ตอนที่ 41 เรือนจำแห่งฝันร้าย
สิ่งมีชีวิตแขนขายาวเก้งก้างตัวหนึ่งกำลังเดินไปบนทางคับแคบ ตลอดเส้นทางไม่มีแสงไฟใดให้ความสว่าง แม้ยื่นมือไปเบื้องหน้าก็ไม่อาจมองเห็น ความมืดที่มืดสนิทเช่นนี้เกิดจากเวทมนตร์ประหลาดและภูมิศาสตร์ของสถานที่
นี่คือคุกแห่งฝันร้าย สถานที่สุดท้ายของเหล่าศัตรูแห่งวอร์ล็อค
"การ์อาลอส เจ้าไม่น่ารีบตายเลย ทำข้าเหนื่อยไปหมด"
มีเสียงดังออกมจากร่างพิกลพิการนี้ มันมีปากที่กว้างยาวบนใบหน้าเกือบยี่สิบนิ้ว ฟันแหลมคมยิ่งกว่าสัตว์ร้ายเรียงอยู่เต็มแถวบนล่าง
หากมีหมอฟันคนใดมาเจอฟันของมันก็ต้องชมว่าสวยและแข็งแรง เพราะนี่คือความภาคภูมิใจตลอดชีวิตของมัน ฟันที่กัดได้แม้แต่โลหะที่แข็งที่สุดในโลก
ถ้าเกิดว่าหมอฟันคนนั้นมีชีวิตอยู่นานพอจนมีโอกาสได้พูดล่ะนะ
เพราะสิ่งมีชีวิตนี้คือบูซี้ พัศดีเรือนจำแห่งฝันร้าย มุขมนตรีแห่งวอร์ล็อค ผู้ที่มีความเมตตาติดลบโดยสมบูรณ์
บูซี้เดินอยู่ภายในคุกนี้มาหลายนาทีแล้ว ก่อนหน้านี้มันต้องสอบสวนการเสียชีวิตของการ์อาลอสตามระเบียบของอาณาจักร จนแน่ใจว่าไม่มีปัญหาใด มันจึงลงมาที่นี่ตามคำสั่งของสภา
เส้นทางทั้งหมดมันคุ้นเคยดีและไม่จำเป็นต้องมีแสงไฟ เพราะว่ามันไม่มีดวงตา
บูซี้เดินมาหยุดอยู่หน้าห้องขังห้องหนึ่ง ไม่มีหน้าต่างลูกกรงหรือประตูมีเพียงรูขนาดหนึ่งนิ้วเบื้องหน้า พัศดีอัปลักษณ์ชูนิ้วชี้ของมันขึ้น ปลายนิ้วที่แสนสกปรกค่อยๆเปลี่ยนรูปร่างของมันเป็นสิ่งที่คล้ายกับกุญแจ และเสียบเข้าไปในรูดังกล่าว
เสียงดังกริ้ก ลั่นออกมาสามครั้ง แผ่นหินตรงหน้าก็เลื่อนออก เผยให้เห็นห้องขังที่มืดมิดด้านใน บนผนังตรงหน้าของบูซี้มีร่างหนึ่งถูกตรึงเอาไว้ด้วยโซ่และกุญแจนับร้อยเส้น แต่ละเส้นเปล่งพลังงานระดับตำนานออกมา
บูซี้อดใจสั่นขึ้นมาไม่ได้ เมื่อมองไปยังคนที่ถูกพันธนาการเอาไว้ตรงหน้าของมัน
"ข้าเอาอาหารมาให้เจ้า"
พัศดีโยนร่างๆหนึ่งที่เดินกับมันมาตลอดทางเข้าไปในห้องขัง แสงไฟสีเขียวลุกโชนขึ้นกลางอากาศ หอบร่างนั้นขึ้นไปที่ใบหน้าของผู้ถูกคุมขัง
"เอ่อ ข้าขอแขนข้างหนึ่งได้ไหม?"
