ตอนที่ 36 อวาเรย์ออน
อวาเทรินดีใจกับข่าวที่เอเลฟินส่งมา จนเพิกเฉยข่าวที่สำคัญในช่วงแรกของจดหมายไปหมด
อ่าวพินกวิกกำลังเกิดสถานการณ์ที่ผิดปกติ?
ช่างเถอะอย่างไรพวกเขาก็ไม่มีเขตอำนาจในทะเลมากมายเท่าคนอื่น ปล่อยให้พวกมนุษย์กังวลไปดีกว่า
ซึ่งเขาลืมไปว่าไม่มีดินแดนมนุษย์ใดทางทิศตะวันตกทราบถึงการล่มสลายของอิกซอร์ ถึงจะรู้ก็ต้องใช้เวลาอีกนานต่อจากนี้ เพื่อรอคณะเดินทางหรือพ่อค้าจากต่างแดนนำพาข่าวนี้เข้าไป
สังคมของมหาทวีปเป็นเช่นนี้ ไม่มีใครสนใจใคร นอกจากเผ่าพันธุ์ของตนเอง อย่างไรแนวความคิด วัฒนธรรมและกายภาพของพวกเขาก็แตกต่างกันเกินไป
ความสามัคคีจึงไม่มีให้เห็น
การที่อารามอสแจ้งข่าวมาที่เกลิออนเองก็ดีมากแล้ว บางทีถ้าออสบอร์นไม่ลงมือในวันนั้น ผู้สำเร็จราชการคงไม่บอกใครนอกจากมิวอล์สต็อก
แต่เพราะมีพ่อมดสีเงินอยู่ จึงทำให้เขาต้องปรับเปลี่ยนความคิด
อวาเทรินเอาจดหมายอีกฉบับขึ้นมา เขาไม่ได้คาดหวังข่าวอะไรที่สำคัญจากอาลารัน
แต่เขาคิดผิด!
ลัทธิเทพโบราณโจมตี! อาวุธระดับตำนานกระจกแห่งความจริงพังแล้ว!
ข่าวนี้ทำให้เขานิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง คล้ายไม่เชื่อสิ่งที่เขียนอยู่ในจดหมาย
เป็นไปได้อย่างไร มีอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์ปรากฎขึ้นมาอย่างกะทันหันและทำลายกระจกแห่งความจริงจนแตกละเอียด เหลือเพียงขอบทองเท่านั้นที่ยังเป็นชิ้นเป็นอัน แต่บานกระจกกลับกลายเป็นผงลอยไปกับสายลมแล้ว
นี่เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่เกินไป และเป็นการลงมือของตัวตนที่ลึกลับแต่ทรงพลัง อย่างหอคอยดำแห่งลัทธิเทพโบราณ
เขาไม่อาจตัดสินใจได้ อวาเทรินต้องไปพบท่านพ่อของเขา
กษัตริย์เอลฟ์เดินออกจากตัวพระราชวังและเข้าไปในป่าลึกด้านหลัง ภายใต้ต้นไม้สูงใหญ่หลายสิบเมตรมีอาคารสร้างจากอิฐสีขาวที่ค่อนข้างเก่าตั้งอยู่
อวาเรย์ออน ผู้ทรงพลังระดับตำนานของเกลิออนอาศัยอยู่ในนี้
มันคือห้องสมุดลับแห่งราชวงศ์คอว์ฟีเรนซ์
"ท่านพ่อ ข้ามีเรื่องต้องแจ้งท่าน"
อวาเทรินพูดด้วยเสียงที่เบาและเคารพอย่างยิ่ง เขารออยู่หน้าอาคารแห่งนั้นถึงสิบนาที จนมีเสียงตอบออกมาจากด้านใน
"เข้ามาเถอะ"
พร้อมกับเสียงที่ออ่อนหวานดังขึ้น ประตูไม้ตรงหน้าอวาเทรินก็เปิดออก
กษัตริย์เอลฟ์มองเข้าไปด้านใน มันเต็มไปด้วยหนังสือที่วางอยู่บนชั้นสูงใหญ่หลายสิบเมตร ซ้อนทับกันทอดยาวไปจนสุดสายตา
ไม่มีแสงใดนอกจากแสงของดวงอาทิตย์ที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา และเทียนไม่กี่เล่ม
