ตอนที่ 32 ข้ารับใช้แห่งหอคอยดำ
กระจกแห่งความจริงเรืองแสงสีทองขึ้นเหนือท้องฟ้า ทำให้ความมืดเริ่มปั่นป่วน ฟ้าแลบแปลบปลาบและส่งเสียงกระหึ่มไปทั่วบริเวณ มันพาตัวเองลอยขึ้นประจันหน้ากับกริชเล่มนั้น
ทุกเส้นทางที่ผ่านจะทิ้งร่องรอยของแสงสีทองไปตลอดทาง จนเกิดเป็นภาพที่งดงามยามค่ำคืน
จนเมื่ออาวุธทรงพลังสองชิ้นพุ่งเข้าประชิดกัน พลังงานที่เกิดจากการปะทะก็ระเบิดขึ้น แสงสีทอง ขาวและดำกระจายเป็นแฉกกระแทกพื้นดินข้างใต้ให้ยุบลงไป
ตู้ม!
ใต้เทือกเขาอิกซอร์เกิดการสั่่นสะเทือนจนเศษหินเศษดินกระจัดกระจายและกลิ้งตกลงจากสันเขา กองทหารเอลฟ์รีบพากันหาที่หลบ เกิดเป็นภาพที่ชุลมุนน่าสังเวช
กริชสีดำเหมือนปลดปล่อยเอาพลังของมันไปจำนวนมาก กลิ่นอายความตายที่เคยอัดแน่นจนฟุ้งออกมา บัดนี้อ่อนแรงลงหลายส่วน แต่มันอย่างไรก็ไม่ใช่สิ่งของสามัญยังคงลอยกลับไปหานักเวทย์ลึกลับได้อีกครั้ง
ชายใบหน้าน่ากลัวผู้นั้นรับเอากริชมาถือไว้ และยังคงเดินก้าวเข้ามาอย่างไม่หวั่นเกรง
ออสบอร์นมองไปยังพื้นที่ที่เกิดการปะทะ เขาเห็นกระจกขอบทองบานนั้นสั่นไปมาอยู่สามอึดใจก็ปรากฎรอยแตกร้าวขึ้น
เพล้ง!
กระจกแห่งความจริงอาวุธระดับตำนานแตกละเอียดภายใต้สายตาของผู้คนนับร้อย
แสงสีทองของพลังงานบางอย่างลอยวนอยู่เหนือกระจกที่กลายเป็นเศษซากบานนั้นก่อนจะระเหยหายไปกลางอากาศ
อุปกรณ์ระดับตำนานพังทลาย!
"เป็นไปไม่ได้!"
อาลารันตะโกนออกมาเสียงดัง
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและไม่เชื่อ ต่อให้กริชเล่มนั้นเป็นระดับตำนานขั้นสูงก็ไม่อาจทำลายกระจกแห่งความจริงที่เป็นระดับตำนานขั้นกลางได้
ต้องเข้าใจว่ากระจกบานนี้หล่อหลอมจากบรรพชนระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นบนสุดหาใช่ของระดับตำนานธรรมดา
มันถึงกับได้ชื่อว่าเป็นสมบัติประจำราชวงศ์
แต่กลับต้องสิ้นชื่อในวันนี้เพราะกริชที่ไร้ที่มาเล่มหนึ่ง
และกริชเล่มนั้นจะเป็นระดับตำนานไปไม่ได้!
"มันคืออาวุธศักดิ์สิทธิ์เทียม!"
อาลารันเอ่ยออกมาเสียงสั่น เขาก้าวถอยหลังหลายก้าวจนสะดุดก้อนหินล้มลงกับพื้น
อาวุธศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดในมหาทวีปถูกนำกลับไปสู่ดินแดนต้นกำเนิดเมื่อนานมาแล้ว พวกมันหายไปพร้อมๆกับการจากไปของเหล่าผู้ทรงพลังระดับศักดิ์สิทธิ์
ในมหาทวีปที่กว้างใหญ่ไม่เคยปรากฎอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์อีกเลย แต่ยังมีอาวุธบางชิ้นที่ทรงพลานุภาพรองลงมาแม้ไม่อาจเทียบระดับศักดิ์สิทธิ์ได้แต่ก็ถือว่าอยู่ยงคงกระพันในมหาทวีป
นั่นคืออาวุธศักดิ์สิทธิ์เทียม ซึ่งในมหาทวีปเป็นสิ่งสูงค่าประเมินไม่ได้ ทอดตาไปทั่วทุกพื้นที่ มีจำนวนนับได้ด้วยมือข้างเดียว และมันไม่เคยรู้จักอาวุธชิ้นไหนที่เหมือนกับกริชตรงหน้ามาก่อน
"เจ้าเป็นใคร?"