ไม่รอให้ใครอนุญาตบูซี้ก็คว้าไปในอากาศตรงหน้า ฉีกแขนเรียวเล็กออกมาจากร่างนั้น
ฉับพรันเสียงกรีดร้องของเด็กชายก็ดังขึ้นทั่วทางเดิน แต่บูซี่เหมือนจะไม่สนใจ มันยัดแขนที่เปื้อนไปด้วยเลือดแดงฉานข้างนั้นเข้าปากและเคี้ยวเสียงดับกรุบๆ เหมือนเคี้ยวขนม
ร่างน้อยที่ถูกไฟสีเขียวจับเอาไว้ดิ้นพร่านพร้อมกับส่งเสียงทุกข์ทรมานไม่หยุด ใบหน้าขาวเนียนน่ารักเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา
สิ่งมีชีวิตบนกำแพงอ้าปากของมันและเริ่มกิน
ผ่านไปสามนาทีเสียงร้องก็หยุดลง ร่างที่กรีดร้องก่อนหน้านี้ก็ไม่มีอยู่อีก
"บูซี้เพื่อนข้า บอกข้ามาเถิด เกิดอะไรขึ้นด้านบนนั้น เจ้าคงไม่มาหาข้าเพราะอยากเลี้ยงอาหารข้าหรอกใช่ไหม เจ้ามันไม่ใช่คนเช่นนั้น"
เสียงดังออกมาจากร่างบนกำแพง
บูซี้ก้าวเดินเข้าไปใกล้มันอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะพูดขึ้น
"การ์อาลอสอาจารย์เจ้าตายแล้ว ข้ากับสมาชิกสภาอีกสามคนเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมให้เจ้าในสภา และจะสนับสนุนเจ้ากลับเข้ามาเป็นมุขมนตรีอีกครั้ง
สงครามใกล้เข้ามาแล้ว เราจำเป็นต้องมีผู้แข็งแกร่ง"
"เจ้าแค่ต้องการคนออกหน้าทำแผนชั่วช้ามากกว่า เจ้าจะให้ข้าเข้าไปสู้กับพวกหัวโบราณในสภาพวกนั้น"
ร่างบนกำแพงเอ่ยอย่างรู้ทัน
"เหมือนเจ้าจะไม่ตกใจกับข่าวการตายของอาจารย์ แต่เจ้าก็พูดถูกล่ะนะ เฮอราบอสสังหารพี่น้องและลูกหลานของเราไปมากมายตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา แม้แต่คนที่ประพฤติตัวดั่งนักบวชดีงามปานนั้น พวกมันก็จับพวกเขาเผาทั้งเป็นอย่างไม่ใยดี
บอกข้าสิ อัคมาร์ พวกเราทำอะไรอยู่ตลอดเวลาที่ผ่านมา....คำตอบคือไม่ทำอะไรเลย
เรายอมจำนนต่อพวกมันมานานแล้ว แม้แต่สงครามครั้งนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นแค่ละครฉากหนึ่ง พวกเขาเอาแต่สนใจภาคกลางสนใจแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง!"
เสียงกัดฟันดังออกมาจากปากของบูซี้ มันเคียดแค้นและโกรธเกรี้ยวดั่งที่เคยเป็นมาตลอด มีแต่มันเท่านั้นที่รู้ว่ามันพบเจอกับสิ่งใดมา ถึงทำให้มันเป็นสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
"ข้าไม่แปลกใจหรอก อาจารย์ข้าแก่แล้ว เขาจะหมดอายุขัยในไม่ช้า ว่าแต่ข้าจะได้ออกไปเมื่อไหร่"
ร่างบนกำแพงที่ชื่ออัคมาร์ ไม่ได้สนใจเรื่องอาจารย์ของมันมากนัก นับแต่ที่มันถูกขังอยู่ที่นี่มันกับอาจารย์ก็ถือว่าเป็นคนอื่นไปแล้ว สิ่งที่มันสนใจคืออย่างอื่นมากกว่า นั่นคือมรดกของเขา
"เขาไม่ได้ตายเพราะหมดอายุขัย แต่ตายเพราะถูกสังหารโดยพ่อมดคนหนึ่ง"
"มันเป็นใคร อาจารย์ข้าคือครึ่งก้าวระดับตำนานไม่ควรมีพ่อมดที่สังหารเขาได้ และมรดกของเขาละ มรดกของระบบพ่อมดอยู่ที่ไหน"
มีน้ำเสียงที่ค่อนข้างแปลกใจดังออกมาจากปากของอัคมาร์ เรื่องนี้ผิดไปจากที่มันคาดเอาไว้