ที่มุมด้านขวาเขาเห็นพระบิดาของเขานั่งอยู่ในที่ประจำของพระองค์ไม่มีสิ่งใด ที่ระดับตำนานผู้นี้จะให้ความสนใจไปมากกว่าการแสวงหาความรู้
อวาเรย์ออนไม่ใช่ผู้ทรงพลังเหนือมนุษย์ที่ฝึกฝนร่างกาย เขาเป็นเอลฟ์จอมเวทย์
"มานั่งข้างๆข้า ให้ข้าได้มองเจ้า"
เสียงดังมาจากร่างบางริมหน้าต่าง นั่นเป็นใบหน้าที่เขาคุ้นเคยมาทั้งชีวิตพระบิดาผู้อยู่ในระดับตำนาน ผู้ที่ไม่เคยแก่ลงเลยนับแต่อวาเทรินจำความได้
"ท่านพ่อ ท่านต้องช่วยข้า โพรคีมีซิสคนนั้นกำลังลงมือต่อหลานชายคนเล็กของท่าน พวกเขายังทำลายกระจกแห่งความจริงอีกด้วย"
อวาเทรินนั่งลงตรงข้ามพระบิดาของเขา ชายผู้งดงามดุจสตรี เอลฟ์ผู้ที่ไม่อาจแยกแยะเพศได้ด้วยรูปลักษณ์ภายนอก
ผมยาวสลวยสีทองยาวถึงสะโพก ตัดกับชุดสีขาวที่ทำให้เขาดูสูงส่งและบริสุทธิ์
ใบหน้าของกษัตริย์เอลฟ์ดูวิตกกังวลและเคร่งเครียด ต่างจากบิดาของเขาที่ใจเย็นกว่ามาก
"หลานข้าปลอดภัยหรือไม่?"
อวาเรย์ออนห่วงหลานชายมากกว่าอาวุธระดับตำนานชิ้นนั้น
"เขาปลอดภัยดีท่านพ่อ พวกเขาใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์เทียมที่มีรูปร่างเหมือนกริชเล่มหนึ่ง กระจกไม่อาจต้านทานได้เลย"
อวาเทรินหยิบจดหมายของอาลารันส่งให้บิดาของเขา บรรพบุรุษเอลฟ์ผู้นี้อ่านอยู่พักหนึ่ง ก็เดินไปหยิบหนังสือเล่มใหญ่มาวางไว้ตรงหน้าอวาเทริน
เขาเปิดไปที่หน้าหนึ่งและชี้รูปกริชสีดำบางเล่มในนั้นให้บุตรชายดู
"มันควรเป็นเล่มนี้ นี่คือกริชที่เคยปรากฎออกมาในยุคกลางของมหาทวีป โพรคีมีซิสใช้มันเพื่อต่อกรกับผู้ทรงพลังระดับตำนานขั้นบนสุดคนหนึ่ง ที่พยายามจะจับดวงวิญญาณของทาศรับใช้ที่หนีออกมาจากหอคอยดำ
มันคือกริชกลืนวิญญาณ ในอดีตมันจัดอยู่ในอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูง สร้างโดยนอสกา พระผู้เป็นเจ้าแห่งความดำมืดและว่างเปล่าไร้สิ้นสุด
ภายหลังสงครามทวยเทพครั้งที่หนึ่ง กริชเล่มนี้ก็เสียหายจนเป็นได้เพียงระดับศักดิ์สิทธิ์เทียม"
"ท่านพ่อ ท่านต้องช่วยข้า พวกเขาทำเช่นนี้เท่ากับประกาศสงครามกับเรา"
อวาเทรินพยายามกล่อมให้บิดาของเขาลงมือ นี่เป็นศึกที่ต้องใช้กำลังของระดับตำนานเท่านั้น
"นับแต่พวกเขามาที่นี่ บรรพชนเอลฟ์ไม่รู้กี่รุ่นยังทำอะไรพวกเขาไม่ได้
หอคอยแห่งนั้นพิเศษเกินไป ถ้าพวกเขายังเฝ้าอยู่ที่นั่นไม่ไปไหน ข้าเองก็จนใจเช่นกัน"
อวาเรย์ออนถอนหายใจ ไม่ใช่ว่าเขานิ่งดูดาย แต่ถ้าพวกมันไม่เผยตัวออกมา การให้เขาบุกเข้าไปในหอคอยก็เท่ากับว่าไปหาที่ตายเท่านั้น
"แล้วเราต้องปล่อยให้บุตรชายข้าต้องตายอย่างนั้นรึ ท่านพ่อท่านใจดำเกินไปแล้ว!"