อาลารันมองไปยังนักเวทย์อัปลักษณ์ที่เดินเข้ามา จนถึงตอนนี้ผู้มาก็ยังไม่ยอมเปิดเผยชื่อ นักธนูเอลฟ์ยังจำภาพของร่างเงาลึกลับบนบัลลังก์ที่ลงมือกวัดแกว่งกริชเล่มนั้นเมื่อครู่ได้แม่นยำ
พวกเขาต้องมีความเชื่อมโยงกันแน่นอน
นักเวทย์ไม่ยอมตอบ มันไม่มีความประสงค์จะแจ้งชื่อของมันให้ใครรู้ ชื่อฟิลิอัสเป็นเจ้านายของมันตั้งให้และมีแต่เจ้านายของมันเท่านั้นที่เรียกได้
"ปล่อยพวกเขาไป เจ้าต้องการชีวิตข้าก็มาเอาไปเถอะ"
อวาเซอาก้าวขึ้นมายืนอยู่ด้านหลังของอาลารัน ในมือของเขายังมีของชิ้นหนึ่งอยู่ นี่จึงเป็นสิ่งรักษาชีวิตแท้จริงที่มารดาของเขามอบให้ มันคือจี้อันเล็กสีเงินที่งดงามปานดวงดาว แต่เขาไม่เคยห้อยมันไว้เพราะมันเป็นของประดับสำหรับสตรี
"นี่คือประสงค์ของเทพโบราณทั้งเจ็ด เพื่อสมดุลของเอกภพ อย่าได้โทษข้าเลย"
ฟิลิอัสเงื้อกริชไปด้านหน้า เป้าหมายคือร่างของเด็กชายเอลฟ์
"พอแค่นั้นแหละ"
ไม่ทันสิ้นเสียงวงแหวนดวงดาวสีเงินก็ลอยมาจากทิศทางหนึ่ง มันกำบังร่างของเด็กชายเอาไว้จากกริชเล่มนั้น กริชที่เต็มไปด้วยพลังแห่งความตายไม่อาจขยับไปเบื้องหน้าได้แม้แต่นิ้วเดียว
"เจ้าเป็นใคร?!"
ฟิลิอัสก้าวถอยหลังพร้อมกับถือกริชกลับมาไว้ข้างตัว
"เจ้าเป็นแค่ขั้นครึ่งก้าวระดับตำนานเท่านั้น ลำพังแค่ใช้อาวุธระดับตำนานก็แย่แล้ว ยิ่งเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์เทียมยิ่งแล้วใหญ่ ไหนจะกลิ่นอายความตายเข้มข้นนั่นอีก เจ้าสู้ต่อไม่ได้แล้ว จงไปเถอะ"
ออสบอร์นก้าวออกมาจากพุ่มไม้ด้านข้าง เขาอยู่ในชุดสีเงินเรืองแสงไม่ต่างกับดวงดาวที่มีชีวิต
"แสงสีเงิน? เจ้าเกี่ยวข้องอะไรกับทวิพฤกษาแห่งเทลเพริออน?"
ฟิลิอัสมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันทีที่เห็นออสบอร์น ในความทรงจำอันยาวนานของเขาผู้ที่เกี่ยวข้องกับทวิพฤกษาหาใช่บุคคลธรรมดาไม่
"เจ้ามีสิทธิ์จะรู้ด้วยรึ ไปแจ้งนายของเจ้า เมื่อข้าเลือกจะลงปกป้องใครต่อให้เทพหน้าไหนก็ไม่อาจสังหารเขาได้"
พ่อมดเฒ่าแกล้งทำเป็นลึกลับ ถ้าเขาบอกว่ามันเป็นผลจากชุดเซ็ทพ่อมดที่ได้มาจากระบบใครจะเชื่อ และคนที่ลงมือสังหารเด็กคนหนึ่งกลางกองทัพจำนวนสองร้อยกว่าไม่อาจเป็นคนไร้ที่มาที่ไปได้ ต้องมีใครอยู่เบื้องหลังเขาแน่นอน
"ข้าได้รับคำสั่งมาแล้ว หากยังไม่พ่ายแพ้ก็ไม่อาจกลับไปได้ แม้ข้าจะใกล้หมดพลังแต่อาวุธข้ายังมีอยู่ ใช้พวกมันมาตัดสินเถอะ"
ฟิลิอัสเป็นคนเคารพกฎเกณฑ์ มันจึงไม่อาจตัดสินใจโดยเอาความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้องได้
พ่อมดเฒ่ามองไปยังวงแหวนดวงดาวเบื้องหน้า เขามีความมั่นใจอยู่ค่อนข้างมาก
จากความเข้าใจของเขาพลังของกริชควรอ่อนลงมากแล้ว มันที่ถูกนักเวทย์ลึกลับตรงหน้าใช้พลังเวทย์มหาศาลบังคับอัญเชิญเงาบนบัลลังก์นั่นออกมา ไม่ได้อยู่ในสภาพที่พร้อมจะสู้มากนัก
"ตกลง"
พ่อมดเฒ่าก้าวไปเบื้องหน้าโบกมือเรียกวงแหวนดวงดาวมาข้างกายของตน และเลือกเส้นทางหนึ่งที่โล่งกว้างเดินออกไป
"การลงมือครั้งนี้ อาจทำให้เกิดพลังที่ควบคุมไม่ได้บางส่วน เราขยับกันออกไปไกลหน่อยเถอะ"
ออสบอร์นไม่รอให้นักเวทย์ลึกลับตกลงก็เดินนำหน้าเขาไปแล้ว
ฟิลิอัสหันมามองกลุ่มเอลฟ์ตรงหน้า มันไม่ได้กลัวคนเหล่านี้หนีเลย ต่อให้หนีไปสุดล้าฟ้าเขียวมันก็จะตามล่าจนเจอ
ทั้งสองเดินออกมาไกลนับกิโลเมตร ระยะทางเหมือนยาว แต่ที่จริงเดินไม่ถึงสิบนาที
"คนละบท ไม่มากกว่านี้"
ฟิลิอัสแจกแจงกติกาออกมา เพราะมันไม่เหลือพลังเวทย์ให้ร่ายคาถาเกินสามบท มันยังต้องเหลือพลังเวทย์ไว้ส่วนหนึ่งเพื่อจัดการกับเด็กชายเอลฟ์
ออสบอร์นไม้รั้งรออยู่อีกเขาเปิดใช้งานคาถาความตายจากฟากฟ้าทันที
ฉับพรันแสงสีแดงก็ลุกโชนขึ้นกลางท้องนภาอันมืดมิด อาบย้อมภูเขาและป่าทั้งผืนจนกลายเป็นภาพที่แปลกประหลาด
โรอาที่อยู่ในป่าต้องห้ามมองเห็นคาถาที่เขาคุ้นเคยบทนั้นอีกครั้ง ในใจก็นึกถอนหายใจไว้อาลัยให้กับศัตรูของพ่อมดเฒ่าล่วงหน้า
คาถานี้มาล้วนเสร็จทุกราย!
"ระดับตำนาน ท่านคือใคร?!"
ฟิลิอัสมีสีหน้าตื่นตระหนกที่ปิดบังไม่อยู่ มันดวงซวยมาเจอระดับตำนานเช่นนี้ได้อย่างไร มันควรเป็นลอบสังหารง่ายๆไม่ใช่หรอ
บัดซบ!
ฟิลิอัสรีบรวบรวมพลังเวทย์ทั้งหมดในร่างใส่ลงในกริชสีดำ ครู่เดียวพลังแห่งความตายเข้มข้นก็พวยพุ่งออกมาอีกครั้ง
ออสบอร์นที่เฝ้ามองอยู่นึกดีใจอยู่ลึกๆ โชคดีที่เขาไม่ประมาทใช้คาถาไม้ตายออกมาทันที ไม่เช่นนั้นหากดูจากพลังเวทย์ที่เหลืออยู่ของชายอัปลักษณ์ผู้นี้เขาคงต้านทานเอาไว้ไม่ได้
เงาของกริชขยายใหญ่ขึ้นจนทอดยาวไปตามเทือกเขา ปลายกริชชี้ขึ้นฟ้า เป้าหมายของมันคืออุกกาบาตสีแดงเพลิงลูกนั้น
"ไป!"
