ตอนที่แล้วบทที่ 40 : [ด่าน 2] สิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 42: [เนื้อเรื่องเสริม] เปิดกล่อง (2)

บทที่ 41 : [ด่าน 2] ภาระที่แบกรับ


ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay

บทที่ 41 : [ด่าน 2] ภาระที่แบกรับ

หนูท่อระบายน้ำได้ถูกกำจัดไปหมดแล้ว

สัตว์ประหลาดที่ถูกล่อไปโดยมาร์คกราฟต่างไม่สนใจเรา

ด้วยประตูปราสาทที่กว้างใหญ่ ลูคัสและกองกำลังของเขาจึงโจมตีจากด้านหลังทันที

หนูท่อระบายน้ำได้ถูกเสียบจากด้านหลังจนไปถึงแกนกลาง

แม้จะเหลืออยู่จำนวนหนึ่ง แต่พวกมันก็มีเพียงจำนวนน้อยนิด หาใช่ปัญหาเลยสักนิดเดียว

เมื่อเผชิญหน้ากับดาบและหอกของมนุษย์ ฝูงหนูก็กลายเป็นเพยีงผู้ถูกล่า ใช้เวลาไม่นานนัก การกำจัดหนูที่ยังเหลืออยู่ก็หมดลง

แต่

“…”

เมื่อเดินไปทั่วสนามรบที่ทหารกำลังจัดการหนูท่อระบายน้ำที่เหลืออยู่ ข้าก็รีบไปยังจุดที่ลูคัสและทหารมากฝีมือมารวมตัวกัน เดเมี่ยนผู้มีเวทมนตร์รักษาก็อยู่เคียงข้างข้า

“องค์ชาย”

เมื่อข้าเข้ามาใกล้ ลูคัสก็มองมาที่ข้า

ชุดเกราะและดาบใหม่ของลูคัสได้เลอะไปด้วยเลือดหนู

แต่ลูคัสไม่มีความต้องการที่จะทำความสะอาดมันเลย เขาก้มศีรษะลงอย่างแรง

“ดูเหมือนว่าเราจะมาช้าเกินไป”

“…”

ข้าผลักดันกลุ่มคนและก้าวเข้าไปในศูนย์กลางของผู้คน

มาร์คกราฟครรอสได้นอนอยู่ที่นั่น

สภาพของร่างกายเขาน่าสะพรึงยิ่ง ชุดเกราะของเขาถูกฉีกด้วยฝูงหนูจนจำสภาพไม่ได้ แขนขาของเขาเกือบจะหายไปแล้ว

เมื่อสัตว์ประหลาดกัดเข้ามาในร่างกายของเขา มันก็ทำให้กระดูกของเขาโผล่ออกมาจากชั้นเนื้อผิวหนัง

เดเมี่ยนพุ่งเข้ามาและใช้เวทย์รักษาของเขากับมาร์คกราฟ แต่ทว่า...

“ขออภัยด้วยพะยะค่ะฝ่าบาท แต่อาการบาดเจ็บเช่นนี้…”

หลังจากนั้นเดเมี่ยนก็หลับตาแน่นและก้มศีรษะลง

เขาเหมือนกับต้องการจะบอกว่าเวทมนตร์รักษาของเขาคงไร้ประโยชน์ ต่อให้มีผู้รักษาระดับ SSR มาถึง แต่อาการบาดเจ็บเช่นนี้ก็เกินกว่าจะรักษาได้

ทว่าข้ายังคงรีบดึงยาเพิ่มพลังกายระดับสูงออกมาจากกระเป๋า

มันเป็นยาที่ได้มาจากกล่องรางวัลสุดท้าย ถ้าเป็นอย่างนั้น...

“หยุดเถิด!”

ทันใดนั้น มาร์คกราฟครอสโรดก็ได้กล่าวออกมาเสียงเบา

“นั่นไม่ใช่บาดแผลที่จะรักษาได้ ถ้าเจ้าเอาสิ่งนี้มาใช้กับข้า มันก็คงมีแต่จะเสียเปล่า”

“มาร์คเกรฟ!”