อวาเทรินเผลอขึ้นเสียงขึ้นเล็กน้อย
"ใจเย็นก่อนบุตรข้า ตามที่ข้าเข้าใจ พวกเขาเมื่อลงมือพลาดในครั้งแรก ย่อมไม่ลงมือเป็นครั้งที่สองอีก สาวกเทพโบราณเชื่อมั่นในโชคชะตามาก"
เมื่อได้ยินดังนั้นบุตรชายที่หน้าแก่กว่าบิดาไปหลายปีก็ดูผ่อนคลายลง ที่แท้บิดาเขาก็รู้อยู่แล้วว่าหลานชายจะปลอดภัย
"แต่เจ้าอย่าได้น้อยใจไป เมื่อพวกเขากล้าลงมือต่อราชวงศ์ของเรา ข้าก็จะให้บทเรียนพวกเขาเสียหน่อย"
"ท่านพ่อจะทำสิ่งใด"
"ช่างเถิด หลังจากกลับไปแล้ว ให้เจ้าเอาเศษซากที่เหลือของกระจกมาให้ข้าด้วย ข้าจะดูว่าพอจะซ่อมแซมมันได้หรือไม่"
ใบหน้าที่เหี่ยวย่นของอวาเทรินผงกศรีษะช้าๆ ก่อนจะพูดสิ่งที่เขาเตรียมเอาไว้แต่แรก
"ท่านจำเรื่องเหมืองอิกซอร์ที่ข้าบอกได้ไหมท่านพ่อ พวกออร์คน่าจะยึดมันไปแล้วจริงๆ ข้ากับธีรันเดียจะร่วมมือกันบุกยึดมันมา ถ้าเรายึดเหมืองนี้จากพวกออร์คได้ คนแคระก็ไม่มีเหตุผลมาไล่เราออกไป
มันจะถือว่าเป็นสิทธิอันชอบธรรมของเรา"
"เจ้าอยากทำสิ่งใดก็ตามใจ ตราบใดที่ระดับตำนานในมิวอล์สต็อกไม่ลงมือ ข้าก็ไม่อาจเข้าไปยุ่งได้ เจ้าเข้าใจกฎข้อนี้ดี"
อวาเทรินรู้ถึงกฎที่ไม่ได้บันทึกข้อนี้ของเหล่าผู้ทรงพลังระดับตำนานดี การจะให้พวกเขาลงมือนั้นไม่ใช่เรื่องๆง่าย
ในศึกของระดับต่ำกว่า ผู้ทรงพลังระดับตำนานไม่อาจสอดมือเข้ายุ่ง
"ขอรับท่านพ่อ งานหมั้นจะจัดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ครั้งนี้ ท่านฟีออเรียส จากเวอดานดิก็จะมาด้วยตนเอง
เมื่อถึงตอนนั้นข้าหวังว่าเราจะเตรียมพร้อม"
อวาเทรินไม่ค่อยมีความทรงจำที่ดีเกี่ยวกับฟีออเรียสเท่าไหร่
"อืม ข้าจะจัดการฟีออเรียสเอง"
ฟีออเรียส เป็นคนที่คุ้นเคยสำหรับอวาเรย์ออนดี
เพราะเขาคือผู้ทรงพลังระดับตำนานหนึ่งในห้าคนของเวอดานดิ และเป็นคนที่รับมือด้วยยากที่สุดในเรื่องของความเจ้าเล่ห์
การเมืองในเผ่าพันธุ์เอลฟ์นั้นเข้มข้น ไม่ต่างไปจากเผ่าพันธุ์มนุษย์
นี่เป็นหมากตาหนึ่งที่เกลิออนจำเป็นต้องเดินอย่างระมัดระวัง
กษัตริย์เอลฟ์กล่าวลาบิดาผู้งดงามของเขา ก่อนจะเดินหายออกไปทางหน้าประตู้ที่เข้ามา
เสียงประตูปิดตามหลังเบาๆ อวาเรย์ออนมองตามแผ่นหลังบุตรชายจนลับตา ก่อนจะลุกขึ้นและเดินไปทางระเบียงทิศตะวันออก สายตามองไปยังทิศของป่าต้องห้ามอันเป็นที่ตั้งของป้อมปราการร้าง
เขาทำอะไรคนในหอคอยดำไม่ได้
แต่ไม่ใช่กับสาวกที่อยู่นอกหอคอยดำ และบังเอิญว่าเขารู้จักอยู่คนหนึ่งพอดี
ยามดึกสะงัดกลางป่าอันมืดมิด ไม่มีแม้แต่แสงของดวงจันทร์ที่ส่องสว่างในคืนนี้
เสียงสัตว์หรือแมลงไม่เคยปรากฎในบริเวณรอบป้อมปราการร้างมาหลายปีแล้ว ไม่มีใครจำได้ว่ามันเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อไหร่ แต่รู้อีกทีบริเวณนี้ก็กลายเป็นพื้นที่ที่ไร้สิ่งมีชิวตไปโดยปริยาย
ในทิศทางของทุ่งกว้างรกร้าง ปรากฎร่างในชุดสีขาวส่องประกายดุจดวงอาทิตย์สีทองล่องลอยมากลางอากาศ
จะพูดให้ถูกก็คือ เดินมากลางอากาศที่ว่างเปล่า
ไม่มีใครบอกได้ว่าร่างนี้เป็นบุรุษหรือสตรี แต่หากบอกว่าเป็นสตรีก็ไม่ขัดข้องเลยสักนิด
เมื่อร่างนั้นก้าวผ่านชั้นม่านพลังสีใสเข้ามา ภูตผีที่เคยสร้างความรำคาญใจให้ฟิลิอัส กลับไม่กล้าเผยตัวแม้แต่ตนเดียว
แสงทั่วร่างของบุคคลนี้ไม่ใช่กลปาหี่!
