ตอนที่แล้วบทที่ 38 : [ด่าน 2] จำนวนไม่มีค่าเมื่อเทียบกับคุณภาพ (3)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 40 : [ด่าน 2] สิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้

บทที่ 39 : [ด่าน 2] กำแพงทรุดตัว


ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay

บทที่ 39 : [ด่าน 2] กำแพงทรุดตัว

บนเนินเขาที่แห้งแล้ง ห่างจากกำแพงครอสโรดไปทางตะวันออกเฉียงใต้ มีร่างโดดเดี่ยวร่างหนึ่งยืนอยู่

ชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่บนหลังม้าของเขา วิเคราะห์การป้องกันของกำแพงด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียด

เขาคือ ชาร์เลส มาร์คกราฟแห่งครอสโรด

“…”

ชีวิตที่ใช้ในการต่อสู้กับภัยคุกคามที่น่าสะพรึงและการนำทัพหลายครั้งได้ฝึกฝนสัญชาตญาณของเขา

เขารู้ทันที – การโจมตีของสัตว์ประหลาดพวกนี้ไม่เหมือนครั้งไหน

มันไม่ใช่แบบเดียวกับยามที่เขาเป็นเจ้าเมืองเลย

จำนวนของพวกมันมหาศาล สัตว์ประหลาดเหล่านี้เดินทัพกันอย่างเป็นระเบียบ ไม่ได้ไร้ระเบียบ เสมือนเป็นกองทัพที่ฝึกมาเป็นอย่างดี

’มีบางอย่างผิดปกติ’

อีกทั้งเรื่องหนึ่ง เมื่อนักกวีลึกลับได้โผล่ขึ้นมาจากทะเลสาบ ขับท่วงทำนองจากขลุ่ยของเขา การเคลื่อนไหวของสัตว์ประหลาดก็เปลี่ยนไปอย่างมาก

’การต่อสู้กับสัตว์ประหลาดเหล่านี้แตกต่างไป...เจ้าชายแอชจะนำทัพในการต่อสู้แบบนี้ได้งั้นเหรอ?’

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเจ้าเมืองที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ – เจ้าชายที่อายุน้อยที่สุดอย่างแอชจึงอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากเขา

กระทั่งตัวเขาในอดีต มาร์คกราฟแห่งครอสโรดก็ยังไม่รู้เลยว่าจะสามารถต้านทัพที่น่าสะพรึงเช่นนี้ไหวหรือไม่

เจ้าชายแอชทรงยึดหลักได้ดีอย่างน่าอัศจรรย์ แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าเขาจะเป็นคนที่ได้รับฉายาตัวเกียจคร้านแห่งเมืองหลวง

สถานการณ์ยังอยู่ในความสมดุล

’ข้าควรเข้าไปแทรกแซงไหม?'

คำถามก่อตัวขึ้นในใจของเขา

ข้างอานของเขา มีชุดเกราะและอาวุธที่เขาสวมใส่ตลอดชีวิตวางอยู่

“ไม่”

ชาร์เลส มาร์คกราฟแห่งตระกูลครอสโรดได้ส่ายศีรษะ

เขาเกษียณแล้วไม่ใช่หรือ? คงไม่จำเป็นต้องการกำลังของเขาหรอก

เขาเกลียดแนวหน้านี้ เขาเกลียดแผ่นดินผืนนี้

แม้จะอุทิศชีวิตด้วยความจงรักภักดี แก่พื้นที่รกร้างว่างเปล่าแห่งนี้ แต่ท้ายที่สุดมันก็เอาภรรยาและขับไล่ลูกสาวของเขาออกไป มันเป็นดินแดนที่เขาเกลียดชังถึงที่สุด

เขาไม่ต้องการที่จะปกป้องมันอีกต่อไป

’ข้าแค่... ต้องตายในสวนผลไม้’