"พ่อมดคนนั้นยังเป็นปริศนา รู้แต่ว่ามันเรียกตัวเองว่าพ่อมดสีเงิน ท่านหญิงกรีมัวร์ถูกส่งไปสืบข่าวของมันแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะไม่คืบหน้าอะไร ส่วนมรดกของระบบพ่อมดก็เป็นท่านหญิงกรีมัวร์ที่รับซื้อมันไปจากสภา อย่างไรนี่ก็เป็นทรัพย์สินของอาณาจักรเพียงแต่การ์อาลอสเอาไปเก็บไว้และศึกษาเกี่ยวกับมันก็เท่านั้น"
อัคมาร์เงียบไปนานมันคิดไม่ออกว่าทำไมหญิงชราคนนั้นถึงอยากได้มรดกของระบบพ่อมด ทั้งที่ก่อนหน้านี้หล่อนไม่ได้สนใจมันเลยแท้ๆ ยังจะมีพ่อมดสีเงินคนนั้นอีก ดูเหมือนว่าโลกภายนอกกำลังวุ่นวาย นี่เป็นโอกาสดีจริงๆหรือที่มันจะออกไป
"คิดอะไรอยู่อัคมาร์ ถ้าเจ้าตอบตกลง ข้าและพรรคพวกจะเริ่มเคลื่อนไหวทันที"
ร่างบนกำแพงนิ่งไปสามสี่วินาทีก่อนมันจะให้คำตอบ
"อืม ข้าตกลง แต่เจ้าต้องช่วยข้าอย่างหนึ่ง เอามรดกของระบบพ่อมดมาให้ข้า ไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม"
บูซี้เหมือนคิดอยู่พักหนึ่ง มันไม่มีปัญหาแน่ถ้ามรดกนี้ยังอยู่ในมือของสภา แต่ท่านผู้หญิงชราคนนั้นรับเอามันไปแล้ว นี่จึงยากสักหน่อย แต่มันรู้ดีว่าทำไมคนตรงหน้าถึงต้องการมรดกพวกนั้นขนาดนี้
เพราะอัคมาร์เป็นทายาทของพ่อมด เป็นผู้ที่อยู่ในระบบพ่อมดและระบบวอร์ล็อคทั้งสองระบบพร้อมกัน
"ได้ ข้าจะพยายามเต็มที่"
ห้องขังกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง พัศดีชั่วช้าเดินออกมาและปิดประตูหิน มันทำทุกอย่างเหมือนตอนเปิดครั้งแรกยกนิ้วขึ้นเปลี่ยนรูปร่างและเสียบให้ล็อคไว้ตามเดิม
บูซี้กำลังจะหันหลังและเดินกลับไปตามทางที่มันเข้ามา แต่ตอนนั้นเองมันก็รู้สึกถึงพลังที่ทรงอำนาจกระเพื่อมไหวออกมจากทางเดินที่ลึกเข้าไปภายใน
คุกแห่งนี้มีความพิเศษ เพราะมันกักขังได้แม้กระทั่งระดับศักดิ์สิทธิ์บูซี้ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น และนักโทษระดับศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ใช่สิ่งที่มันจะจัดการได้ มันจึงไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับรายละเอียดของนักโทษระดับนี้
มันรู้แต่ว่าถ้าเดินตามทางเดินนี้ไปเรื่อยๆ ลึกเข้าไปในความมืดมิดที่ลึกที่สุด มันจะพบห้องขังพิเศษพวกนั้น
พัศดีอดรู้สึกขนลุกไม่ได้ แม้ว่ามันจะไม่มีขนสักเส้นก็ตาม
"น่ากลัวเกินไป น่ากลัวเกินไปแล้ว"
ทันใดนั้นมันก็กลายร่างเป็นสิ่งมีชีวิตแขนขายาวดุจแมงมุมที่มีร่างเป็นคน ปากอ้ากว้างถึงด้านหลังศรีษะและรีบจ้ำเท้าไต่ไปตามทางเดินและผนังวิ่งออกไปทันที
อะไรก็ตามที่ทำให้สิ่งมีชีวิตอัปลักษณ์ชั่วช้าอย่างบูซี้กลัวได้ มันต้องไม่ธรมดาอย่างแน่นอน
"ฝ่าบาทพวกเรามาถึงตอนเหนือของป่าต้องห้ามแล้วพะย่ะค่ะ จากตรงนี้ไปสามกิโลเมตรจะเป็นป้อมปราการร้างหลังนั้น ฝ่าบาทกอดิมดูอินได้รับสั่งให้เราระมัดระวังเป็นพิเศษ"
