเหม็นเน่า และก็สภาพอากาศก็ดี”
อาหลี่ย่ากระซิบเบาๆ
อาหลี่เช่อสูดลมหายใจเข้า และรู้สึกประหลาดใจเมื่อรู้ตัว
“เธอได้กลิ่นไหม กลิ่นหอมแปลกๆ”
อาหลี่ย่าพยักหน้า และมองหาต้นตอของกลิ่น
“มันเหมือนกลิ่นหอมของดอกไม้”
อาหลี่ย่านั้นแยกแยะกลิ่นได้
กลิ่นของอาหารกับกลิ่นของดอกไม้นั้นแยกแยะได้ง่ายมาก
สิบห้านาทีต่อมาทั้งสามก็มาถึงทางขึ้นเนินสูง โดยมีหน่วยพิทักษ์เนินสูงดูแลทางขึ้นอยู่
“มีธุรอะไร”
อามันถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“ผมพาทั้งสองมาพบท่านหยู่”
เว่ยกังตอบพร้อมกับอธิบายเพิ่ม
“ทั้งคู่เป็นช่างยุทธภัณฑ์วิญญาณระดับกลาง”
อามันได้ยินก็มองไปที่สองสาวที่อยู่ด้านหลังเว่ยกัง ช่างยุทธภัณฑ์วิญญาณระดับกลางอายุน้อยแค่นี้เองงั้นหรอ
อาหลี่ย่ากับอาลี่เช่อเห็นอามันเหมือนกัน เพราะผ้าคลุมที่เธอสวมอยู่มันสะดุดตาพวกเธอมาก
“เสื้อคลุมนั้น เป็นเสื้อคลุมวิญญาณระดับกลางใช่ไหม”
อาหลี่เช่อกระพริบตาหลายครั้งก่อนที่จะถามออกไป
น้ำเสียงของอาหลี่ย่าดูจริงจังขึ้น
“ถ้ามันเป็นยุทธภัณฑ์ระดับกลาง นั้นแปลว่ามันต้องมีพลังวิเศษ”
อามันยอมหลีกทางให้ทั้งสามเข้าไปอย่างแปลกใจเล็กน้อย
“ไปกันเถอะ ไปพบท่านหยู่กัน”
เว่ยกังพูดและเดินไปยังชั้นบนสุดของเนินสูง
สองพี่น้องรีบตามมาติดๆ และรู้สึกกังวลใจว่า ท่านหยู่ที่ว่านั้นคือใคร
อีกทั้งยังกังวลว่าจะเข้าตาคนคนนี้รึป่าว