ชาร์เลส มาร์เกรฟแห่งครอสโรดมองว่านี่คือวิธีการสำนึกผิดของเขา

การกระทำสุดท้ายของเขาที่ละเลยภรรยาของเขาในการป้องกันแนวหน้าที่เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาด

เขาจะสูดลมหายใจเฮือกสุดท้ายในที่เดียวกับที่ภรรยาของเขาได้ตายไป

ชาร์เลส มาร์เกรฟแห่งครอสโรดได้ละทิ้งแนวป้องกันและหันหลังไป

เขามาเพื่อตรวจสอบสถานการณ์เพราะคิดว่ามันดูประหลาดเกินไป แต่ยามนี้เขารู้สึกว่ามันคงสายไป

เขาจะทำอะไรได้บ้างงั้นหรือ?

’ไม่มีประโยชน์ ไม่มีประโยชน์เลย...’

ชาร์เลส มาร์เกรฟแห่งครอสโรดได้วางแผนที่จะกลับไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งสุดท้ายของเขา สวนผลไม้

ทันใดนั้นเอง -

ตู้ม!

เสียงฟ้าร้องดังก้อง

“…?!”

เขาสะดุ้ง หมุนตัวกลับไปจนเห็นกำแพงเมืองที่สั่นสะเทือนพร้อมกับกลุ่มฝุ่นขนาดใหญ่

เสียงร้องของมนุษย์ดังกึกก้องพร้อมกับสิ่งมีชีวิตที่คล้ายหนูหลายพันตัวที่ฝังอยู่ใต้กำแพง ดวงตาของมาร์เกรฟกระตุก

'ไม่นะ ไม่! ข้าไม่อยากสู้อีกต่อไปแล้ว’

มาร์เกรฟกัดฟัน เขาหันหัวม้าของเขากลับไปที่สวนผลไม้

’ข้าต้องกลับไป ยังสวนผลไม้ …'

หากแนวหน้าจะถูกขจัดไป พวกสัตว์ประหลาดคงจะเล็งพื้นที่อื่นต่อ

ซึ่งสวนผลไม้ของเขาจะอยู่ในแนวรับต่อไปใยการอาละวาดของพวกสัตว์ประหลาด

“รอก่อนเถิด ที่รักของข้า”

ในยามนั้น ภาพของภรรยาผู้ล่วงลับของเขาได้ปรากฏ รอยยิ้มของนางเปล่งประกายด้วยความสุข มันทะลวงเข้าไปในจิตใจของมาร์คกราฟแห่งครอสโรด

ความทรงจำเรื่องของนางยังคงตราตรึง ใบหน้าของนางที่เปื้อนคราบฝุ่นขณะที่นางป้อนองุ่นให้เขาได้ถามเขาว่า ’หวานไหม?’

“คราวนี้ ข้าจะดูแลเจ้าให้ปลอดภัยเอง”

มาร์คกราฟแห่งครอสโรดได้จินตนาการถึงหลุมฝังศพของภรรยาของเขา ซึ่งมันตั้งอยู่ข้างสวนผลไม้

นั่นคือที่ที่เขาต้องการจบชีวิตของตนลงไป

ตุบ ตุบ...

มาร์คกราฟแห่งครอสโรดได้ทิ้งความโกลาหลของแนวหน้าไว้ กลับมายังสวนผลไม้ของเขา

***

บูม บูม...!

เมื่อการสั่นสะเทือนและการระเบิดหยุดลง ข้าก็ลุกขึ้นยืนและตะโกนไปที่ใจกลางป้อมปราการ

“รายงานความเสียหายของกำแพงป้อมปราการ!”

ครู่ต่อมา ทหารที่รอภายในป้อมปราการก็ตอบ

“มันยังไม่เสียหายทั้งหมดขอรับ!”

“แต่ว่ามันขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น! เราได้ยินเสียงหนูแทะก้อนหินในกำแพงแล้ว!”

