Ch4: โลก 2
ดูเหมือนมีข่าวหลายชุดติดที่เด้งขึ้นตามการเปิดลิงก์แผนที่โลกของหลี่เฉิงอี้
ในขณะที่ข้อมูลข่าวที่เด้งขึ้นอย่างบ้าคลั่งเหล่านี้ปรากฏขึ้น ภาพรวมของข้อมูลมหภาคจำนวนมากเกี่ยวกับโลกทั้งโลกก็เริ่มหลั่งไหลออกมาจากใจของเขาอย่างบ้าคลั่ง
'อืม' เขาวางโทรศัพท์ลงแล้วปิดหน้าผากเบา ๆ มีอาการปวดแปล๊บ ๆ ออกมาจากด้านในหน้าผากของเขา ข้อมูลจำนวนมหาศาลและความทรงจำที่เกี่ยวข้องหลั่งไหลออกมาราวกับกระแสน้ำและรวมเข้ากับจิตใจของเขาในเวลานี้
ด้วยข้อมูลที่หลั่งไหลเข้ามานี้ ในที่สุดเขาก็มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับสถานการณ์ของเจ้าของร่างคนก่อนของเขา นี่คือยุคพิเศษที่ทั้งสองขั้วแข่งขันกันเพื่อชิงอำนาจและจวนจะเกิดได้ทุกอย่างไม่ว่าสันติภาพหรือสงคราม อาณาจักรยี่และไป่ซิง ทั้งสองขั้วในการต่อสู้เพื่ออำนาจเป็นสองประเทศที่ยิ่งใหญ่ ติเย่ได้รับอิทธิพลจากอาณาจักรขนาดใหญ่ที่เรียกว่าอาณาจักรยี่ ทั่วทั้งโลกและดวงจันทร์ไม่มีประเทศใดสามารถแข่งขันกับอาณาจักรยี่ได้
สถานที่ที่เขาอาศัยอยู่ในเวลานี้คือเมืองซุยหยางในรัฐยี่
รัฐยี่เป็นประเทศที่ค่อนข้างคล้ายกับจีน ความคล้ายคลึงกันอยู่ที่วัฒนธรรม ความคิด และชีวิต แต่ก็มีรายละเอียดที่แตกต่างกันมากมาย
สำหรับไวท์สตาร์นั้นนั้นเขาไม่รู้เกี่ยวกับโลกก่อนๆ มากนัก ยังไงซะ มันก็เป็นอาณาจักรที่แท้จริงบนดาวดวงอื่น เขารู้เพียงว่าเทคโนโลยีของไวท์สตาร์นั้นล้ำหน้ากว่าเทคโนโลยีของโลกและดวงจันทร์ และตอนนี้ก็ได้เปรียบในการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจระหว่างสองขั้ว
เจ้าของร่างคนก่อนนั้นก็เป็นเพียงสมาชิกธรรมดาของนักศึกษาวิทยาลัยหลายล้านคนในรัฐยี่ ถ้าเขาไม่มาที่นี่ ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจ้าของร่างคนก่อนก็คงลดเป้าหมายลงต่ำและเข้าทำงานในที่ที่มีรายได้น้อยลงและสถานะทางสังคมต่ำ ทำไงได้ก็ในเมื่อหางานดีๆ ไม่ได้ครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นถึงค่อยขยับขยาย--มองหาโอกาส เพิ่มรายได้ แต่งงานและมีลูก รับการศึกษาและการฝึกอบรม และกังวลเกี่ยวกับอนาคตของลูกๆ และอื่นๆ จนกว่าชีวิตเรียบง่ายและแสนธรรมดาจะสิ้นสุด
ตอนนี้ แม้ว่าเขาจะมีความทรงจำในชีวิตก่อนหน้านี้แล้ว แต่หลายๆ อย่างก็ไม่สามารถใช้ได้กับสภาพแวดล้อมอื่น หลี่เฉิงอี้ค่อนข้างสับสนเกี่ยวกับอนาคตว่าจะเป็นยังไงต่อไป เขาสามารถย้อนกลับไปได้หรือไม่ และเขามีแผนอะไรในอนาคต เขายังอยู่ในสภาพที่แปลกราวกับว่าเขาถูกบังคับให้เข้าสู่สภาพแวดล้อมที่กลมกลืนกัน
ยกเว้นสิ่งเหล่านี้ที่ประทับอยู่ในใจของหลี่เฉิงอี้--ในโลกนี้เขารู้สึกอยู่เสมอว่ามีหลายสถานที่ที่ค่อนข้างจะแปลกๆ เขาไม่สามารถบอกได้ว่ามันอยู่ที่ไหน แต่มันเป็นความรู้สึกแปลก ๆ เมื่อเทียบกับชาติก่อนของเขา
หลังจากนั่งตรวจสอบข้อมูลต่างๆ สักพัก เขาก็ดูเวลา ใกล้ได้เวลาออกไปที่นั่นแล้ว
เวลาที่เขานัดหมายกับอาจารย์เฉินชานนั้นคือครึ่งชั่วโมงจากนี้ซึ่งถือว่าเหมาะสมแล้วเมื่อรวมเวลาในการนั่งรถด้วย
---ดิ๊งด่อง---
ทันใดนั้นก็มีข้อความเข้ามา
หลี่เฉิงอี้กำลังจะกดปิดหน้าจอแต่เมื่อเขาได้ยินเสียงแจ้งเตือนและรีบมองไปที่หน้าจอ
ข้อความ SMS จะปรากฏบนหน้าจอที่ส่องสว่างโดยอัตโนมัติ
'เพื่อนคนหนึ่งมีสวนเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยสัตว์รบกวน นายไม่ใช่มืออาชีพในสาขานี้รึไง? มาช่วยกันหน่อยสิ' +++หลินซาง
หลี่เฉิงอี้คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบอย่างรวดเร็ว
'มันคือศัตรูพืชชนิดไหน ถ่ายรูปดูซิ'
'นายจะรู้เรื่องนี้เมื่อมาถึง ดังนั้นคิดซะว่ามันช่วยฉันก็ได้นะ คนที่นายเจอในตอนเช้านั่นแหละ มันดีที่ถ้านายจะเป็นเพื่อนที่ดีกับพวกเขา เชื่อฉันสิ!’ +++หลินซาง
'คิดค่าจ้างยังไง?' หลี่เฉิงอี้ถามอีกครั้ง
'นี่นายยังจะเก็บเงินจากเพื่อนที่ขอความช่วยเหรออีกเหรอ? ขี้งกขนาดนั้นเหรอ? นายต้องมาให้เร็วกว่าบ่ายสองโมงไม่งั้นฉันเรียกคนอื่น' +++หลินซาง
นางก็ช่างพิมพ์มาแบบว่า "ฉันอารมณ์ไม่ดีนะยะ"
ในอดีตเวลาที่ที่ทั้งสามคนทะเลาะกันมันก็จะประมาณนี้แหละ เมื่อเธอโกรธ อีกสองคนก็จะพยายามใจเย็นแล้วก็โอ๋
ดังนั้นทุกครั้งที่เธอใช้ท่านี้มันจึงจะมีประสิทธิภาพมาก
หลี่เฉิงอี้มองดูที่อยู่ที่เธอส่งมาให้ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 32 กิโลเมตรที่ยังไงก็ไม่ทันแน่นอนถ้าจะนั่งรถสาธารณะจากตรงนี้ ดังนั้นมีแต่จะต้องนั่งแท็กซี่แหละ ค่าแท็กซี่บวกยาที่จำเป็นและบัตรตรวจสัตว์รบกวน รวมๆ แล้วมีค่าใช้จ่ายหลายทอดและหลายร้อย
ในกรณีที่ศัตรูพืชที่รักษาง่ายนะ แต่ถ้าเป็นชนิดที่ยากค่าใช้จ่ายในการรักษาครั้งเดียวไม่ต่ำกว่าพัน
แม้ว่าเขาจะอยากดำเนินชีวิตตามนิสัยของเจ้าของร่างเดิมในโลกนี้ก่อนและค่อยๆ ปรับเปลี่ยนไปสู่นิสัยที่เป็นตัวของตัวเองก็ตาม แต่นี่มันเกินไปหน่อยมั้ยวะ เขาไม่รู้จักคนเหล่านั้นเลยด้วยซ้ำ ซึ่งหมายความว่าเมื่อเขาไปช่วย เขาก็แค่ช่วยหลินซานจริงๆ ผู้ที่แม่งไม่แคร์เลยว่าเพื่อนก็ต้องเก็บเงินไว้แดกข้าว
นี่คงไม่พูดถึงว่าคุ้มหรือไม่ แม้ว่าความทรงจำของเขาจะยังคลุมเครือแต่เขาก็ไม่สามารถทำแบบนี้
หลี่เฉิงอี้จึงเพิกเฉยต่อหลินซางอย่างเด็ดขาดโดยการปิดเสียงโทรศัพท์ ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาไม่ใช่ตัวเขาคนที่เคยอยู่ในโลกนี้ เพราะว่าตามตรงต่อให้เป็นเจ้าของร่างนี้มาเองหากไม่ได้รับพรจากตัวกรองความรัก คำขอของ หลินซานก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าทำให้เขาเสียเวลาและพลังงานไปเปล่าๆ
โดยไม่สนใจแรงสั่นสะเทือนจากโทรศัพท์มือถือเขารีบออกไปขึ้นรถบัสที่ประตูชุมชนเพื่อจะไปโรงเรียนในเขตชานเมือง
มหาวิทยาลัยซุยหยางเป็นมหาวิทยาลัยที่ครอบคลุมในท้องถิ่นที่ตั้งอยู่ในเขตชานเมืองทางตอนใต้ของเมือง พื้นที่นี้เกือบจะเทียบเท่ากับเมืองเล็กๆ โดยมีอาคารหลายสิบหลังกระจายอย่างเป็นระเบียบ
เมื่อหลี่เฉิงอี้มาถึงก็ผ่านไปกว่า 20 นาทีแล้ว
บนชั้นสามของอาคารสำนักงานหมายเลข 1 ของโรงเรียน เขาเดินตามป้ายชื่อและพบสำนักงานที่ห้า
ประตูห้องทำงานเปิดอยู่ ชายหนุ่มสองคนยืนอยู่ไม่ไกลจากประตู ทั้งสองคนสวมแว่นตา คนหนึ่งสูง อีกคนเตี้ย ทั้งคู่สวมเสื้อเชิ้ตและกางเกงขายาว สุภาพเรียบร้อย หลี่เฉินยี่ประเมินว่าพวกเขาต้องเป็นนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาของเฉินฉาน หัวหน้างานของพวกเขา ดังนั้นเขาถือได้ว่าเป็นรุ่นพี่ของเขาด้วย
"ฉันดีใจมากที่หรงชิงและซูหนานหางมาเข้าร่วมการประชุมสัมมนาของโรงเรียน แต่สถานที่พิเศษมันไม่ว่างจริงๆ อะไรที่ฉันมีนั้นมากกว่าอาจารย์คนอื่นๆ มาก"
ในสำนักงาน ถัดจากตู้หนังสือไม้สีเหลือง ชายชราหัวโล้นสวมแว่นตาขอบเงิน สวมชุดสูทและรองเท้าหนัง เนคไทสีแดงเข้ม และเสื้อเชิ้ตสีขาวกำลังพูดกับหญิงวัยกลางคนด้วยเสียงต่ำ ต่อหน้าเขา
เขาคือเฉินชาง ครูของหลี่เฉิงอี้วิชาเอกการบำรุงรักษาโรงงาน
เมื่อเห็นหลี่เฉิงอี้เข้ามา ชายหัวโล้นเฉินชานก็โบกมือมาหาเขา บอกให้รอสักพักแล้วจึงคุยกับหญิงวัยกลางคนต่อไป
ทั้งสองดูเหมือนจะโต้เถียงเรื่องโควต้า