"ไสหัวออกมาให้ข้า!"
เสียงทรงพลังก้องกังวานไปทั่วป้อมร้าง ทุกที่ที่เสียงนี้ดังไปถึงจะนำพาพลังสีทองส่องประกายตามไป ดุจเป็นแรงกระเพื้อมกลางสระน้ำเมื่อมีวัตุตกกระทบ
หากแต่แรงกระเพื้อมนี้เป็นสีทองที่ทำลายได้แม้แต่ความชั่วร้ายที่เลวทรามที่สุด
ร่างนี้คืออวาเรย์ออน
"ออกไป!"
ทันใดนั้นร่างควันสีดำมืดทะมึนก็ปรากฎขึ้นเบื้องหน้าของอวาเรย์ออน เส้นแสงสีครามดุจอัสนีบาตส่งเสียงดังอยู่เบื้องหลัง พวกมันเต้นไหวไปมาทั่วร่างของเขา คล้ายประภามณฑลของผู้ทรงฤทธานุภาพ ก่อนจะพุ่งตรงมายังเอลฟ์ผู้อาบย้อมไปด้วยแสงสีทองตรงหน้า
กอสมูว์โจมตีทันที!
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
อัสนีบาตสีครามวิ่งผ่านอากาศดำมืดมุ่งมายังผู้บุกรุก
อวาเรย์ออนมิได้นิ่งเฉยเขากางฝ่ามือขึ้นกลางอากาศ ละอองสีทองเหมือนผงทองคำละเอียดปลิวออกมาจากร่าง รวมตัวกันจนเป็นม่านสีทองตรงหน้า
เมื่อสายฟ้าสามเส้นเดินทางมาถึงมันก็ปะทะกับม่านจนเกิดเสียงระเบิดดังสนั่น
แต่การโจมตีทั้งสามไม่อาจรอดเร้นมาสู่อวาเรย์ออนได้แม้แต่เส้นเดียว
"ภูตผีเช่นเจ้าไม่ควรปรากฎขึ้นในมหาทวีป"
อวาเรย์ออนรวบรวมแสงสีทองขึ้นในมือของเขา มันเกิดเป็นแส้ยาวสิบห้าเมตร เขาฟาดมันไปทางกอสมูว์ทันที
กษัตริย์แห่งผีร้องในใจว่าแย่แล้ว เอลฟ์ตรงหน้ามันควรเป็นระดับตำนาน
กอสมูว์พึ่งตื่นจากการหลับไหลเนื่องจากการบาดเจ็บในอดีต ตอนนี้พลังของมันกลับคืนมาถึงขั้นของผู้ทรงพลังระดับสูงเท่านั้น
ที่จริงมันพึ่งฟื้นตัว มันไม่อยากทำเช่นนี้เลย
ภายใต้ร่างควันสีดำของมันปรากฎเป็นวงแหวนเวทมนตร์กระจายออกมาเบื้องล่าง ขยายจนครอบคุลมไปทัั่วป้อมร้าง
ซากอาคารทั้งหลังสั่นสะเทือน
ป้อมนี้ไม่ใช่ป้อมปราการธรรมดาไม่เช่นนั้นมันคงไม่อยู่มาถึงปัจจุบัน
ความมืดมิดท่วมทับเข้ามาหาอวาเรย์ออนอย่างฉับพรัน แส้สีทองในมือของเขาที่กำลังฟาดออกไปหยุดชะงักทันที