เมื่อข้าได้สติ ตัวข้าก็ส่ายไปมาด้วยความโกรธ

“ทำไมพวกมันถึงกินหิน อาหารบนโลกมีตั้งเยอะตั้งแยะ…!”

กำแพงป้อมปราการเป็นโครงสร้างที่ซับซ้อน มีแผ่นหินและแผ่นเหล็กเป็นชั้นๆ

มันไม่มีถูกทำลายด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ปัญหาคือ ส่วนที่เพิ่งซ่อมแซมใหม่ของกำแพงตอนนี้แตกไปแล้วเพราะการโจมตีของมนุษย์หนูผู้มีชัย

ในที่สุด พวกมันก็สามารถเจาะรูในกำแพงป้อมปราการเป็นอันสำเร็จ

ข้าปิดหน้าด้วยมือข้างหนึ่ง จมอยู่ในห้วงความคิดแล้วคำรามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“….ออกคำสั่งอพยพ”

"ว่ายังไงนะขอรับ?"

ลูคัสถามอีกครั้งด้วยความสับสน ข้าตอบกลับไปอย่างเชื่องช้า

“บอกให้พลเมืองในเมืองอพยพ! ตอนนี้เลย!”

"ท่านจะบอกว่า..."

“มีความเป็นไปได้สูงที่สัตว์ประหลาดจะเจาะกำแพง! แทนที่จะถูกจับและถูกฆ่าอย่างไร้ความจำเป็น ให้ประชาชนทุกคนมุ่งหน้าไปทางเหนือ!”

แน่นอนว่านี่อาจเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้นได้

เราต้องพร้อมที่จะปกป้องพวกเขาทั้งหมด

ติ๊งติ๊งติ๊งติ๊ง -!

เสียงระฆังดังขึ้นฉุกเฉินเจาะเข้ามาในหูของข้า มันเป็นระฆังเรียกอพยพ

เพราะกลัวสถานการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ข้าจึงออกคำสั่งถัดไปทันที

“ยกเว้นพลปืนใหญ่และพลธนูที่ประจำการในปืนใหญ่กับคันศรยักษ์ ให้เข้าไปประชิดกับกำแพง”

ข้าหันไปหาลูคัส

“ลูคัส เจ้าดูแลทหารราบ สร้างแนวป้องกันภายในกำแพงไว้ รั้งพวกมัน”

ลูคัสมองมาที่ข้าด้วยความเป็นห่วง

“ฝ่าบาท แล้วท่านล่ะ?”

“ข้าจะสั่งการจากข้างบน”

“แต่มันอันตรายนะขอรับ ฝ่าบาท!”

ลูคัสชี้มาที่เท้าของข้า

“กำแพงได้พังไปส่วนหนึ่งแล้ว มันอาจพังทลายลงมาทั้งหมดได้ มันเสี่ยงเกินไป!”

สิ่งที่เขาพูดมันถูกต้อง กำแพงพังทลายไปแล้วส่วนหนึ่ง

เหล่าทหารที่เป็นพลเล็งปืนใหญ่และคันศรยักษ์จึงต้องใช้สมาธิมากพอสควรที่จะไม่ยิงโดนกำแพง

“เจ้ากำลังแนะนำให้เราปลดการป้องกันจากด้านบนและเผชิญหน้ากับหนูที่เหลืออีก 1,500 ตัวโดยไม่มีอาวุธงั้นหรือ?”