“ช่วยข้าพยุงนั่งที ข้ามองไม่เห็นอะไรเลย”

เดเมี่ยนและข้าค่อยๆ ยกร่างส่วนบนของมาร์คกราฟครอสขึ้น

ทุกครั้งที่มาร์คกราฟไอออกมา เลือดก็จะไหลออกมาจากริมฝีปากของเขา

“…การต่อสู้มันจบแล้วเหรอ?”

“ใช่แล้ว มาร์คกราฟ ความพยายามของเจ้าเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ยิ่ง”

“กำแพง…ไม่ได้ถูกเจาะใช่ไหม?”

“พวกมันถูกทะลวงเข้าไปได้ แต่ไม่มีสัตว์ประหลาดตัวไหนเข้าไปข้างใน ทุกคนในเมืองปลอดภัย”

“ขอบคุณพระเจ้า…”

มาร์คกราฟครอสที่เปลือกตาสั่นได้มองไปยังพื้นที่โดยรอบ

ทหารผ่านศึกที่ปกป้องสถานที่แห่งนี้กับเขามาตลอดชีวิตกำลังยืนอยู่รอบตัวเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

รอยยิ้มบางเบาปรากฏอยู่บนริมฝีปากของมาร์คกราฟ

“พวกเจ้าอย่าเศร้าหมองไปหน่อยเลย ที่นี่คือแนวหน้ารับสัตว์ประหลาด เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องมีคนตายที่นี่ มันเพียงถึงคราวข้าแล้ว”

“…”

“อย่าโศกเศร้าต่อการตาย แต่จงชื่นชมยินดีในชัยชนะของเราที่ยังคงอยู่รอดต่อไป”

อดีตเจ้าเมืองได้กล่าวด้วยสีหน้าสงบนิ่ง จากนั้นเขาก็มองมาที่ข้า

“เมืองนี้เป็นเมืองบนหลุมศพ มันเป็นชื่อเล่นที่ได้รับมาจากนักรบผู้ร่วงโรยจำนวนมาก แต่มันก็หมายความว่าแม้จะอยู่บนหลุมศพ ทว่าชีวิตก็ยังคงดำเนินต่อไป”

ข้าเฝ้าสดับฟังคำพูดสุดท้ายของเขาทุกคำพูด

“หากเรามัวแต่เศร้าโศกกับความสูญเสีย รังแต่จะทำให้ทั้งเมืองได้หยุดชักไป องค์ชาย ถึงการไว้อาลัยจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่โปรดให้ความสุขแก่ทุกคนอย่างเท่าเทียมกันด้วย”

“ข้าจะจำเอาไว้”

“เพราะความหวังคือสิ่งที่ทำให้เรามีชีวิตอยู่…”

มาร์คกราฟหลับตาลงอย่างแผ่วเบาด้วยความพยายามสุดท้ายของเขา

“เช่นนั้นถ้ามีคนต้องตาย ขอแค่เป็นข้าที่ไร้ซึ่งความหวังใดจะสูญเสียเถิด”

เลือดยังคงไหลออกมา เวทมนตร์รักษาของเดเมี่ยนได้ทำให้มันหยุดไป ทว่ามันก็เริ่มไหลออกมาอีกครั้ง เลือดพุ่งออกมาราวกับแม่น้ำจากร่างของอัศวินชรา

เดเมี่ยนมองมาที่ข้าพลางส่ายศีรษะอย่างเศร้าโศก มาร์คกราฟบ่นพึมพำด้วยใบหน้าซีดเซียว

“สัญญากับข้าอย่างหนึ่งนะ องค์ชายแอช”

“พูดมาได้เลยมาร์คกราฟ ข้าจะทำให้ดีที่สุด ถ้ามันอยู่ในอำนาจของข้า”

“ถ้าลูกสาวของข้ามายังที่นี่...บอกนางด้วยว่าพ่อของนางขอโทษ”

“…”

“จงใช้ชีวิตอย่างอิสระ…ใช้ชีวิตตามที่เจ้าต้องการ…”

ข้าพยักหน้า

“ข้าจะส่งข้อความของเจ้าให้นางแน่”

“แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”