คนที่พูดอยู่คือธาดอกิน มันที่เป็นผู้บัญชาการใหญ่แห่งอารามอส เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่มันกำลังสนทนาด้วย กลับดูอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นพิเศษ อาจจะยิ่งกว่าสนทนากับกอดิมดูอินด้วยซ้ำ
เพราะคนที่อยู่ตรงหน้ามันคือ กอดิมธอดันอิล พระราชโอรสพระองค์แรกของกษัตริย์แห่งขุนเขาที่ ๘๘ ผู้ปกครองแห่งมิวอล์สต็อกองค์ปัจจุบัน
กอดิมธอดันอิล มีสีหน้าเคร่งเครียดมันได้ยินกิตติศัพท์ของป้อมปราการร้างนั่นมาเช่นเดียวกัน ผู้คนกว่าห้ารอยคนหายไปในบริเวณนั้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
ดังนั้นมันจึงตัดสินใจพักทัพที่นี่และรอถึงตอนเช้าค่อยออกเดินทัพต่อ ไม่เช่นนั้นถ้ามันต้องการอ้อมป้อมปราการร้างนั่นไป มันต้องเดินทัพผ่านชายแดนของรัสเซล ซึ่งอาณาจักรรัสเซลจะไม่ยินยอมอย่างแน่นอน
"คืนนี้สั่งทหารให้ระมัดระวังตลอดทั้งคืน หากมีเรื่องอะไรน่าสงสัยให้รายงานทันที ใครขัดขืนให้ดำเนินการตามกฎทัพ"
ครั้งนี้กอดิมธอดันอิลได้รับคำสั่งจากกษัตริย์แห่งขุนเขาพระบิดาของเขาให้นำทัพสามแสนนาย บุกไปยึดอิกซอร์คืนมาจากพวกออร์ค เขารับหน้าที่เป็นผู้บัญชาการทัพครั้งนี้ โดยมีธาดอกินจากอารามอสเป็นรองผู้บัญชาการ
"กระหม่อมทราบแล้ว"
ธาดอกินโค้งคำนับและเดินออกไปนอกกระโจมทันที
ไกลออกไปจากที่นี่สามกิโลเมตร มีพ่อมดแก่ๆพร้อมหญิงชราที่แต่งตัวเหมือนกำลังไปงานราตรี ยืนเคร่งเครียดอยู่สองคน
ด้านหน้าของพวกเขาคือซากปรักหักพังขนาดใหญ่ มันมีขนาดมโหฬารเท่ากับเมืองย่อมๆเมืองหนึ่ง ต้องเข้าใจว่ามันผ่านเวลามานับหมื่นปีแล้ว ยังรักษาสภาพไว้ได้ขนาดนี้ไม่รู้ว่าก่อนหน้านั้นมันมีขนาดใหญ่แค่ไหนกัน
ท่านผู้หญิงกรีมัวร์สัมผัสได้ถึงพลังงานความมืดที่เข้มข้นและมีอำนาจกดขี่เกินจะรับไหว หากเธอไม่ใช่ระดับสูงขั้นบนสุดและไม่มีออสบอร์นมาด้วย ก็ไม่มีทางเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่เด็ดขาด
ภายในใจเริ่มหวั่นไหวแปลกๆ จิตสำนึกกำลังบอกหญิงชราว่าให้ล้มเลิกแผนการนี้สะ
"คุณมั่นใจนะว่าเจ็ดส่วน ออสบอร์น เจ็ดส่วนถือว่ามากแล้ว ถ้าดูจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเรา"
หญิงชราพูดเสียงเบา หล่อนพยายามไม่ให้น้ำเสียงผิดปกติ
"ตอนนี้เหลือสาม"
พ่อมดเฒ่าสูดหายใจเข้าลึก
เหลือสาม! แล้วฉันจะอยู่ทำไม หญิงชราหมุนตัวกลับทันที
ตอนนี้พวกเขาเอารถม้าไปจอดอยู่ห่างจากที่นี่ไปไกล เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดกับเด็กๆ
ออสบอร์นรีบห้ามไว้
"รอก่อนกรีมัวร์"
"คุณจะบ้าหรือออสบอร์น สามส่วน! นั่นหมายความว่าเจ็ดส่วนตายแน่!"
หญิงชรากำลังจะบ้าตาย คนตรงหน้าเธอช่างสบายใจเหลือเกิน
"เราแค่ต้องเปลี่ยนแผนนิดหน่อย"
พ่อมดเฒ่าเดินเข้ามากระซิบกับหญิงชรา
สายลมหวีดหวิวพัดพาเอาความเย็นจากซากเมืองเก่าเข้ามาใกล้ สิ่งใดก็ตามที่อยู่ในนั้นกำลังรอพวกเขาให้เข้าไปหามัน