แม้ว่าจะมีความเสี่ยงที่จะเกิดการพังทลายของกำแพง แต่เราก็ไม่สามารถละทิ้งการป้องกันได้

หากไม่มีการยิงสนับสนุนจากด้านบน ทหารราบของเราจะเผชิญกับความสูญเสียอย่างหนัก สุดท้ายการป้องกันอาจพังทลายลงไป

“ขอรับฝ่าบาท”

ลูคัสพยักหน้า แม้ว่าจะไม่เต็มใจก็ตาม

“แต่ถ้ากำแพงดูเหมือนจะพังทลายลงมา แม้เพียงเล็กน้อย แต่ท่านก็ต้องลงมาทันทีนะขอรับ”

"ได้อยู่แล้ว! ยามนี้เลิกกังวลและลงไปที่นั่นโดยเร็วเถิด”

ถึงบนกำแพงจะมีความเสี่ยงอยู่บ้าง แต่มันจะแย่ยิ่งกว่าพวกสัตว์ประหลาดที่บุกลงมาในภาคพื้นดินหรือ?

แต่ลูคัสก็ยังเป็นห่วงข้าจนถึงที่สุด เมื่อตอนที่ข้าเริ่มเดินขึ้นไป เขาก็พุ่งออกไปทันที เอะอะเหมือนแม่คนเชียวนะ

“จูปิเตอร์ จงลงมือตามที่เจ้าเห็นสมควร แต่พยายามจัดการไอ้พวกนั้นให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในครั้งเดียว”

ทั้งทีมมารวมตัวกันโดยสัญชาตญาณ ข้าเห็นสายตาของพวกเขาที่จ้องมองมา จึงได้ส่งคำสั่งออกไป

“อย่าเก็บพลังเวทมนตร์ของเจ้าไว้ ทันทีที่เจ้ามีคาถาสายฟ้า ก็จงปล่อยมันไปออกซะ”

“รับทราบ ฝ่าบาท”

เมื่อสถานการณ์ทวีความรุนแรงขึ้น สีหน้าของจูปิเตอร์ก็แข็งกระด้าง

จูปิเตอร์รีบรวมพลังเวทย์สีเหลืองของนางด้วยมือทั้งสองข้าง จากนั้นจึงพุ่งไปที่กำแพง

“ลิลลี่ สิ่งประดิษฐ์ใดที่สามารถเปิดใช้งานได้ในตอนนี้บ้าง?”

“มีเพียงสิ่งประดิษฐ์เร่งเพิ่มความเร็วเท่านั้นค่ะ สิ่งประดิษฐ์สนามแรงโน้มถ่วงและสิ่งประดิษฐ์เครื่องขยายเวทมนตร์กำลังติดเวลาพักอยู่ พวกมันจะไม่สามารถใช้ได้อีกจนกว่าการต่อสู้จะจบลงค่ะ”

“แล้วสิ่งประดิษฐ์เวทมนตร์พ่นไฟล่ะ?”

“เหลือเวลาอีก 10 นาทีถึงสามารถใช้ได้ค่ะ”

“ใช้เพิ่มความเร็วให้ทหารราบ ทันทีที่เปลวไฟเติมพลังงานแล้ว ก็ใช้มันได้เลย”

"เข้าใจแล้วค่ะ!"

ลิลลี่รีบออกไปเพื่อเปิดใช้งานสิ่งประดิษฐ์เพิ่มความเร็วทันที จากนั้นสายตาของข้าก็จ้องไปที่เดเมี่ยน

“เดเมี่ยน!”

“....ขอรับ องค์ชาย”

เดเมี่ยนยืนโค้งคำนับ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวล

เขาล้มเหลวในหน้าที่จัดการชายเป่าขลุ่ย ทั้งยังไม่สามารถหยุดมนุษย์หนูผู้มีชัยได้

เขาเชื่อว่าวิกฤตการณ์ในตอนนี้เป็นความผิดของเขาเอง

ข้านำนิ้วมารวมกันและดีดเบาๆ ใส่หน้าผากเรียบเนียนของเดเมี่ยน

แป๊ะ!

"โอ๊ย!"