คล้ายกับเงาแห่งความตายได้ส่องประกายไปทั่วใบหน้าของเขา

ดวงตาของมาร์คกราฟได้ปิดลง เขาพึมพำขณะที่จ้องมองไปยังความว่างเปล่า

“ที่รัก ข้าขอโทษ…”

เขารู้สึกเสียใจยิ่ง่ตอภรรยาของเขาที่จากไป

“ข้าไม่สามารถปกป้องอะไรได้เลย…สวนผลไม้ เจ้า…หรือกระทั่งลูกสาวของเรา…ไม่มีอะไรที่ข้าทำได้เลย…”

“ไม่เลย มาร์คกราฟ”

ข้าจับมือที่แทบจะไม่เป็นรูปร่างของเขาเบาๆ

"เจ้าช่วยโลกใบนี้เอาไว้ ไม่ใช่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว แต่ตลอดชีวิตของเจ้า เจ้าปกป้องมนุษยชาติทั้งหมดในป้อมปราการแห่งนี้”

“…”

“โลกใบนี้เป็นหนี้บุญคุณของเจ้าอย่างมาก”

ไม่มีเสียงตอบกลับมา

คล้ายกับว่าเขาไม่ได้ยินคำพูดของข้า มาร์คกราฟยังคงไม่มองมาที่ข้าและพึมพำกับตนเองต่อไป

“ข้าขอโทษ… ข้าไม่สามารถ… ปกป้อง… อะไรได้เลย…”

มีเพียงความเสียใจเท่านั้นที่เต็มไปในดวงตาอันชุ่มโชกไปด้วยเลือดของมาร์คกราฟ

ทันใดนั้นข้าก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ ข้ารีบควักของสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋า

ถุงที่บรรจุผลไม้แห้งที่มาร์คกราฟได้ให้เป็นของขวัญแก่ข้า

ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมข้าถึงพกของไร้รสชาตินี้ไปไหนมาไหนด้วย บางทีมันอาจจะเป็นเพราะช่วงเวลานี้

ข้าเปิดกระเป๋าและค่อยๆ วางผลไม้แห้งลงในปากของมาร์คกราฟ

"อา...!"

ในขณะที่เขารับเม็ดองุ่นไว้ในปากของเขา รอยยิ้มบางเบาก็ปรากฏขึ้นทั่วมุมริมฝีปากที่เปื้อนเลือด

“องุ่น นี่ช่าง…”

เขาไม่สามารถเคี้ยวหรือกลืนลงไปได้เลย แต่ชั่วขณะหนึ่ง ความสงบก็คล้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของมาร์คกราฟ

ข้าสงสัยเหลือเกินว่าเขากำลังจินตนาการถึงสวนผลไม้ที่เงียบสงบจากวันคืนที่มีความสุขมากเมื่อเขาอยู่กับภรรยาและลูกสาวของเขาหรือเปล่า

"หวานนัก..."

ยามนนั้นมาร์เกรฟก็ไร้ซึ่งลมหายใจอีกแล้ว

“…”

ข้าจ้องมองใบหน้าของชายที่เพิ่งหมดลมหายใจไปด้วยความสิ้นหวัง

ข้าไม่สามารถเข้าใจได้เลย

ชายผู้นี้ที่เคยให้ทุกอย่างเพื่อปกป้องเมือง ครั้งหนึ่งเขาเคยต้องสูญเสียเพราะปกป้องมัน จนเขาปรารถนาที่จะละทิ้งความรับผิดชอบของตระกูลไป

ข้าได้แต่ครุ่นคิดว่าทำไมในท้ายที่สุด เขาถึงยังคงกลับมา

เขาต่อสู้และแลกชีวิตไปเพื่อสิ่งใดกัน?

จะต่อสู้ในศึกสงครามที่กลืนกินไปทั้งชีวิตเพียงเพื่อสิ่งใดกัน?

