ตอนที่ 28 คุณทำให้ผมคิดถึงใครคนหนึ่ง
หญิงชราหัวเราะออกมาเบาๆ นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี
"ไม่ต้องรีบ สงครามควรเริ่มขึ้นหลังจากนี้อีกอย่างน้อยสามปี เมื่อถึงตอนนั้นฉันจะแจ้งให้คุณทราบ"
"ตกลง แต่ว่าทำไมคุณไม่ช่วยพวกเขาเองล่ะ"
ออสบอร์นถามสิ่งที่สงสัยในใจออกมา
"แล้วใครบอกว่าฉันจะไม่ช่วย ฉันต้องช่วยพวกเขาแน่นอน และจะต้องตายอย่างแน่นอนเช่นกัน พวกตาเฒ่าในหอคอยเหล่านั้นไม่มีทางปล่อยฉันไป
ดังนั้นถึงต้องมีคุณ คนที่จะพาพวกเขาออกมาและเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ แม้ไม่มีฉันแล้วก็ตาม"
ดวงหน้าของกรีมัวร์เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม แม้ในใจตอนนี้จะรู้จุดจบของเรื่องราวทั้งหมดแล้วหล่อนก็ยังเลือกที่จะทำมัน
ออสบอร์นรู้สึกทำอะไรไม่ถูกไปครู่หนึ่ง
"ทำไมต้องเป็นผม?"
พ่อมดเฒ่าไม่เคยรู้จักนางมาก่อน ครอบครัวคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของหล่อน การเลือกให้เขาทำสิ่งสำคัญเช่นนี้จึงไม่สมเหตุสมผล
"ทำไมต้องเป็นคุณน่ะหรือ? ก็เพราะว่าคุณพิเศษ ไม่รู้ว่าคุณรู้ถึงความแตกต่างของโชคชะตากับการกำหนดชะตาหรือไม่ การที่เรามาพบกันวันนี้เป็นโชคชะตา แต่การที่ฉันเลือกเชื่อใจคุณก็คือการกำหนดชะตา
ทั้งสองอย่างเหมือนแตกต่าง แต่แท้จริงเป็นสิ่งเดียวกัน
ฉันเดินทางไปทั่วมหาทวีปไม่ใช่เพื่อเป็นโอษฐ์ให้กับวอร์ล็อคแต่เพื่อตามหาคนที่จะมาช่วยฉันและครอบครัวได้
หลายสิบปีผ่านมาและผ่านไปจากสาวกลายเป็นชรา จนเวลาเส้นตายจวนเจียนจะมาถึง คุณก็ปรากฎตัวพร้อมกับพลังแปลกประหลาดที่ไม่มีทางจะมาปรากฎในยุคสมัยนี้ ขณะเดียวกันฉันก็ได้รับหน้าที่มาตรวจสอบเรื่องนี้พอดี
ตอนนั้นเองฉันก็รู้ได้ว่าต้องเป็นคุณ"
กรีมัวร์มองไปยังชายชราตรงหน้า ดวงตาของเธอเหมือนคนที่ได้เห็นความหวังอีกครั้ง หลังจากที่ใช้ชีวิตภายใต้ความหวาดกลัวมานานหลายปี
"ฉันขอถามคุณกลับได้ไหม ว่าทำไมคุณถึงช่วยฉัน ทั้งที่ตอนแรกแข็งกร้าวขนาดนั้น"
หญิงชรารินชาเติมให้ออสบอร์นจนเต็ม และตั้งใจฟังคำตอบของคนตรงหน้า
สายลมพัดผ่านหอบเอากลิ่นหอมของชาโชยไปทั่วบริเวณ ความรัก ความหวัง เศร้าและโหยหา คือรสชาติของชีวิตที่ผ่านเข้ามาหลายช่วงวัยเป็นสิ่งที่คนมีจิตใจดีงามเท่านั้นจะรู้สึก
เพราะคนชั่วไม่อาจรักใครเป็น ไม่อาจมองเห็นความหวังตรงหน้า ไม่อาจเศร้าเมื่อต้องจากลา และไม่อาจโหยหาเมื่อต้องคิดถึง
คนที่ยังรักษาความรู้สึกเหล่านี้ไว้ได้คือคนที่ถือว่าเป็นมนุษย์อันสมบูรณ์