ศีรษะของเดเมี่ยนถอยกลับไปด้านหลัง ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้น เขามองมาที่ข้า ข้าก็ยิ้มตอบไป

“จนถึงตอนนี้ เจ้าทำได้ดีมากเลยเจ้าเด็กบื้อ”

“ฝ - ฝ่าบาท …”

“ข้าไม่คิดว่าเจ้าทำผิดพลาดอะไรสักหน่อย เพราะอย่างนั้นจงอย่าเสียใจไป”

พลซุ่มยิงที่ไม่เคยยิงพลาดเป้า

ค่อนข้างเป็นตัวละครที่ขี้โกงใช้ได้

การมีเดเมี่ยนในทีมของข้าจะช่วยแผนการในอนาคตของข้าอย่างมาก

สำหรับข้าแล้ว ตัวตนของเดเมี่ยนคล้ายกับพรจากฟากฟ้า

“เพราะการมีอยู่ของเจ้า จึงทำให้ข้าแข็งแกร่งอย่างมาก”

“…!”

“ดังนั้นเจ้าจงเชื่อมั่นในตัวเอง มากพอๆ กับที่ข้าเชื่อมั่นในตัวเจ้า”

ข้าตบไหล่เดเมี่ยนแรงกว่าปกติเล็กน้อย

“เรามาผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกันเถอะ ตกลงไหม?”

"ข-ขอรับ! ฝ่าบาท!"

"ยอดเยี่ยม เดเมี่ยน บทบาทของเจ้าคือ… ’ด่านสุดท้ายของการป้องกัน '”

ข้าค่อยๆ ลากเท้าข้ามกำแพงไป รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนเล็กน้อย

“หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่กำแพงจะถูกเจาะเข้ามา พวกศัตรูบุกทะลวงมุ่งหน้าไปทางทหารราบของเราที่ชั้นล่าง”

"ขอรับ"

“แต่ทหารราบของเราเป็นมนุษย์ ไม่ใช่กำแพง มันคงจะมีช่องเปิดออกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ … ซึ่งอาจทำให้ศัตรูเหล่านี้ได้ผ่านไป”

เดเมี่ยนและข้าต่างหันไปมองภายในกำแพง

ควันจากบ้านเรือนยังคงปรากฏขึ้นให้เห็น

“ถ้ามีแม้แต่หนูตัวเดียวเข้ามาในเมืองได้ ขอบเขตของความหายนะที่พวกมันสร้างอาจไม่สามารถคำนวณได้ เจ้าต้องไม่ปล่อยให้หนูผ่านไปได้สักตัวเดียว”

บอสสัตว์ประหลาดอย่างมนุษย์หนูผู้มีชัยได้ตายไปแล้ว ทั้งหมดที่เหลืออยู่คือหนูประมาณหนึ่งพันห้าร้อยตัว

เดเมี่ยนคงจะสามารถจัดการกับหนูที่หนีออกจากแนวรับได้อย่างง่ายดาย

’ตราบใดที่ไม่เกินสิบตัวต่อครั้งแหละนะ’

เดเมี่ยนเป็นพลซุ่มยิงที่แม่นยำ แต่ความเร็วการยิงของเขาช้ามาก

เราต้องหาวิธีแก้ไขจุดอ่อนนี้...

“ข้าเข้าใจแล้วขอรับฝ่าบาท! ข้าจะทำให้ดีที่สุดเลย!”

พอตอบเสร็จ เดเมี่ยนก็ยกหน้าไม้ขึ้นและวิ่งไปที่ด้านในของกำแพง

ถ้างั้นก็ดีแล้ว ตอนนี้เราคงได้แต่ต้องเชื่อมั่นว่าทุกคนจะทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี

"ฟิ้ว!"

ข้าสูดลมหายใจและตบแก้มตัวเอง พยายามมองออกไปนอกกำแพงเมือง

ข้าต้องการตรวจสอบว่าทุ่งสังหารได้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่หรือยัง

ทันใดนั้นเอง -

“กำแพงพังแล้ว! พวกมันกำลังเข้ามา!”

เสียงร้องดังก้องมาจากภายในกำแพง

“พวกมันเร็วเกินไปแล้ว ให้ตายสิ …!”