“เป็นภาระอันหนักอึ้งมากเลยนะ มาร์คกราฟ” ข้าพึมพำและค่อยๆ ปิดเปลือกตาที่เต็มไปด้วยเลือดของเขา

“บัลลังก์ของเมืองแห่งนี้…มันหนักหนาเกินไป”

ข้ารู้สึกราวกับว่ามีน้ำหนักหลายพันปอนด์อยู่บนไหล่ของข้า

ชั่วขณะหนึ่ง ข้าก็นั่งเงียบๆ อยู่ข้างร่างไร้ชีวิตของมาร์คกราฟ

ทหารที่อยู่รอบตัวข้าค่อยๆ ก้มศีรษะลงทีละคน

เป๊ง เป๊ง เป๊ง…

เสียงระฆังดังก้องอยู่แต่ไกล

มันเป็นสัญญาณว่าการรุกรานของสัตว์ประหลาดสิ้นสุดลง คำสั่งอพยพถูกยกเลิก

พระอาทิตย์อัสดงปรากฏ ระฆังยามเย็นได้ดังกึกก้องปกคลุมทั่วทั้งสนามรบที่เหลือแต่ความรกร้าง

***

[ด่านที่ 2 – เคลียร์!]

[MVP ประจำด่าน – ลูคัส (SSR)]

[ตัวละครได้เพิ่มระดับ]

– แอช (EX) ระดับ 11 (↑2)

– ลูคัส (SSR) ระดับ 31 (↑2)

– จูปิเตอร์ (SR) ระดับ 37 (↑1)

– ลิลลี่ (R) ระดับ 21 (↑1)

– เดเมี่ยน (N) ระดับ 24 (↑3)

[ตัวละครที่ตายและบาดเจ็บ]

– <ตัวละครผู้มาเยือน> ชาร์เลส ครอส (SR): ตาย

[ไอเท็มที่ได้รับ]

– หินวิเศษของกองทัพหนู: 562

– แกนเวทมนตร์มนุษย์หนูผู้มีชัย (R): 3

[ได้รับรางวัลเคลียร์ด่านแล้ว โปรดตรวจสอบกระเป๋าเก็บของของท่าน]

– กล่องรางวัลระดับ N: 3

– กล่องรางวัลระดับ SR: 1

>> เตรียมพร้อมสำหรับด่านต่อไป

>> [ด่านที่ 3: ดำเนินต่อไป]

***

ใจกลางสี่แยกที่คฤหาสน์เจ้าเมือง

ข้าเดินไปที่ทางเข้าคฤหาสน์

"โอ้ นายท่าน!"

เมื่อพบฉัน ไอเดอร์ก็รีบวิ่งเข้ามา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวล

"ท่านบาดเจ็บหรือเปล่า? ข้ากังวลเหลือเกินว่าท่านจะได้รับบาดเจ็บอะไรมา”

“… ไอเดอร์”

“ท่านผ่านด่านนี้ได้จริงๆ ด้วย ช่างน่าทึ่งจริงๆ…”

ข้าคว้าคอเสื้อของไอเดอร์ไว้ ไม่สนใจคำพูดของเขา

"แค่ก? นายท่าน?"

ด้วยการออกแรงผลัก ข้าจึงตรึงชายผู้นี้ไว้กับกำแพง ปัง!

“แค่ก แค่ก นายท่าน คือว่า…”

"พูด"

เสียงคำรามของข้าดังขึ้นมา ข้ากระชับคอเสื้อของเขาแน่น ทำให้ใบหน้าของไอเดอร์ชะงักด้วยความสับสน

"ขอรับ? อึก! คืออะไรหรือ?"

"พูดมา"

"ค-คืออะไรหรือนายท่าน..."

“เลิกทำตัวไร้เดียงสาเสียที ไอ้ผู้อำนวยการเฮงซวย!”

เสียงคำรามของข้าดังก้อง มือของข้าโอบรอบคอของเขาที่กำลังกระตุก

“เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์มันแปลกๆ ไป ระดับความยากนี้มันบ้าบออะไรกัน?!”

“…!”

“ข้ามองข้ามมันไปในช่วงด่านฝึกสอน เพราะมันก็ควรจะยากเช่นนั้นอยู่แล้ว ในตอนด่านแรกที่ชุดเกราะมีชีวิตโผล่มา ข้าก็คิดว่าข้าเพียงแค่โชคร้าย แต่ว่า!”

