บทที่ 1038(159) มันจะต้องมีวันนั้น ไม่ช้าก็เร็ว! (ตอนฟรี)
บทที่ 1038(159) มันจะต้องมีวันนั้น ไม่ช้าก็เร็ว!
ในระหว่างรับประทานอาหาร ในที่สุดจี้ช่าวเหลยก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นก่อนว่า “น้องสาม จริงๆแล้วการที่ต้วนเผิงกลับมาในครั้งนี้ เขามีบางเรื่องที่ต้องจัดการ ฉันมาคิดๆดูแล้ว ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะต้องให้นายช่วย!”
นั่นไง! มีบางอย่างเกิดขึ้นจริงๆ!
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะแอบคิดอยู่ในใจ ต้วนเผิงที่ตั้งใจย้ายถิ่นฐานไปอยู่ต่างประเทศแต่อยู่ๆกลับมาโดยไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้า อีกทั้งยังตั้งใจมาหาจี้ช่าวเหลยและตัวเขาเองทันทีที่กลับมา มันจะต้องมีเรื่องเกิดขึ้นแน่นอน ไม่อย่างนั้น แม้ว่าเขาคิดถึงบ้านหรืออยากจะรวมตัวกับเพื่อนเก่า เขาก็ควรจะมาหาจี้ช่าวเหลย ไม่ควรเรียกเขาออกมาอย่างกะทันหันเช่นนี้
เห็นได้ชัดว่าอย่างที่พี่รองจี้ช่าวเหลยกำลังพูด มีบางอย่างเกิดขึ้นกับต้วนเผิง และมันก็เกี่ยวข้องกับเขาด้วย!
“ถ้าผมสามารถช่วยได้ ผมจะช่วยอย่างเต็มที่” จี้เฟิงยิ้มบางๆ เขาเหลือบมองต้วนเผิงและพูดว่า “แต่ตอนนี้ผมอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเหล่าต้วน?”
“เหล่าจี้.. ก่อนจะพูดถึงเรื่องอื่น ฉันอยากจะขอบคุณคุณสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งที่แล้ว ดูเหมือนว่าฉันจะไร้มารยาทและยังไม่ได้ขอบคุณคุณอย่างจริงจังเลย ฉันจะใช้โอกาสนี้เพื่อขอบคุณคุณด้วยตัวเอง...” เมื่อได้ยินคำพูดของจี้เฟิง ต้วนเผิงก็พูดกับจี้เฟิงด้วยความซาบซึ้ง “ถ้าไม่ใช่เพราะเหล่าจี้ ฉันคงจะถูกจับเข้าคุก และไม่ได้ไปอยู่ที่ต่างประเทศ หรือแม้แต่จะไม่ได้ไปต่างประเทศ ฉันก็คงไม่สามารถอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ ทุกอย่างเป็นเพราะเหล่าจี้ที่ช่วยเหลือฉันเอาไว้ ฉันรู้สึกซาบซึ้งใจมาก!”
ต้วนเผิงรู้ดีอยู่แก่ใจว่าตั้งแต่แรกที่เขาสามารถไปต่างประเทศได้อย่างปลอดภัยก็เพราะจี้เฟิงคอยกันคนของตระกูลเฉียวเอาไว้ให้ ทำให้พวกนั้นไม่มีเวลามาจัดการกับเขา
และถ้าไม่ใช่เพราะจี้เฟิง ตระกูลเฉียวคงเล่นงานเขาไปนานแล้ว
ตระกูลเฉียวไม่ได้จับตาดูทรัพย์สินของเขามาแค่วันสองวัน แต่พวกนั้นจ้องจะเขมือบทรัพย์สินของเขามานานแล้ว มีไขมันฉ่ำๆอยู่ตรงหน้า ใครบ้างจะอดใจไหว!
ดังนั้นต้วนเผิงจึงรู้สึกขอบคุณจี้เฟิงเป็นอย่างมาก
แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าที่จี้เฟิงช่วยเหลือเขานั้นเนื่องมาจากความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับจี้ช่าวเหลย แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร บุญคุณก็คือบุญคุณแถมยังเป็นบุญคุณที่ไม่น้อยเลย
จี้เฟิงโบกมือทันทีและพูดด้วยรอยยิ้ม “เหล่าต้วนก็พูดเกินไป เพื่อนกันช่วยเหลือกันเป็นเรื่องปกติ ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความ!”
จู่ๆจี้เฟิงก็เริ่มรู้สึกระแวง เขากับต้วนเผิงไม่ใช่เพื่อนกันโดยตรง ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะมีจี้ช่าวเหลยอยู่ตรงกลาง ดังนั้นคำขอบคุณและบุญคุณที่เกิดขึ้นควรไปตกอยู่กับจี้ช่าวเหลย
ที่จี้เฟิงพูดไป มันก็เป็นแค่การพูดตามมารยาทเท่านั้น..
“เหล่าต้วน พูดมาได้เลยว่าปัญหาของนายคืออะไร บางทีน้องสามอาจช่วยนายได้” จี้ช่าวเหลยที่อยู่ข้างๆพูดขึ้น
ต้วนเผิงพยักหน้าและพูดว่า “ในเมื่อเหล่าจี้พูดแบบนี้ ฉันก็ขอเล่าเลยแล้วกัน... จริงๆแล้วเรื่องนี้ฉันต้องเริ่มพูดตั้งแต่ตอนที่ฉันไปต่างประเทศ...”
จี้เฟิงฟังเรื่องราวของต้วนเผิงอย่างเงียบๆ และค่อยๆเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด
ปรากฏว่าในตอนที่ยังอยู่ประเทศจีน ต้วนเผิงถูกกดดันโดยตระกูลเฉียวจนแทบจะจนตรอก และเนื่องจากผู้อาวุโสจี้ยังคงออกตัวปกป้องตระกูลเฉียวอยู่พอสมควร จี้ช่าวเหลยและคนอื่นๆจึงไม่กล้าทำอะไรกับตระกูลเฉียวมากนัก สิ่งนี้ทำให้ต้วนเผิงเหลือทางออกไม่มากนัก สุดท้ายก็ต้องจำใจกัดฟันออกจากประเทศจีนไปยังต่างประเทศ
หลังจากมาถึงต่างประเทศด้วยความสิ้นหวัง ต้วนเผิงพบว่าประเทศที่เขาไปนั้นแตกต่างจากประเทศบ้านเกิดอย่างสิ้นเชิง
มีกฎบางอย่างที่ชัดเจนหรือเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับกฎที่บ้านเกิด ดูเหมือนว่าต้วนเผิงจะปรับตัวเข้ากับกฎเกณฑ์ของต่างประเทศได้มาก พิสูจน์ได้จากการกระทำของเขาที่ทำได้ออกมาดีทีเดียว
แม้ว่าจะมากลุ่มคนต่างๆที่คอยสร้างปัญหา ยกตัวอย่างเช่นแก๊งนักเลงท้องถิ่นที่คอยเรียกเก็บค่าคุ้มครอง มีการเลือกปฏิบัติจนสร้างความยากลำบากให้กับชาวจีนและปัญหาประเภทอื่นๆอีกยิบย่อย แต่อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่คุณรู้ว่าอะไรเป็นอะไร และเข้าใจธรรมชาติของกฎเกณฑ์นั้นๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะอยู่
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวเล็กน้อยและพูดว่า “อันที่จริง จะว่าแบบนั้นก็ไม่ถูกต้องทั้งหมด กฎของสถานที่ใดๆก็ตามล้วนถูกกำหนดขึ้นโดยคน ดังนั้นไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เพียงแค่เรียนรู้และสัมผัสนิสัยของคนในท้องถิ่นนั้น เราก็จะเข้าใจกฎของพวกเขาได้ไม่ยาก ดังนั้นการจะอาศัยอยู่ร่วมกันก็สามารถทำได้ แน่นอนว่าถ้าพูดมันฟังดูง่าย แต่การจะเข้าใจนิสัยของคนอื่นหรือเรียนรู้กฎเกณฑ์ใหม่ๆนั้นไม่ใช่เรื่อง ยังไงมันก็ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถทำได้ ดังนั้นคนที่สามารถสัมผัสอะไรเหล่านี้ได้จึงเป็นส่วนน้อย!”
“น้องสามพูดถูก!” จี้ช่าวเหลยพยักหน้าทันทีและกล่าวว่า “ต้วนเผิงเป็นคนที่มีพรสวรรค์ในด้านนี้ เขาสามารถตีเนียนอยู่ได้ในทุกที่ที่เขาไป!”
“ช่าวเหลย ขอร้องล่ะ! อย่าแซวฉันมากนักเลย!”
ต้วนเผิงโบกมือด้วยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยวและพูดว่า “จริงๆแล้วทุกคนนั้นรู้กฎดี ถ้าอยู่ที่ไหนที่หนึ่งนานๆ ไม่ว่าใครก็ต้องเข้าใจจิตใจคนรอบข้าง บุคลิกหรือนิสัยของคนในท้องถิ่น แต่มันยังมีสิ่งที่สำคัญกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นจุดเริ่มต้น ต้นทุน โดยเฉพาะคนจีนอย่างเราต้องใช้ต้นทุนไม่น้อยเลย ดีที่ฉันพอจะมีเงินติดตัวไปพอสมควร ไม่อย่างนั้นคงได้อยู่แบบคนอนาถา!”
“เหล่าต้วน ทำไมคุณถึงพูดว่าคนจีนอย่างเรา... คุณไปประเทศไหนกันแน่? ชาวจีนถูกเลือกปฏิบัติมากขนาดนั้นเลยเหรอ?” จี้เฟิงถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ฉันไปที่สหรัฐอเมริกา ถ้าคุณไม่ไปอยู่ที่นั่นด้วยตัวเอง คุณจะไม่เข้าใจสถานการณ์ของที่นั่นเลย”
ต้วนเผิงส่ายหัวแล้วพูดต่อ “ถ้าจะให้ฉันเล่า การที่ฉันบอกว่าคนจีนถูกเลือกปฏิบัติถือว่าเป็นเด็กน้อยไปเลย มันอาจจะฟังดูแย่นะ แต่คนจีนก็ยังดีกว่าคนผิวดำ แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เล็กน้อยมากจริงๆ และถ้าเทียบเรากับคนผิวขาว อย่าพูดว่าเราถูกเลือกปฏิบัติ ให้พูดว่าเราเป็นคนละระดับกับพวกเขา อยู่กันคนละชนชั้นที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงดีกว่า!”
“ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีปัญหาทางธุรกิจเกิดขึ้น แล้วหน่วยงานใดก็ตามที่มีอำนาจตัดสินผิดถูกเห็นว่าฝ่ายหนึ่งเป็นชาวจีน คดีนี้ก็จะไม่ตรงไปตรงมาอีกต่อไป จู่ๆหลักฐานบางอย่างจะหายไป จนไม่เพียงพอต่อการพิสูจน์หาความจริง หรือไม่ก็มีเงื่อนไขบางประการที่ยังไม่ถูกกำหนดขึ้น ยังไงก็ตาม มีเหตุผลอีกมากมายที่จะนำมาใช้ สรุปง่ายๆ พวกเขาไม่ต้องการที่จะปล่อยเราไปง่ายๆ!”
ต้วนเผิงยิ้มเยาะ “ในความคิดของคนอเมริกัน พวกเราชาวจีนยังคงเป็นกลุ่มลิงผิวเหลืองที่โง่เง่าหัวช้า หรือไม่ก็เป็นแค่ตู้กดเงินสด! ดูคนต่างชาติที่มาท่องเที่ยวในประเทศเราสิ พวกเขาไม่ต่างจากสุนัขจิ้งจอกหิวเงิน ตั้งใจมาดูดเงินที่ประเทศจีน ทั้งๆที่ความจริงแล้วเมื่อพวกเขาอยู่ที่ประเทศของตัวเองนั้นไม่นับเป็นอะไรได้เลย พวกเขาอยู่ที่ประเทศของตัวเองไม่รอดด้วยซ้ำ!”
“ฉันก็เคยได้ยินเรื่องนี้!”
จี้ช่าวเหลยพยักหน้าและกล่าวว่า “พูดตามตรง ระหว่างประเทศเรากับประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา มันยังคงมีช่องว่างขนาดใหญ่ แม้ว่าอะไรหลายๆอย่างในประเทศเราจะค่อยๆพัฒนาและดีขึ้น แต่ช่องว่างนั้นก็ยังคงใหญ่มากอยู่ดี ซึ่งนั่นก็ดึงดูดชาวต่างชาติจำนวนมากให้มายังประเทศของเรา ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ไม่สามารถหาเลี้ยงชีพในประเทศของตัวเองได้!”