ข้ากัดฟันและมองเข้าไปในกำแพง

ระยะห่างอยู่ไกลกันเกินไป กำแพงด้านในสั่นสะท้าน จากนั้น...

-ตู้ม!

ท่ามกลางก้อนอิฐและฝุ่นจำนวนมาก พวกหนูได้ระเบิดผ่านช่องเปิด

จิ๊ด! จิ๊ด!

หนูมากมายในหลุมพยายามพุ่งเข้าใส่มนุษย์ข้างหน้า

ฉัวะ!

แต่ลูคัสที่อยู่ในตำแหน่งตรงหน้าหลุมก็ปาดคอของพวกมันด้วยดาบเดียว

ใบมีดที่เหมือนเลื่อยในมือของลูคัส ’เครื่องเฉือนหนู’ ได้เปล่งประกายด้วยแสงที่น่าสะพรึง

ลูคัสไม่กระพริบตา เขายังคงจัดการพวกหนูต่อไป

“ช่องที่พวกมันออกมานั้นแคบ! ใจเย็นๆ และจัดการพวกมันทีละตัว!”

"ขอรับ!"

ทหารรับคำสั่งของลูคัสอย่างพร้อมเพรียง

แต่ลูคัสก็ได้มองข้ามสิ่งหนึ่งไป

อันที่จริง หลุมนั้นแคบ แต่ฝ่ายตรงข้ามของเราเป็นหนู แม้จะมีช่องเปิดที่แคบ แต่พวกมันก็ดันผ่านคล้ายดั่งห่าฝนที่ไม่มีวันหยุดหย่อน

ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าพวกมันกำลังขยายช่องเปิด ทำให้มีหนูจำนวนมากยิ่งขึ้น

เมื่อมองจากตำแหน่งที่สูง ข้าก็ต้องประหลาดใจยิ่ง

“หนูพวกนี้มันหนูบ้าบออะไรกัน? พวกมันเหมือนตัวตุ่นมากกว่าเสียอีก…”

ในตอนแรก ทหารราบสามารถยับยั้งหนูได้ค่อนข้างง่าย แต่เมื่อจำนวนของพวกมันเพิ่มขึ้น ความเหนื่อยล้าก็เริ่มตามมา

แต่มันยังไม่จบเพียงเท่านั้น

“สิ่งประดิษฐ์เครื่องพ่นไฟ! พร้อมแล้วค่ะ! เปิดใช้งานทันที…เหวอ?!”

ลิลลี่กำลังเตรียมเปิดใช้งานสิ่งประดิษฐ์ แต่ก็ได้ส่งเสียงร้องออกมา ข้ารีบวิ่งไปที่ด้านข้างของนางด้วยความตกใจ

“มีอะไรเหรอลิลลี่?”

“หนู หนู…!”

หนูสองสามตัวได้อยู่รอบสิ่งประดิษฐ์เครื่องพ่นไฟ

นักเล่นแร่แปรธาตุจำนวนมากได้ถูกกัดและมีเลือดออกมา ร่างของพวกเขาล้มอยู่ใกล้ๆ

ข้าพุ่งเข้าไปและปล่อยหมัดโดยไม่ลังเล

“หมัดองค์ชาย-!”

ปั๊ก!

ทันทีที่หมัดของข้าสัมผัสกับหนู เลขแห่งโชคของข้าก็เด้งขึ้นมา

“ติ๊ง  ติ๊ง  ติ๊ง…”

ตัวเลขที่ปรากฏขึ้นบนวงล้อสุ่มคือ 0, 1, 5

ความเสียหาย 15!

ปั๊ก!

แม้ว่าจำนวนจะน้อย แต่ตัวเลขเหล่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะส่งหนูท่อระบายน้ำระดับ 5 ไปสู่สรวงสวรรค์

ข้าถอนกำปั้นออกมา สำรวจพื้นที่นอกกำแพงอย่างรวดเร็ว

“พวกมันปรับขนาดกำแพงงั้นเหรอ!”