เสียงของข้ายังคงดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

“NPC ที่เป็นศัตรูปรากฏตัวในด่านที่ 2 และสั่งการสัตว์ประหลาดเนี่ยนะ? นั่นไม่ใช่สิ่งที่ควรอยู่ในความยากระดับนรกด้วยซ้ำ!”

“…”

"คายออกมาเดี๋ยวนี้! เจ้าทำอะไรลงไป? ทำไมเกมมันถึงเปลี่ยนไปเช่นนี้? ถ้าอย่างนั้นมันจะมีสิ่งใดมายุ่งเกี่ยวเพิ่มขึ้นอีกในด่านถัดไปกัน?”

ดวงตาสีซีดของไอเดอร์มองออกมาจากด้านหลังหน้าม้าและแว่นตาของเขา ทั้งตัวของเขาสั่นด้วยความสับสน

ข้าจับคอเสื้อของไอเดอร์ด้วยมือทั้งสองข้าง เขย่าเขาอย่างรุนแรง

“ทำไมเจ้าถึงปกปิดสิ่งเหล่านี้ ทั้งที่กลับอ้างว่าจะช่วยข้า? ข้าต้องการคำตอบที่ตรงไปตรงมา!”

“…แต่นายท่านอาจจะไม่เชื่อข้าน่ะสิขอรับ”

ไอเดอร์กัดริมฝีปากล่างของเขาด้วยความกังวล เขาเริ่มพูดอย่างลังเล

“ข้าเองก็ช่วยท่านเท่าที่ข้าจะทำได้ นั่นแหละคือเรื่องจริง”

“อย่ามาเล่นแง่กับข้า! หากเจ้าช่วยข้า แล้วเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นคืออะไร? นี่เจ้าไม่คิดจะบอกความจริงมาเลยใช่ไหม?”

ไอเดอร์ชี้ไปที่คอของข้า

“สร้อยคอเส้นนั้น”

สร้อยคอที่มีตัวห้อย ซึ่งประดับอยู่ตรงคอของข้า มันเป็นรางวัลจากด่านฝึกสอน

“สร้อยคอที่ท่านได้รับเมื่อผ่านด่าน 0 นั้นมันจะเปิดเผลเรื่องทุกสิ่งเองเมื่อท่านผ่านด่านที่ 3”

"แล้วจากนั้น?"

“เมื่อปลดล็อคระบบของมันแล้ว ท่านจะเข้าใจทุกเรื่องที่ท่านต้องการ”

ไอเดอร์กล่าวออกมาด้วยความขมขื่น

“ท่านจะรู้เมื่อท่านผ่านด่านไปได้อีกหนึ่งด่าน ทั้งเหตุผลที่เรื่องทุกอย่างได้เกิดขึ้น…”

“…”

ข้ายังคงจ้องมองไปที่ไอเดอร์อย่างไม่ไว้วางใจ มันคงเป็นการยากแล้วที่จะเชื่อใจอีกฝ่าย

“ได้โปรดด้วยนายท่าน ไม่สิ คลาสิคเนิร์ด!”

ไอเดอร์เรียกข้าด้วยชื่อเล่นที่ข้าได้รับจากโลกเก่า

“ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านจะผ่านมันไปได้ สู้เหมือนที่เป็นอยู่ในยามนี้ จนกระทั่งได้รับรู้ความจริงของโลกที่บ้าคลั่งใบนี้”

"อะไรนะ?"

“เพราะทันทีที่ท่านรู้ ท่านจะไม่มีวันหันกลับได้อีกต่อไป”

ข้าถามไอเดอร์ที่ดูกำลังหวาดกลัวน้ำเสียงที่กระแทกกระทั้นของข้า

“หันกลับอะไร?”

แม้จะถูกรัดคอไว้ แต่ไอเดอร์ก็ยังคงยิ้มออกมา

มันไม่ใช่รอยยิ้มที่ร่าเริงตามแบบฉบับของเขา แต่รอยยิ้มที่ซับซ้อน ราวกับว่าอารมณ์อันยุ่งเหยิงกำลังปนเปอยู่ในใจ

“…จากโลกใบนี้เอง”

ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด