ตอนที่ 40 ประวัติยุคกลาง
"พวกเราจะไปป้อมน่ากลัวนั่นหรอออสบอร์น"
สิงโตตัวน้อยนอนหลับไปบนตักของโรอา อันที่จริงเด็กชายก็หลับไปแล้วแต่ตื่นขึ้นเพราะเสียงพูดคุยของคนแก่ทั้งสองคน
พ่อมดเฒ่าส่งเสียงอืมในลำคอเบาๆ เขากำลังใช้ความคิดบางอย่าง
กรีมัวร์มองไปยังสัตว์เลี้ยงของเด็กชาย ใช่ ของเด็กชายเพราะออสบอร์นยกมันให้กับโรอาไปแล้ว
"เจ้าเลี้ยงสิงโตด้วย?"
ก่อนหน้านี้หญิงชราไม่ได้ทันสังเกต เพราะยุ่งกับเรื่องต่างๆมากเกินไป
"ใช่แล้วมันไม่ใช่สิงโตธรรมดานะ ออสบอร์นบอกว่ามันพิเศษ"
เด็กชายลูบขนบนตัวมันเบาๆ เพราะกลัวทำให้มันตื่น
"มันพ่นไฟได้หรือ?"
หญิงชราสงสัย
"เปล่า"
เด็กชายตอบสั้นๆ
"มันบินได้หรือ?"
"เปล่า"
คราวนี้เสียงเด็กชายเบากว่าครั้งก่อน
"มันแปลงกายได้ใช่ไหม?"
คราวนี้เด็กชายเงียบไปเลย กรีมัวร์เลยถามออกมาอีกครั้ง
"มันทำอะไรได้บ้าง"
หญิงชราเริ่มรู้สึกว่าโดนเด็กชายหรอกเข้าแล้ว
"อันที่จริง มันกินแล้วก็นอน ข้ายังไม่เคยเห็นมันทำอะไรเลย มันอาจต้องโตขึ้นอีกหน่อย"
เด็กชายยังไม่ยอมแพ้
"งั้นมันก็เป็นสิงโตธรรมดานั่นแหละ นอนเถอะเด็กน้อย นี่ดึกมากแล้ว"
กรีมัวร์ไม่อยากหลอกเด็กชายเหมือนออสบอร์น หล่อนอยากให้เขาเลิกดื้อด้านและไปนอนสะ ภายในรถม้าของหล่อนมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน รวมถึงเตียงนอนด้วย ขาดก็แต่ห้องน้ำเท่านั้น
โรอาเหมือนจะไม่ยอมแพ้ เมื่อเขากำลังจะเอ่ยปากเถียงแทนแอสตร้า แต่กรีมัวร์ก็พูดขึ้นก่อน
"นั่นไม่ใช่ดาบธรรมดาเลย"
สายตาของหล่อนหันไปเห็นดาบสีเหล็กข้างกายเด็กชาย มันคือเดมกอร์เดีย
โรอาเห็นสีหน้าแปลกใจของหญิงชราเขาก็นึกลำพองอยู่นิดๆ นี่คือดาบล้ำค่าประจำอาณาจักรเชียวนะ อิจฉาข้าล่ะสิ
เด็กชายยื่นดาบไปตรงหน้ากรีมัวร์เพื่อจะอวดมันให้หนำใจ หญิงชรารับมันมาพินิจอย่างใกล้ชิด
"เดมกอร์เดียสินะ"
ไม่รอให้เด็กชายตอบคำถามหญิงชราก็จารนัยมันดุจเป็นสมบัติตนเอง
"มันเป็นอาวุธของกษัตริย์มนุษย์ระดับตำนาน ในอดีตมันก็ควรอยู่ในระดับตำนานเช่นกัน น่าเสียดายนักที่ตอนนี้...
จุ๊ จุ๊ ช่างฝีมือคนแคระชั้นเลิศ โลหะล้ำค่ามิธริล ในมหาทวีปหาไม่ได้อีกแล้ว รักษาให้ดี"
กรีมัวร์ส่งดาบคืนไปให้เด็กชาย สิ่งที่หญิงชราพูดมาเขาเข้าใจอยู่ไม่กี่คำ เขายังเด็กเกินไปที่จะรู้คุณค่าในสิ่งที่หล่อนวินิจฉัยออกมา
ตอนนั้นเองออสบอร์นก็เหมือนได้สติกลับมา เขากล่าวขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุย
"เราได้มันมาจากเงาดำที่อาศัยในป้อมร้างนั่น คุณคิดว่าพวกเขามีความเกี่ยวข้องกันหรือเปล่า ป้อมร้าง เงาดำ กับอาณาจักรโบราณสมัยยุคกลางเดมกอร์เดีย?"
"นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ในภาคกลางและตะวันออก เดมกอร์เดียเป็นอาณาจักรมนุษย์ที่รุ่งเรืองที่สุด พวกเขายึดครองแผ่นดินไปจนถึงเหนือสุดของป่าขาวดินแดนแห่งเอลฟ์ยุคแรก ในทะเลครอบครองไปจรดแผ่นดินแห่งความรกร้างเสื่อมทราม
เป็นเจ้าแท้จริงทั้งบนแผ่นดินและทะเลปีศาจ
แต่พวกเขาก็พ่ายให้กับเปเลดีอัส อาณาจักรเอลฟ์ที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่ถึงร้อยปี ป้อมร้างก็คือซากเมืองหลวงเก่าของเปเลดีอัส เงาดำนั่นคือกษัตริย์เอลฟ์องค์แรกและองค์เดียวของมัน"
ออสบอร์นดูตื่นตกใจกับความรู้ใหม่ที่เขาได้รับจากกรีมัวร์ ท่านผู้หญิงยังไม่หยุดอยู่แค่นี้ หล่อนยังพูดถึงเรื่องราวที่ลึกลับไปกว่านั้นอีก
"ตอนนั้นอาณาจักรวอร์ล็อคยังไม่ก่อตั้งก็จริง แต่พวกเราก็แทรกซึมทั่วทั้งทวีปนานแล้ว จากบันทึกของเรากษัตริย์เอลฟ์แห่งเปเลดีอัส ควรเป็นทาสรับใช้ลำดับแรกแห่งหอคอยดำ"
ท่านผู้หญิงเว้นจังหวะครู่หนึ่งให้ออสบอร์นได้ถามคำถาม
"ทำไม่ถึงคิดเช่นนั้น?"
"การต่อสู้หลายครั้งระหว่างเขาและผู้ทรงพลังระดับตำนานของเผ่าพันธุ์อื่น บ่งบอกว่าเขาเป็น...อมตะ
และผู้ที่เป็นอมตะมีเพียงผู้ถูกสาบแห่งหอคอยดำเท่านั้น"
หญิงชรากดเสียงลงตรงคำว่า อมตะ เป็นพิเศษ
คำถามมากมายอยู่ในใจออสบอร์น แต่เขาไม่ถามออกไปยังคงรอให้หญิงชราเล่าต่อ
"เหมือนที่ฉันได้บอกไปก่อนหน้านั้น หอคอยดำเป็นสิ่งปลูกสร้างของเทพเจ้าที่สร้างในดินแดนอื่น อาจเป็นดินแดนต้นกำเนิดด้วยซ้ำ แต่เมื่อยุคแรกของมหาทวีปเริ่มขึ้น มันก็ถูกย้ายมาที่นี่
ตอนที่มันย้ายมาก็ได้พาผู้ที่อยู่อาศัยในนั้นติดมาด้วย
ทั้งหอคอยและผู้อาศัยล้วนถูกกีดกันจากกฎเกณฑ์ของเอกภพ ทำให้ไม่รู้จักความตายหรือเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา ไม่มีคำว่าแก่เฒ่าหรือเจ็บป่วย
กษัตริย์เอลฟ์แห่งเปเลดีอัสมีคุณสมบัตินี้มันจึงถูกสันนิษฐานว่าเป็นทาสรับใช้แห่งหอคอยดำ จนกระทั่งมีคนมายืนยันเรื่องนี้ในเวลาต่อมา"
หญิงชราหยุดพูดไปเฉยๆ จนออสบอร์นอดอารมณ์เสียไม่ได้ ผู้หญิงคนนี้ช่างรู้วิธีกวนโมโหคนอื่นจริงๆ
"ใคร?"