ผมละเลยพวกมันไป เอาแต่จดจ่อกับส่วนที่กำแพงทะลุ

หนูท่อระบายน้ำบางตัวเพิ่งปีนข้ามกำแพงมา มีเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นที่กำลังทำร้ายสิ่งประดิษฐ์เวทมนตร์

"แย่แล้ว! ไอ้เจ้าบ้าพวกนี้!"

ลิลลี่ปล่อยคาถาไฟออกมาเผาหนูท่อระบายน้ำที่เหลืออยู่

หลังจากนั้น ลิลลี่ก็ตรวจสอบนักเล่นแร่แปรธาตุที่บาดเจ็บและเรียกข้า

“พวกเขายังมีชีวิตอยู่! แต่พวกหนูได้สร้างความเสียหายให้กับสิ่งประดิษฐ์ ต้องมีการปรับเครื่องใหม่เพื่อเปิดใช้งานอีกครั้ง…!”

“รีบทำให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้เลย! เวลาของเราใกล้จะหมดแล้ว”

เมื่อกองกำลังทั้งหมดที่รั้งหนูพวกหนูไว้อยู่ภาคพื้นดิน ก็ทำให้จำนวนหนูที่เกาะขึ้นมาตามกำแพงมากขึ้น

ทหารปืนใหญ่และนักธนูที่ประจำการอยู่บนกำแพงก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องชักอาวุธออกมา โจมตีพวกมัน

"อ๊ากกก!"

"มือข้า… มือข้า…!"

ทหารราบที่ป้องกันพวกหนูก็เริ่มได้รับบาดเจ็บ ล้มตาย

หน่วยโจมตีระยะไกลโจมตีพวกหนูอย่างมีประสิทธิภาพ พวกเขากำจัดหนูท่อระบายน้ำที่ขุดเข้าหาทหารราบ ช่วยลดภาระการป้องกันได้มากพอสมควร

ทว่าในปัจจุบัน พวกเขามีแต่ต้องใช้ร่างเพื่อป้องกันไม่ให้พวกหนูบุกเข้ามาเท่านั้น

’หากเป็นเช่นนี้ต่อไป…!'

จูปิเตอร์กำลังหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย ขณะที่นางเตรียมคาถาต่อไป ข้าก็เหวี่ยงโชคกระแทกใส่พวกหนูซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เดเมี่ยนก็ยิงหน้าไม้ออกจากด้านข้างของข้าอย่างบ้าคลั่งเช่นกัน แต่ความเร็วของเขาลดลงไปมาก

’หากมันยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป ความเสียหายคงอยู่เหนือการควบคุมแน่... !'

สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดได้ปรากฏขึ้นในใจของข้า ข้าพยายามคิดเพื่อหาทางออกอย่างสิ้นหวัง บ้าจริง ไม่มีอะไรใช้ได้เลยเหรอ?!

ในยามนั้นเอง

ทหารผ่านศึกที่กำลังปาดคอหนูด้วยดาบผู้หนึ่งที่อยู่บนกำแพง ก็เบิกตากว้าง

เขาเคยเป็นทหารผ่านศึกที่เคยรับใช้มาร์คกราฟมาก่อน

มันราวกับว่าเขาได้เห็นผี เขาหันไปทางที่ราบทางใต้และพึมพำ

“มาร์คกราฟ…?”

"...อะไรนะ?"

ข้ามองไปในทิศทางเดียวกันและเห็นอย่างรวดเร็วถึงสิ่งหนึ่ง

ตุบ ตุบ ตุบ-!

จากด้านหนึ่ง ห่างออกไปไกลจากกำแพง

ข้าเห็นอัศวินชราในชุดเกราะมัวหมองกำลังพุ่งเข้ามาหาเรา

ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด