Ch11: คนอื่น 1
เอ๊ะ...
----แหมะ----
----แหมะ----
การมองเห็นของเขาเบลอและสั่น
ดูเหมือนมีบางสิ่งเหนียวๆ ไหลออกมาจากดวงตาของเขา
หลี่เฉิงอี้ยกมือขึ้นเช็ดของเหลวหนืดที่ไหลไปที่แก้มข้างหนึ่งของเขา
สีแดง
มีสีแดงสดหนาปรากฏขึ้นที่หลังมือ
'ฉันเลือดออกเหรอ'
เขาก้มตัวลง รู้สึกแสบร้อนที่หน้าอกอย่างรุนแรง
'ฉันไม่ยักรู้เลยว่าร่างกายของฉันได้รับบาดเจ็บตรงไหน'
แต่เขารอดชีวิตมาได้
รอดชีวิต
หลี่เฉิงอี้ยืนตัวตรง หายใจหอบและมองดูใบหน้ามนุษย์ยักษ์ที่หายไปต่อหน้าเขาโดยสิ้นเชิง ซึ่งหลังจากที่มันถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ มันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยเหมือนภาพลวงตา
มันเหมือนกับว่ามันไม่เคยอยู่ตรงนั้นมาตั้งแต่แรก
เขาก้มศีรษะลงและพยายามค้นหาเศษที่เหลือบนพื้น แต่สิ่งที่แปลกก็คือไม่เพียงแต่ไม่มีสิ่งตกค้างเท่านั้น แม้แต่ควันสีดำที่ปล่อยออกมาจากไอ้ใบหน้านั้นก็สลายไปหมดแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะฝุ่นเพดานตกลงมาจากการสั่นสะเทือนของเสียง เขาคงจะสงสัยว่าสิ่งที่เขาเพิ่งพบนั้นเป็นภาพลวงตาทั้งหมด
'ตอนนี้มันก็ควรจะปลอดภัยแล้วสินะ'
'ไม่! ฉันยังไม่ได้ออกไปจากที่นี่ด้วย!'
หลี่เฉิงอี้หลับตาลงเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดที่แสบร้อนในดวงตาของเขา และยืนอยู่ที่นั่นเพื่อพักผ่อนสักพัก แต่หลังจากพักผ่อนเพียงไม่กี่วินาที เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ชุดเกราะเกล็ดดอกไม้ที่เขาเพิ่งใส่ก็ค่อยๆ เบาลง
'เกิดอะไรขึ้น!?' เขารีบลืมตาแล้วมองดูเกราะที่ห่อหุ้มมือค่อยๆ จางลง
แน่นอนว่าเกล็ดของดอกวิสทีเรียก็ค่อยๆ โปร่งใสมากขึ้น
และตอนนั้นคือตอนที่เขาค้นพบว่าเสื้อผ้าที่เกล็ดดอกวิสทีเรียนั้นถูกปกคลุมไปด้วยรอยแตกเล็กๆ จำนวนมาก เห็นได้ชัดว่าในการเผชิญหน้ากับใบหน้ากับใบหน้ายักษ์นั่นไม่มีเครื่องนุ่งห่มแบบไหนที่จะไม่ได้รับวามเสียหาย
เขาได้รับการซัพพอร์ทถึงแค่ตอนนี้เท่านั้น และจากนั้นก็มีเสียงตอบกลับออกมา
----เคร้งงงง!!!-----
ในที่สุดหลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเกล็ดดอกไม้ทั้งหมดก็แผ่ออกจากตัวของเขา กลีบดอกวิสทีเรียจำนวนนับไม่ถ้วนแตกกระจายและจางหายไป
หลี่เฉิงอี้คุกเข่าลง เมื่อเขาสวมชุดได้สวมชุดเกราะดอกไม้เขารู้สึกเต็มไปด้วยพลังและผ่อนคลาย แต่ในขณะนี้ชุดเกราะเกล็ดดอกไม้หายไปแล้ว และความเหนื่อยล้าในร่างกายของเขาดูเหมือนจะหลั่งไหลออกมาในทันที
ความรู้สึกว่างเปล่าจากการไม่มีสิ่งใดป้องกันเข้ามาในจิตใจของเขา
ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ที่เขาเพิ่งเผชิญกับอันตราย และตอนนี้ดันสูญเสียการปกป้องของชุดเกราะเกล็ดดอกไม้ไปซะแล้ว ทำให้อารมณ์ของเขาที่เพิ่งผ่อนคลายกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง
'นี่ไม่มีวิธีการในการเยื้อเวลาเสื่อมสลายชั่วคราวเลยใช่มั้ย?'