พ่อมดเฒ่ายอมถามออกมาในที่สุด
"กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งเดมกอร์เดีย ว่ากันว่าพระองค์เป็นครึ่งก้าวระดับศักดิ์สิทธิ์ บ้างก็ว่าเข้าสู่ระดับศักดิ์สิทธิ์แล้ว เพราะนับแต่การต่อสู้ครั้งสุดท้ายกับเงาดำนั่น พระองค์ก็หายตัวไปอย่างปริศนา
เราสันนิษฐานกันว่าเขาคงถูกพลังแห่งเทพเจ้าดึงไปสู่ดินแดนต้นกำเนิดหลังจากบรรลุระดับศักดิ์สิทธิ์"
ออสอบร์นขมวดคิ้ว ถ้ากษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งเดมกอร์เดียเป็นระดับศักดิ์สิทธิ์จริงเขาก็ควรเอาชนะเงาดำนั่นได้ และทำไมเงาดำนั่นยังอยู่ อย่างน้อยแม้จะฆ่าไม่ตายก็ควรมีวิธีการที่ดีกว่านี้หน่อย ไม่ใช่ปล่อยวิญญาณร้ายตนนั้นไว้ให้เสริมสร้างพลังจนถึงตอนนี้
แล้วทำไมระดับศักดิ์สิทธิ์ต้องถูกดึงไปยังดินแดนต้นกำเนิด? นี่เป็นปริศนาอีกอย่างเขาต้องหาคำตอบในภายหลัง
หญิงชราคล้ายจะเข้าใจความสงสัยภายในความคิดของออสบอร์น หล่อนรีบอธิบายทันที
"อย่างที่บอกว่ามีคนมายืนยันข้อสันนิษฐานของเราเรื่องสถานะของกษัตริย์เอลฟ์องค์นี้ เพราะเมื่อกษัตริย์เอลฟ์เพลี่ยงพล้ำให้กับกษัตริย์มนุษย์ คนที่เปลี่ยนแปลงสถานการณ์แท้จริงก็ปรากฎตัวออกมา
เขาคือคนจากหอคอยดำที่ใช้อาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์ได้ บ้างก็ว่าคนคนนี้คือโพรคีมีซิสเอง บ้างก็ว่าเป็นทาสอีกคนแต่จะอย่างไรก็ตาม การลงมือแทรกซ้อนครั้งนี้ทำให้ผลของสงครามเปลี่ยนไป
เดมกอร์เดียล่มสลาย กษัตริย์องค์สุดท้ายไม่เคยปรากฎตัวอีกเลย"
ออสบอร์นคิดทวนมาถึงสถานการณ์ปัจจุบัน ตอนนี้เปลเลดีอัสล่มสลายแล้ว หากไม่ใช่เพราะเดมกอร์เดีย เช่นนั้นก็หมายความว่าในเวลาต่อมามีศัตรูคนอื่นปรากฎตัวขึ้นและโค่นล้มอาณาจักรเอลฟ์ยุคกลางนี้ลง
แล้วมันเป็นใคร?
"แล้วเปเลดีอัสล่มสลายลงได้อย่างไร?"
"เรื่องนั้นไม่มีบันทึกไว้ เหมือนกับว่าจู่ๆมันก็พบกับความพินาศชั่วข้ามคืน ผู้คนนับล้านหายสาบสูญไปหมด
แต่เรายืนยันได้ว่าไม่เกี่ยวข้องกับเดมกอร์เดียแน่นอน เพราะนับจากเดมกอร์เดียล่มสลาย เปเลดีอัสยังคงอยู่ต่อมาได้อีกหลายปี"
เรื่องนี้ทั้งกรีมัวร์และออสบอร์นต่างก็ไม่กระจ่างชัดทั้งคู่ พวกเขาเลยเลือกที่จะเงียบเอาไว้
"เราใกล้ถึงแล้ว"
หญิงชราชะโงกหน้ามองลงไปทางหน้าต่างของรถม้า พวกเขาอยู่เหนือป่าต้องห้ามไม่มาก หลังจากนี้เดินทางอีกครึ่งชั่วโมงก็ควรจะถึง
"รถม้านี่สะดวกมากจริงๆ มันควรเป็นสิ่งมีค่ามากในอาณาจักรวอร์ล็อค"
ออสบอร์นแอบอิจฉาหญิงชราอยู่ในใจ กลับไปคราวนี้เขาจะใช้คาถาอัญเชิญสัตว์ขี่ทันที
"ใช่ มันคือมรดกตกทอดจากอาจารย์ อาจารย์เป็นศิษย์สายหลักของบรรพชนวอร์ล็อครุ่นแรก รถม้าคันนี้ก็เป็นของวิเศษตกทอดมาตั้งแต่ยุคนั้น ถ้านับถึงฉันก็รุ่นที่สี่สิบพอดี
นอกจากนี้วิชาที่ฉันฝึกก็เป็นมรดกวิชาของวอร์ล็อครุ่นแรกเช่นเดียวกัน วอร์ล็อคทั่วไปไม่มีทางได้เรียนรู้มัน"
ในความทรงจำอันยาวนานของกรีมัวร์ พลังอำนาจที่หล่อนได้มาตอนนี้ล้วนแรกด้วยการเสี่ยงตายหลายต่อหลายครั้ง ไม่ใช่โชคลางแต่มาจากความพยายามล้วนๆ
"เรามาถึงแล้ว"
หญิงชราพูดเบาๆ ออสบอร์นมองไปตามสายตาของหล่อน ป้อมปราการร้างที่มืดทะมึนทอดตัวยาวอยู่ใต้รถม้าของพวกเขา สิ่งนี้เหมือนสัตว์ร้ายที่รอกลืนกินคนทั้งสองไม่ให้เหลือแม้แต่กระดูก รอเพียงลงไปหามันเท่านั้น
"ผมขอเวลาหน่อย"
ออสบอร์นไม่รอให้หญิงชราอนุญาต เขาก็เดินไปด้านหลังรถม้า และเปิดหน้าต่างสถานะขึ้นมาทันที
เขายังเหลือวงล้อนำโชคระดับตำนานที่ยังไม่ได้หมุน!