“แต่ที่ทำให้ฉันรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจมากที่สุดคือคนจีนส่วนใหญ่ต่างแสดงออกเหมือนกับชาวต่างชาติพวกนั้นเป็นพ่อเป็นแม่แท้ๆ ไม่คิดกันบ้างหรือไงนะว่าคนพวกนั้นมาที่ประเทศของเราทำไม! พวกเขาก็แค่มากอบโกยผลประโยชน์เท่านั้นแหละ!”
มุมปากของต้วนเผิงคว่ำลงเป็นรอยยิ้มเยาะ “หลังจากที่ฉันได้ออกไปเปิดหูเปิดตาที่โลกภายนอก ฉันก็รู้ซึ้งเลยว่าคนในประเทศเราชื่นชมยกย่องชาวต่างชาติมากมายขนาดไหน! แต่พอลองมองไปที่ประเทศอื่น พวกเราถูกปฏิบัติดีกว่าหมูและหมานิดหน่อย พวกเขาแทบไม่มองเราเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกับพวกเขาด้วยซ้ำ!”
หลังจากประโยคนี้จบลง ทั้งสามคนก็นิ่งเงียบกันไปครู่หนึ่ง เจียงโจวได้ชื่อว่าเป็นไข่มุกแห่งจีนและถูกยกย่องให้เป็นมหานครระดับนานาชาติ ผู้คนที่อยู่ที่นี่มีทุกประเภท และทั้งสามคนก็เคยเห็นชาวต่างชาติและการกระทำต่างๆ ดังนั้นทั้งจี้เฟิงและจี้ช่าวเหลยจึงสามารถเข้าใจในอารมณ์และสิ่งที่ต้วนเผิงพูดได้อย่างสุดซึ้ง
ลองนึกภาพดูว่า มนุษย์คนหนึ่งปฏิบัติต่อคุณเหมือนสุนัข แต่คุณกลับเข้าหาและเลียหน้าพวกเขาอย่างยินดี ความแตกต่างอย่างมากนี้ทำให้พวกเขารู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจมากจริงๆ
“แม้ว่าจะมีคนจีนจำนวนมากที่ไร้สมอง ไม่เคยคิดอย่างจริงจังและชื่นชมชาวต่างชาติที่หวังจะกอบโกยแต่ผลประโยชน์ แต่ก็ยังมีคนอีกจำนวนมากเช่นกันที่ไม่แสดงออกอะไรแบบนั้น”
จี้ช่าวเหลยกล่าวว่า “พูดก็พูดเถอะ เราก็ต้องชื่นชมชาวต่างชาติที่เป็นผู้บุกเบิกมาทำมาหากินอยู่ที่นี่เหมือนกันนะ พวกเขาอาจจะเป็นแค่คนธรรมดาๆ หรือไม่ก็นักเลงกระจอกๆเมื่ออยู่ในบ้านเกิดเมืองนอนของพวกเขา แต่พวกเขาก็กล้าเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลดั้นด้นมาหาเงินหาทองในประเทศจีน และถ้าพูดถึงความสามารถเมื่อเทียบกับคนของเรา หลายสิ่งหลายอย่างพวกเขาก็เหนือกว่าเล็กน้อย นั่นเป็นช่องว่างที่ยังคงมีและเป็นข้อเท็จจริงที่เราเถียงไม่ได้!”
“ใช่! แม้ว่าฉันจะไม่อยากยอมรับและอยากบอกว่าคนในประเทศเราเองก็มีดีและเก่งกว่าประเทศอื่น แต่ความเป็นจริงก็เห็นอยู่ทนโท่! มันทำให้เราพูดอะไรไม่ออกจริงๆ!” ต้วนเผิงส่ายหัวแล้วพูด
“เรายังคงอยู่ในขั้นตอนการพัฒนานั่นแหละนะ เมื่อไหร่ที่สถานะของประเทศเราสูงขึ้นเรื่อยๆ อะไรหลายๆอย่างก็จะค่อยๆดีขึ้น เห็นหรือเปล่าล่ะว่า เมื่อก่อนนี้ชาวต่างชาติมาเพื่อกอบโกยเงินทองในประเทศเราแล้วก็กลับไป แต่เดี๋ยวนี้พวกเขามาอยู่ยาว มาลงทุนกันมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งเหล่านี้มันหมายความว่าไง? มันคือแนวโน้มที่ดีขึ้นยังไงล่ะ!”