ฟิลิอัสเขวี้ยงกริชสีดำขึ้นไปเหนือศรีษะ จะเป็นตายก็ขึ้นอยู่กับการออกมีดครั้งนี้
เสียงแหวกอากาศดังสนั่นท้องฟ้า กรีชสีดำปล่อยพลังแห่งความตายออกมาเป็นร่างจำแลงของมันที่ใหญ่มโหฬารปานขุนเขา ร่างแท้จริงของกริชประทับอยู่ที่คมยอดปลายสุดเสียดอากาศจนเกิดลมปะทะเป็นรูปแอ่งกะทะหลายสิบเมตร
อุกาบาตลูกใหญ่ขนาดเท่าใดไม่อาจทราบได้ ทั้งอณูพื้นที่ของมันเป็นเปลวไฟลุกโชนสว่างฟ้า แม้แต่พวกอวาเซอาที่อยู่ไกลไปหลายกิโลเมตรก็ยังสัมผัสได้ถึงความร้อนระอุเต้นตุบๆบนผิวทั่วร่าง
ช่างเป็นศึกที่ยิ่งใหญ่ในรอบร้อยปี
อาลารันเฝ้ามองฉากนี้ด้วยดวงตาลุกวาว มันไม่เสียชาติเกิดแล้ว
ตู้ม!
แรงปะทะเกิดเป็นพลังระเบิดของอากาศกลางท้องฟ้า เศษอุกกาบาตตกกระจายไปทั่วรัศมีหลายกิโลเมตร ควันเผาไหม้ขยายใหญ่ครอบคลุมยอดของภูเขาลูกหนึ่งเอาไว้จนมิด
เพียงไม่ถึงอึดใจวัตถุรุปร่างเล็กกะทัดรัดก็พุุ่งตกลงมายังพื้นดิน มันคือกริชเล่มนั้น!
เคร้ง!
เสียงกริชหล่นลงสัมผัสกับพื้นหินเบื้องล่างจนเกิดรอยฝังลึก กริชตกหินแตก
"ให้ถือว่าเสมอกันดีไหม"
ออสบอร์นถามบุคคลตรงหน้า ในใจก็เกิดความกังวลขึ้นมา เขาไม่มีคาถาระดับตำนานแล้ว!
การต่อสู้นี้ไม่อาจระบุชัดเจนได้ ต่อให้กริชเล่มนั้นจะหมดสภาพแล้วแต่อุกาบาตของเขาแตกละเอียดเช่นกัน
"ไม่หรอก"
ฟิลิอัสหันร่างมาทางออสบอร์น แสงจันทร์สว่างทำมให้เห็นว่าตรงท้องน้อยของเขาบาดเจ็บ มันเป็นเศษอุกาบาตที่แม้จะถูกทำลายแล้วก็ยังไม่ยอมแพ้ ปล่อยเศษเสี้ยวหนึ่งเข้ามาทำร้ายเป้าหมายได้สำเร็จ
"ข้าคือทาสแห่งหอคอยดำ เจ้าชื่ออะไรพ่อมด"
ฟิลิอัสไม่มีเจตนาจะสู้อีก เขาทำตามกฎเสมอ
"ออสบอร์น พ่อมดสีเงิน"
เขาเลือกจะกระจายชื่อเสียงของพ่อมดสีเงินออกไป
"ดี ข้าจะจำชื่อท่านไว้"
ทาสแห่งหอคอยดำกำลังจะหันหลังเดินจากไป แต่พ่อมดเฒ่าก็ถามขึ้นก่อน
"เจ้าโกรธข้ารึไม่"
ออสบอร์นแอบเปิดใช้คาถาแห่งสัจจะภายในหมวก ไม่รู้ว่าผู้ทรงพลังระดับสูงจะถูกคาถานี้มองทะลุหรือไม่ แต่ก็อยากลองดูก่อน
"ไม่เลย ทุกสิ่งถูกลิขิตเอาไว้แล้ว"
ฟิลิอัสพูดเบาๆ
"เช่นนั้นก็ไปเถอะ"
ฟิลิอัสรีบเดินจากไปทันที ไม่ถึงสามก้าวเขาก็กลืนหายเข้าไปในความมืด
ออสบอร์นคิดว่ามันควรเป็นเวทมนตร์ประเภทหนึ่ง เพียงแต่ไม่รู้ว่าบุคคลนี้คือใครเพราะเขาไม่ได้ใช้พลังเวทย์ในระบบวอร์ล็อคหรือพ่อมด อาจเป็นผลมาจากพลังสายเลือดประเภทอื่น
จากที่คาถาแห่งสัจจะแสดงออกมาคนคนนี้ควรพูดความจริง หากว่าเขาไม่ได้บิดเบือนมันเป็นอย่างอื่น
พ่อมดเฒ่ารีบกดหน้าต่างสถานะขึ้นมาทันที ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาตัดสินใจจะลงมือเพียงเสี้ยววินาที ระบบก็แจกภารกิจเข้ามาอย่างกะทันหัน
[ติ้ง!...