"คุณทำให้ผมคิดถึงใครคนหนึ่ง"
ออสบอร์นมองออกไปด้านนอก ในทิศทางนั้นมีแต่ผืนป่ากว้างใหญ่และแสงอาทิตย์ที่ส่องลอดใต้กิ่งไม้ลงมา พ่อมดเฒ่าเหมือนไม่ได้มองภาพตรงหน้าดั่งที่มันเป็น แต่กลับมองเข้าไปในอดีตที่ผ่านมาของตน
"ผมก็เหมือนสามีของคุณ สนใจคนอื่นมากเกินไปห่วงความรู้สึกของคนอื่นมากเกินไป เวลาที่ผมใช้หมดไปกับการสนใจความรู้สึกของคนแปลกหน้าที่ผมแทบไม่รู้จัก หมดไปกับการเสพความรู้สึกของการกลายเป็นบุคคลสำคัญที่ไม่มีอยู่จริง
ในยุคหนึ่งผมคิดว่าผมเก่งและยิ่งใหญ่ แต่แท้จริงแล้วผมไม่ได้เป็นอะไรเลยนอกจากผู้ล้มเหลว
ผมลืมไปว่าคนที่ผมต้องใส่ใจจริงๆแล้วคือคนใกล้ตัวที่ผมละเลยมาทั้งชีวิต
แต่กว่าผมจะรู้ก็สายไปแล้ว บางทีสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ลึกๆก็คงเป็นความรู้สึกที่พยายามชดเชยให้กับพวกเธอ"
หญิงชรารู้ว่าคนตรงหน้าของนางกำลังบอกเล่าถึงความโศกเศร้าที่ซ่อนอยู่ในจิตใจออกมา บางครั้งเพื่อนแท้ก็ไม่ได้เกิดจากระยะเวลาที่ยาวนานแต่เกิดจากการเข้าใจซึ่งกันและกันเพียงไม่กี่วินาที
"คุณเป็นสามีที่ดีนะ อย่างน้อยก็ในตอนนี้"
"ขอบคุณ ผมจะพยายามทำมันให้ดีที่สุด หวังว่าเมื่อถึงตอนนั้นพวกคุณจะได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง"
พ่อมดเฒ่ายิ้มให้กับหญิงชราเบื้องหน้า
ถ้าในอดีตมีคนบอกเขาว่า อนาคตเขาจะมานั่งดื่มชากับวอร์ล็อคและปรับทุกข์ให้กันและกันฟัง เขาคงบอกคนๆนั้นไปว่าเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด
แต่ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่ดูเป็นไปไม่ได้กลับเกิดขึ้นในวันนี้
"นี่เป็นความจริงหรือ พี่ชายข้าถูกประหารได้อย่างไร!?"
อามัวร์ ก็อน ไวเคานต์แห่งคาเรน และผู้บัญชาการทหารประจำป้อมวอร์บัสแห่งอาณาจักรรัสเซล จ้องมองคนตรงหน้าอย่างตกตะลึง หากนี่เป็นการล้อเล่นก็ออกจะเกินเลยไปหน่อยกระมัง
เมฟิสเสนาธิการประจำตัวของอามัวร์ กลับมีสีหน้าเคร่งเครียดและพูดประโยคที่ทำให้อามัวร์แทบทรุดออกมา
"นี่เป็นความจริงท่านลอร์ด พวกเขาถูกประหารชีวิตด้วยการตัดคอที่ลานประจำเมือง มีผู้คนเป็นพยานหลายหมื่นคน ทั้งตระกูลไม่รอดแม้แต่คนเดียว"
อามัวร์มีใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือด ความโศกเศร้าโถมทับเข้ามาในจิตใจ ปราการอันแข็งแกร่งพังทลายในพริบตา
แต่เมื่อคิดให้ดีจากที่เมฟิสบอกเขา การประหารควรเริ่มเมื่อสองสามเดือนก่อน แต่ระยะทางจากรัสเซลมาวอร์บัสกลับต้องใช้เวลาถึงห้าเดือนเป็นอย่างน้อย
ทำไมข่าวถึงเดินทางมาเร็วจัง?
"เมฟิส ข่าวนี้เชื่อถือได้รึเปล่า มันไม่ควรมาถึงที่นี่ภายในเวลาสามเดือน"
"อันที่จริงแล้วท่านลอร์ด..."
เมฟิสค่อยๆก้าวเดินเข้ามาใกล้กับอามัวร์และยื่นใบหน้าไปที่ใบหูของเขา เสนาธิการผู้นี้ไม่ได้พูดอะไรสักคำเดียวแต่กลับทำให้อามัวร์มึนงงเหมือนถูกสะกด
ดวงตาที่มีแววของสติปัญญาเริ่มมัวหมองลง ความคิดอันเป็นเหตุเป็นผลเริ่มเลือนหาย
"เจ้าพวกนี้กล้าสังหารพี่ชายข้า ข้าจะทำให้พวกมันต้องชดใช้"
บนใบหน้าของไวเคานต์แห่งคาเรนไม่มีอารมณ์ใดๆนอกจากความโกรธเกรี้ยว
"นอกจากนี้ท่านลอร์ด พวกสภาไม่ได้จ้องเล่นงานพี่ชายท่านคนเดียว พวกมันยังพยายามเชื่อมโยงพี่ชายของท่านกับตัวท่านด้วย ข้าคาดว่าผู้แทนจากอาณาจักรคงถือหนังสือปลดท่านมาที่วอร์บัสเร็วๆนี้"
เมฟิสยังคงกล่อมผู้บัญชาการต่อไป
"ถ้ามันกล้ามาข้าจะฆ่ามันสะ"
"ใช่ท่านลอร์ดเราไม่อาจอ่อนข้อให้พวกมันได้ ข้าแนะนำให้เราเดินทัพกลับรัสเซลเพื่อขอคำอธิบายเรื่องนี้"
ดวงตาของเมฟิสเป็นประกาย ในขณะที่อามัวร์ยังคงหลงอยู่ในถ้อยคำของเสนาธิการ
"ออกคำสั่งลงไป เราจะถอยทัพกลับรัสเซลภายในสามวัน!"
"ขอรับท่านลอร์ด"
เสนาธิการเมฟิสโค้งคำนับอามัวร์ตรงหน้าและหันหลังเดินจากไป ทิ้งให้ผู้บัญชาการหนุ่มยืนนิ่งงันอยู่ภายในห้องคนเดียว
"ข้าหามันเจอแล้วฟิลิอัส"
เสียงแหบชราดังมาจากร่างในชุดคลุมสีดำที่มืดมน
มันนั่งอยู่ใต้บัลลังก์ที่แปลกประหลาดและน่ากลัว พนักพิงมีหนามแหลมสีดำโผล่พ้นออกมา ที่ท้าวแขนทั้งสองฝั่งสร้างจากกะโหลกศรีษะของมนุษย์
หากพิจารณาให้ดีกะโหลกดังกล่าวเป็นของสิ่งมีชีวิตที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ในจุดสูงสุดของระดับตำนาน
"ขอรับนายท่าน นิมิตที่ท่านเห็นนั้นเกี่ยวกับอะไรขอรับ"
ข้ารับใช้ในชุมเสื้อคลุมนั่งคุกเข่าอยู่ริมบัลลังก์ของมัน ใบหน้าที่น่าสยดสยองถูกซ่อนเอาไว้ใต้ฮู้ดสีทึมเทามืดมิด
ร่างชราบนบัลลังก์ก้มหน้าอ่านหนังสือบนตักอย่างเคร่งเครียด ดวงตาสีแดงส่องประกายดุจดวงตาของสัตว์กระหายเลือด
"ข้าไม่รู้ ฟิลิอัส มันสบสนและอาจคลาดเคลื่อน"
เสียงของร่างนั้นอ่อนล้าและขาดห้วงไม่เป็นจังหวะ เหมือนกับการเปล่งคำพูดสักคำต้องเค้นพลังออกมามหาศาล
ข้ารับใช้ข้างบัลลังก์มีสีหน้างุนงงน
"คำทำนายนี้ขาดความแม่นยำเกินไปและไม่มีทางเป็นไปได้ บางทีข้าอาจเห็นนิมิตผิดพลาด"
"แต่นายท่านไม่เคยผิดพลาด"