เขาไม่ตื่นตระหนกแล้วแต่วิเคราะห์อย่างใจเย็น เพราะตอนนี้อันตรายได้คลี่คลายลงชั่วคราวแล้ว ความต้องการชุดรบที่แข็งแกร่งจึงไม่ได้มากนัก และสิ่งสำคัญยิ่งกว่าคือแผ่นดอกวิสทีเรียที่หลังมือซึ่งสื่อถึงข้อความ: ขนเกล็ดดอกไม้เสียหายและจำเป็นต้องซ่อมแซม และดอกวิสทีเรียใหม่จะต้องถูกดูดซึมอีกครั้ง
หลังจากพักผ่อนบนพื้นได้สักพักก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย เขาก็ลุกขึ้นยืนและเริ่มเก็บถุงที่ปลิวไปกับพื้น บิสกิตแท่งบางส่วนในถุงกระจัดกระจายและม้วนไปทุกที่ ในขณะที่เขาก้มลงเพื่อจัดรวบรวมและระเบียบของในถุงใหม่ เขาก็ให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวรอบตัวอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะอีประตูซ่อมบำรุงที่ไอ้หน้ายักษ์นั่นมันหลุดออกมาก่อนหน้านี้แหละคือจุดเดียวที่เขาโฟกัสเป็นระยะๆ
ไม่นานทุกอย่างก็จัดเก็บและใส่กลับเข้าไปในถุง เขาหายใจด้วยความโล่งอกและรู้สึกว่าเลือดที่แห้งบนแก้มของเขาแข็งตัวขึ้น ดังนั้นเขาจึงเอื้อมมือออกมาและค่อยๆ ลอกมันออก
เขาขนของไปมองไปรอบๆ และรีบพบที่พิงกำแพงและนั่งลงที่จุดนั้น แต่ขณะที่เอนหลังพิงกำแพง ดวงตาของเขาก็กวาดไปทั้งด้านหน้าและซ้าย การระเบิดตอนนี้ไม่ใช่แค่ทางกายภาพเท่านั้นแต่ยังรวมถึงอารมณ์ด้วย นอกจากนี้ก่อนที่เขาจะถูกดึงเข้ามาที่นี่เขาก็วิ่งอย่างดุเดือดและใช้พลังงานไปมาก
ในเวลานี้ หลี่เฉิงอี้รู้สึกเหนื่อยล้าและง่วงนอน
แต่เขาไม่กล้านอนในที่แปลกๆ นี้ เขาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาหลับไป คือแบบนึกออกมั้ยถ้าผลอหลับแล้วไอ้หน้ายักษ์นั้นก็โผล่ออกมาแล้วฆ่ากูตายห่าในคราวเดียวโดยไม่ให้โอกาสสั่งเสีย
นั่นคงเป็นความอยุติธรรมที่แท้จริง
ภายใต้แสงสีขาวเย็นๆ ที่ฐานของผนังสีเทา เขานั่งยองๆ บนพื้นสีดำและสวมหมวกคลุมชุดกีฬาไว้บนศีรษะเพื่อให้แน่ใจว่าอุณหภูมิร่างกายของเขาจะไม่ลดลงจนเกินไป
สายลมเย็นพัดผ่านสม่ำเสมอ เย็น และเงียบสงบ
เขาหยิบช็อกโกแลตแท่งออกมาจากกระเป๋า ฉีกห่อแล้วยัดเข้าปาก
ที่นี้เป็นต้องก้มดู---บรรจุภัณฑ์พลาสติกสีเข้มด้านนอกพิมพ์ด้วยตัวอักษรยุ่งๆ และโลโก้แบรนด์ต่างๆ มันช่วยไม่ได้จริงๆ เขากัดแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะรสชาติแย่มาก หวานเกินไปและหวานเกินไปและมีถั่วน้อยเกินไปอีก (ซื้อครั้งเดียวเลย)
เขาหยุดหลังจากกินไปหนึ่งชิ้น เปิดขวดน้ำบริสุทธิ์แล้วดื่มตามไปด้วย
กลิ่นจางๆ ของฝุ่นผนังซีเมนต์ยังคงแทรกซึมเข้าไปในรูจมูกของเขา แล้วลมแม่งปั่นฝุ่นขึ้นจนจั๊กจี้รูจมูก
ตอนนี้เมื่อเขาสงบลงแล้ว หลี่เฉิงอี้มีเวลานึกถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