จี้เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มันแสดงให้เห็นว่าสุดท้ายแล้ว ประเทศของเรานั้นมีดีอยู่มากจริงๆ มากพอที่จะดึงดูดพวกเขาให้มาลงทุน! ไม่ว่าพวกเขาจะมากอบโกยผลประโยชน์หรืออะไรก็ตาม สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ต้องมาทำงานให้เรา มาพัฒนาประเทศของเรา อย่างน้อยมันก็พิสูจน์ได้ว่าประเทศของเรากำลังก้าวหน้าไปทุกปีๆ แล้วในไม่ช้าก็เร็ว จะมีสักวันหนึ่งที่ชาวต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาในประเทศของเราเป็นจำนวนมากจนเราเป็นฝ่ายขับไล่พวกเขาและคัดเลือกแต่บุคลากรชั้นยอดเท่านั้นที่จะมาทำงานให้กับเรา คอยดูเถอะ! วันนั้นจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว!”
“พูดได้ดี!”
จี้ช่าวเหลยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฉันยังเชื่ออีกว่าประเทศของเราจะต้องกลายเป็นสถานที่ที่ทุกคนต่างก็ใฝ่ฝัน จากนั้นเรานี่แหละจะเป็นฝ่ายเลือกปฏิบัติต่อพวกเขา ดูกอริลลาพวกนั้นสิ ขนดกเฟิ้มไปทั้งตัว ถ้าอยากเข้ามาประเทศของเรา ก็ไปโกนขนให้สะอาดเสียก่อนเถอะ!”
“ฮ่าๆๆๆ~!”
พวกเขาทั้งสามคนระเบิดเสียงหัวเราะ และบรรยากาศที่ชวนอึดอัดกดดันก็มลายหายไปทันที อันที่จริง พวกเขาสามคนรู้สึกอึดอัดอยู่เล็กน้อย สุดท้ายแล้วเรื่องที่ต้วนเผิงพูดก็น่าหดหู่จริงๆ
“เอาล่ะๆ อย่าอ้อมค้อมไปมากกว่านี้เลย” จี้เฟิงยิ้มและโบกมือ “เราคุยกันมาสักพักแล้ว ฉันรู้สึกว่าเรายังไม่ถึงประเด็นหลักเสียที.. เหล่าต้วน เรามาคุยเรื่องของคุณกันดีกว่า!”
ต้วนเผิงได้ยินเช่นนั้นก็ตระหนักได้ว่าหัวข้อนี้หลงทางไปไกลแล้วจริงๆ!
เขารีบพูดทันที “ฉันเกือบจะลืมธุระที่จะพูดไปแล้วจริงๆ... ในปีที่ผ่านมา ฉันได้ก่อร่างสร้างตัวอยู่ที่นั่น ธุรกิจของฉันพัฒนาไปอย่างช้าๆ และฉันก็ได้พบกับคนสองสามคนโดยบังเอิญ และนั่นแหละ คือจุดเริ่มต้นของปัญหา!”
“หืม?” จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “คนอเมริกันสร้างปัญหาให้คุณเหรอ?”
“ไม่ใช่เสียทีเดียว... มีชาวอเมริกันสองสามคนและชาวเอเชียสองคน” ต้วนเผิงส่ายหัวแล้วพูดว่า “ประเด็นสำคัญคือชาวเอเชียคนหนึ่ง พูดให้เจาะจง เขาเป็นคนจีน และเป็นคนจีนที่พวกคุณก็รู้จัก!”
“ใคร?!” จี้เฟิงถามทันที
“เฉียวเจียไค!” ต้วนเผิงตอบ “คิดดูเอาแล้วกันว่าฉันเป็นคนที่โชคร้ายขนาดไหน เคยได้ยินว่าถนนที่มีศัตรูมันแคบ แต่ไม่คิดว่าจะแคบขนาดนี้!”
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้วนเผิงพูดทำให้สีหน้าของจี้เฟิงเปลี่ยนไป เขาเอ่ยถามขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เหล่าต้วน คุณแน่ใจจริงๆหรือไม่ว่าคนที่คุณพบเป็นเฉียวเจียไคจริงๆ?”
.....จบบทที่ 1038