ชายข้างบัลลังก์ท้วงขึ้น เจ้านายของเขาคือผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชีวิตอยู่มาตั้งแต่ยุคแรกของมหาทวีป เป็นข้ารับใช้ของเทพเจ้าโบราณทั้งเจ็ดองค์ ไม่มีทางที่เขาจะเห็นนิมิตผิดพลาดเด็ดขาด
"แต่สิ่งที่ข้าแปลออกมาได้นั้น มันน่าหวาดเกรงเกินไป"
"นายท่านข้าไม่ลังเลที่จะทำสิ่งใดเพื่อให้นายท่านสบายใจ"
ข้ารับใช้จูบลงไปที่ชายเสื้อคลุมของร่างชราบนบัลลังก์ ดวงตาของมั่นเปี่ยมไปด้วยแรงศรัทธามหาศาล
"นิมิตของข้าบอกว่าเหล่าเทพจะล้มตายจนสิ้น แดนต้นกำเนิดจะล่มสลายและผู้ทรงพลังนอกเอกภพจะเดินย่ำไปทั่วมหาทวีป"
"นอกเอกภพ? หรือหมายถึงเทพนอกรีตโอ..."
"อย่าเอ่ยชื่อนั้น!"
เสียงทรงอำนาจดังขึ้นจากชายชราอย่างกะทันหัน ไม่เหมือนคำพูดประโคยก่อนหน้าที่อ่อนแรงไร้พลัง ประดุจว่าเป็นเสียงที่มีที่มาต่างกันโดยสิ้นเชิง
ข้ารับใช้ตัวสั่นงันงกก้มศรีษะลงอย่างรู้สึกผิด
"จากคำทำนายของข้า ผู้ทรงพลังปรากฎขึ้นแล้วมันกำลังสะสมพลังทีละน้อยเพื่อทำอะไรบางอย่าง ข้าไม่รู้ว่ามันเป็นใครหรืออยู่ที่ไหน รู้แต่ว่ามันกำลังหุ้มแผ่นหนังอันงดงาม ปกปิดกายเนื้อแดงฉานดุจสัตว์นรกเอาไว้
เจ้าต้องไปทางทิศตะวันตก ตามหาเด็กชายเอลฟ์อายุไม่เกินหนึ่งร้อยปี ผู้เป็นทายาทของกษัตริย์ยุคโบราณและสืบสายเลือดของเอลฟ์ศักดิ์สิทธิแห่งสิบแปดตระกูลใหญ่ จากนั้นสังหารเขาสะ"
ร่างบนบัลลังก์ยื่นกริชสีดำไปเบื้องหน้าข้ารับใช้ กริชเล่มนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความตาย เหมือนว่ามันเก็บดวงวิญญาณของผู้คนนับล้านไว้ภายใน
"เป็นเกียรติที่ได้รับใช้นายทานอีกครั้ง"
บุรุษรับใช้จูบที่ผ้าคลุมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะละลายหายไปกับความมืด
"หวังว่าว่าข้าจะทำนายผิด"
ร่างชราหันศรีษะไปทางทิศตะวันตกภายในดวงตาปรากฎภาพของโลหิตสีแดงกำลังอาบย้อมไปทั่วท้องฟ้าของทวีปกลาง ไม่รู้ว่าต้นกำเนิดของสิ่งนั้นมาจากไหน
บนหอคอยสูงที่โผล่พ้นก้อนเมฆออกมา คนในมหาทวีปเรียกมันว่าหอคอยดำ สิ่งก่อสร้างในยุคแรกแห่งเดียวที่หลงเหลือมาถึงปัจจุบัน
โพรคีมีซิส เจ้าแห่งพิธีการและคำทำนาย ผู้รับใช้เทพโบราณทั้งเจ็ด หลับตาลงอีกครั้งมันใช้พลังไปมากเกินไปและไม่อาจทำสิ่งใดได้อีก ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็จำต้องปล่อยไปตามโชคชะตา