'ถึงฉันจะไม่แน่ใจว่าไอ้หน้าดำๆ นั้นมีพลังแค่ไหนก็ตาม แต่ตอนนี้ตราบใดที่ชุดเกล็ดดอกไม้สามารถช่วยชีวิตได้ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว! น่าเสียดายที่ชุดเกล็ดดอกไม้ที่ว่าตอนนี้กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและจะสามารถซ่อมแซมได้ก็ต่อเมื่อมีปัญญาออกไปข้างนอกและพบดอกวิสทีเรียเท่านั้น'
หลี่เฉิงอี้ยกมือขึ้น มองดูแหวนที่หลังมืออย่างระมัดระวัง
แม้ว่าเสื้อผ้าเกล็ดดอกไม้จะแตกออกเป็นชิ้นๆ แต่เขาก็สามารถรู้สึกได้ว่าเขายังคงสามารถใช้ความสามารถด้านภาษาดอกไม้ที่แนบมากับมันได้เพราะมือขวาของเขาจะถูกปกคลุมด้วยฟิล์มที่มองไม่เห็นและมองไม่เห็นแต่พร้อมเปิดใช้งานทันทีที่เขาคิดถึงมัน ถ้ายึดตามข้อมูลโดยรวมๆ ที่เขาได้รับมา--ในภาษาดอกไม้ เมื่อใดที่มือนี่สัมผัสสิ่งมีชีวิตอื่น มันก็จะทำให้เกิดภาวะมึนเมาชั่วคราวกับโดนป้ายยามา อย่างไรก็ตาม เนื่องจากไม่มีการเพิ่มชุดเกราะดอกไม้มาด้วย ความสามารถทางภาษาของดอกไม้จึงมีประสิทธิผลเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น
'มือแห่งความมึนเมา'
"ถ้าฉันสามารถทำให้ไอ้ใบหน้าเฮงซวยนั่นมุ่งความสนใจไปที่สถานที่อื่นได้สักพัก แม้ว่าฉันจะไม่มีเสื้อคลุมเกล็ดดอกไม้ ฉันก็ยังสามารถปลอดภัยได้เมื่อต้องเผชิญกับได้อยู่หรอกมั้งตราบใดที่ฉันยังหนีเร็วพอ"
แต่ปัญหาคือความสามารถด้านภาษาดอกไม้นี้ใช้ได้เฉพาะในระยะใกล้เท่านั้น ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง และสุดท้ายก็ใช้ไม่ได้กับไอ้หน้าคนนั่นเล้ยมีแต่ต้องรอจนกว่าจะมีโอกาสลองใหม่อีกครั้ง'
เดี๋ยวนะ... ลองใหม่เหรอ
โห เขาหวังจริงๆ ว่าเขาจะไม่มีโอกาสได้ลอง
ทำไมเหรอ ก็เพราะว่าการลองมันในระยะใกล้ก็เท่ากับเสี่ยงชีวิต แล้วเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าไอ้หน้าของมนุษย์ยักษ์นั่นเป็นสิ่งมีชีวิตหรือเปล่า เกิดมันไร้ประโยชน์ขึ้นมาจะทำยังไง สู้นั่งอยู่ที่นี่แล้วพักผ่อนอีกสักพักดีกว่าไหม หลี่เฉิงอี้ก็รับประทานอาหารเพื่อเสริมสร้างและฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรงขึ้น นอกจากนี้เขายังเช็ดเหงื่อบนศีรษะด้วยผ้าแห้งที่เขาเตรียมไว้เพื่อหลีกเลี่ยงการเจ็บป่วย
'ถึงเวลาหาทางออกแล้ว ฉันอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้เหรอ ถ้าขืนยังอยู่เฉยๆ คงไม่มีวันออกไป'
เขาเช็ดผมและหวีผมทั้งหมดกลับเพื่อป้องกันไม่ให้ผมร่วงลงมาบดบังการมองเห็นของเขา หยิบกระเป๋าขึ้นมาแล้วมองไปรอบๆ ด้านซ้ายคือที่ที่เขาเข้ามา และที่ที่เขาเพิ่งต่อสู้ด้วยใบหน้าของชายคนนั้น
สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจเพิ่มก็คือรอยเท้าและการสั่นสะเทือนของเสียงบางส่วนที่ถูกทิ้งไว้บนพื้นได้หายไปอย่างเงียบๆ อย่างไร้ร่องรอย
ทางด้านซ้ายของพื้นที่เปิดโล่งที่ใบหน้าหายไป มีพื้นที่เพียงสิบกว่าเมตร และท้ายที่สุดก็มีกำแพงสีขาวซึ่งเป็นทางตัน หลี่เฉิงอี้หันตาไปทางขวา มองไปทางโรงรถที่ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด
'ดูเหมือนว่าเราจะไปทางนี้ได้เท่านั้น ก็มันมีทางเลือกเดียวเท่านั้นนี่'
เขาขยับข้อเท้า หยิบของแล้วก้าวไปทางขวา ขณะเดิน มีดผลไม้คมๆ ถืออยู่ในมือขวาของเขาอย่างเงียบๆ มีเพียงเสียงฝีเท้าของเขาที่ดังก้องในโรงรถที่ว่างเปล่า หลี่เฉิงอี้เดินผ่านช่องจอดรถที่มีเส้นสีขาวเรียงกัน ความรู้สึกมั่นคงใต้เท้า และความมั่นใจว่าเขาเพิ่งฆ่าใบหน้าอันนั้น ทำให้เขารู้สึกตื่นตระหนกน้อยลงมาก
แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความสามารถทางภาษาดอกไม้ที่เขาสามารถใช้ได้ตลอดเวลา: มือแห่งความมึนเมา
ความสามารถนี้เมื่อใช้อย่างเหมาะสมสามารถมีบทบาทในการช่วยชีวิตได้อย่างมาก
ขณะที่เดินไปตามโรงรถ เขาจ้องมองประตูห้องซ่อมบำรุงทุกอันที่ผ่านไปทั้งสองด้านอย่างระวังเป็นครั้งคราว
ประตูเล็กๆ บานแล้วประตูเล่าผ่านไป และในที่สุด หลังจากผ่านประตูเล็กบานที่ห้า ก็มีมุมหนึ่งปรากฏขึ้นต่อหน้าหลี่เฉิงอี้ มุมเป็นทางลาดโค้งขวาที่ทอดยาวขึ้นไปสู่ระดับที่สูงขึ้นดูเหมือนว่าจะเป็นทางเข้าสำหรับที่รถจะวิ่งเข้าออก ตรงกลางของพื้นสีดำ ลูกศรสีขาวขนาดใหญ่ถูกวาดขึ้น ลูกศรชี้ไปยังตำแหน่งที่หลี่เฉิงอี้ยืนอยู่ ที่ฐานผนังทั้งสองด้านมีแถบคำเตือนสีสดใสสลับสีเหลืองและสีดำ ซึ่งมีลักษณะหยาบและสะดุดตา
หลี่เฉิงอี้ยืนอยู่กลางถนนและมองไปข้างหน้า
'อยากขึ้นไปไหม? เพราะเท่าที่เห็นนี่เป็นโรงจอดรถใต้ดินดังนั้นเมื่อขึ้นไปก็จะไปอยู่เหนือพื้นดิน บนพื้นของที่นี่จะเป็นยังไงนะ?'
ความคิดแวบขึ้นมาในใจของเขา ผสมผสานระหว่างความอยากรู้อยากเห็นและความกังวลใจอย่างยิ่ง เขากำด้ามมีดไว้ในมือแน่น หายใจเข้าลึกๆ ยกเท้าขึ้นแล้วก้าวไปข้างหน้า พื้นตรงหัวมุมด้านหน้าสะท้อนเงาของชั้นแสงสีขาวบนทางโค้ง แสงและแสงก็สร้างเงาเช่นกัน แสงและเงาประเภทนี้จะปรากฏขึ้นเสมอเมื่อแสงแห่งความมืดและแสงสว่างผสมผสานกัน นี่เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดจากความสว่างของแสงที่แตกต่าง
ก้าวเบาๆ
หลี่เฉิงอี้ค่อยๆ เดินไปทางมุม ทีละก้าว เข้ามาใกล้และเลี้ยว
ในไม่ช้า เขาก็หรี่ตาลงและเข้าไปในชั้นบนของโรงรถใต้ดิน
ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ยืนอยู่ตรงมุมโค้ง เขามองไปข้างหน้า สภาพเช่นเดียวกับที่เขาทำเมื่อเข้ามาครั้งแรก สรุปว่านี่ยังคงเป็นโรงรถ (ติดลูปเหรอ?) หลอดไฟสีเย็นสองหลอดเหมือนป้ายยาวสองเส้น แบ่งพื้นที่โรงรถออกเป็นสองส่วนและขยายออกไปจนสุดระยะการมองเห็น ทิวทัศน์ตรงหน้าก็เหมือนกับไอ้ชั้นก่อนทุกประการ ตำแหน่งของหลอดไฟ ตำแหน่งของเสาหิน ตำแหน่งและขนาดของประตูห้องซ่อมบำรุงล้วนเหมือนกันทุกอย่าง
หลี่เฉิงอี้รู้สึกถึงบางสิ่งที่ไม่ดีในใจ
เขายกเท้าขึ้นแล้วเดินต่อไปตามพื้น คราวนี้ เขาเพิ่มความเร็ว หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็มาถึงมุมอีกครั้ง และมีความลาดชันขึ้นอีก ตรงกลางของพื้นสีดำ ลูกศรสีขาวที่เหมือนกันจะมองเห็นได้ชัดเจน ยังมีการเคลือบคำเตือนสีเหลืองและสีดำทั้งสองด้านเพื่อป้องกันไม่ให้รถเข้าออกไม่สามารถมองเห็นตำแหน่งและระยะห่างของผนังได้ชัดเจน หลี่เฉิงอี้ไม่หยุดและขึ้นเนินต่อไป
เมื่อข้ามมุม เขาก็มองเห็นฉากเดิมอีกครั้ง
เป็นโรงจอดรถทรงตรงและยาวอีกแห่งหนึ่งโดยมีความลาดชันขึ้นในตอนท้าย
'ที่นี่มัน!' เขาเริ่มวิ่งเหยาะๆ และคราวนี้ เขาใช้เวลาเพียงห้านาทีเท่านั้นที่จะถึงมุม จากนั้นก็ขึ้นและออกจากมุม
และ
ไอ้สัส! เหมือนเดิม!
สิ่งที่เขาเห็นตรงหน้ายังคงเป็นโรงรถเดิม!
หลี่เฉิงอี้หายใจไม่ออกและยืนอยู่ที่นั่นพร้อมกับกระเป๋าในมือ โดยไม่ขยับอีกเลย
เมื่อยืนอยู่ตรงมุมโค้ง ใบหน้าของเขาซีดเซียว และเขารู้สึกว่าความแข็งแกร่งทางร่างกายของเขาอ่อนล้าลงเล็กน้อยแล้ว
หยิบน้ำบริสุทธิ์ออกมา คลายเกลียวหมวก และจิบ น้ำเย็นทำให้อาการเจ็บคอของเขาชื้นขึ้น และทำให้เขาสงบลงเล็กน้อย
'ดูเหมือนว่ามันไม่ง่ายเลยจริงๆ ที่จะหลบหนีจากมุมอับ ไม่ใช่แค่ใบหน้าของสัตว์ประหลาดเท่านั้นที่เป็นอันตราย แต่แม่งยังหาทางออกได้ยากอีกด้วย'
เมื่อได้รับการยืนยันกรายๆ แล้วว่าไม่มีทางที่จะจากไป หลี่เฉิงอี้พบมุมหนึ่ง นั่งขัดสมาธิ และวางกระเป๋าใบใหญ่ไว้ข้างๆ ที่กำบังลมในปัจจุบันสามารถลดการสูญเสียอุณหภูมิของร่างกายได้ นอกจากนี้ ตำแหน่งที่เขาพบอยู่ตรงข้ามประตูห้องซ่อมบำรุงเล็กๆ ด้านหน้า ดังนั้นเขาจึงสามารถจับตาดูตำแหน่งที่เป็นอันตรายนี้ได้ตลอดเวลา
หลังจากพักผ่อน ณ จุดนั้นสักพัก เขาเริ่มรู้สึกแน่นท้องส่วนล่างและรู้สึกอยากปัสสาวะ
ทันใดนั้น เขามองไปรอบๆ เล็งไปที่เสาและเดินข้ามไป
มีเสาหินกลมสีเทาขาวสองต้นตั้งตระหง่านเป็นระยะๆ ในโรงรถ ซึ่งดูเหมือนจะใช้เป็นวัตถุรับน้ำหนัก เขาเดินไปที่แสงไฟของเสา หลี่เฉิงอี้ก็ปลดซิปกางเกงแล้วส่งเสียงฟู่ เมื่อเขารู้สึกสบายใจ ก็มีเสียงเล็กน้อยดังมาจากประตูซ่อมบำรุงเล็กๆ ด้านข้าง
-----แกร่กกกกกก-----
หลี่เฉิงอี้จ้องมองไปที่ประตูเล็กที่ใกล้ที่สุดแม้ในขณะที่เขาฉี่อยู่ก็ตาม เมื่อได้ยินเสียงดังในเวลานี้ เขาก็ตื่นเต้นไปหมด และดึงกางเกงขึ้น โดยไม่ลังเล เขารีบวิ่งไปข้างหน้าในไม่กี่ก้าว