หลี่เฉิงอี้จึงรู้สึกเบื่อและไม่รู้ว่าครูต้องการให้เขามาทำอะไร ความสัมพันธ์ของเขากับเฉินชางเกิดจากการที่เขาเก่งมากในหลักสูตรการอนุรักษ์พันธุ์พืชที่โรงเรียน ดังนั้นเขาจึงได้รับการชื่นชมจากเฉินฉางและแนะนำให้เข้าร่วมในหลักสูตรการฝึกอบรมขั้นสูงที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์พันธุ์พืช
เฉินชานยังจะใช้โอกาสนี้ในการเป็นที่ปรึกษาของหลี่เฉิงอี้รึเปล่า? เดิมที ทั้งเฉินชางและหลี่เฉิงอี้คนเก่าเคยคิดว่าพวกเขาจะถือโอกาสสอบระดับปริญญาโทภายใต้การดูแลของเฉินชาง
แต่โดยไม่คาดคิด ความสามารถของหลี่เฉิงอี้กลับกลายเป็นไม่เพียงพอที่จะไปต่อ
ต่อมา หลี่เฉิงอี้ก็ยอมแพ้หลังจากทะเลาะกับพี่สาวครั้งใหญ่ เขาก็เลิกเรียนเอกนี้และเลือกหางานทำโดยตรงหลังจากสำเร็จการศึกษา
หลังจากที่เฉินชานคุยกับหญิงวัยกลางคนได้สักพัก ผู้หญิงคนนั้นก็ตะคอกอย่างหยาบคาย และหันหลังกลับและจากไปพร้อมกับแบบฟอร์มในมือ
เฉินซานถอดแว่นตาออกอย่างเหนื่อยล้า ขยี้ตาแล้วมองดูหลี่เฉิงอี้นั่งอยู่บนโซฟาข้างเขา
เขาชื่นชมหลี่เฉิงอี้ในฐานะลูกศิษย์จริงๆ
แต่ตอนนี้ เขามีนักศึกษาที่ให้ซัพพอร์ททั้งหมด 4 คน และอีก 3 คนเป็นนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ปัจจุบัน คนหนึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทขนาดใหญ่ และอีกคนได้เปิดบริษัทโลจิสติกส์มืออาชีพของตัวเองและกำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ มีอีกคนหนึ่งที่เข้าพักในโรงเรียนและตีพิมพ์บทความวิชาการในวารสารชั้นนำหลายฉบับและอนาคตของเขาสดใส มีเพียงหลี่เฉิงอี้ นักเรียนที่เขาเคยเก็งไว้เท่านั้น ตอนนี้...
"เสี่ยวอี้ ฉันตรวจสอบแล้วและพบว่าไฟล์ของเธอยังไม่ถูกโอนออกไป เธอยังไม่ได้ทำงานเหรอ?" เขาถามเบาๆ
"ไม่ครับ แต่ผมกำลังมองหามันอยู่ ไม่ต้องห่วง ผมพอจะมีวิธีอยู่แล้ว" หลี่เฉิงอี้ลุกขึ้นและเดินเข้ามาหา จากสายตาของชายตรงหน้า เขาพอจะมองเห็นร่องรอยของความเสียใจได้เล็กน้อย--ความรู้สึกของการทำอะไรไม่ถูก
เสียงของพี่ชายอีกสองคนพูดคุยกันอาจได้ยินแผ่วเบาจากนอกประตูด้านหลังพวกเขา ดูเหมือนว่ารุ่นพี่สาวคนคนสุดท้ายก็มาถึงเช่นกัน
"ไม่ต้องอาย ไม่เป็นไรหรอก ฉันยังไม่รู้อะไรของเธอมากนัก" เฉินชานกระซิบ หลังจากการต่อสู้ระหว่างอาจารย์และศิษย์ แม้ว่าหลี่เฉิงอี้จะเสื่อมโทรมลงแล้ว แต่เขาก็ยังตัดสินใจที่จะให้ความช่วยเหลือครั้งสุดท้ายแก่เขา และเขาก็เพิ่งมีโอกาส ขณะที่เขาพูด เขาก็เปิดลิ้นชักที่สองของโต๊ะ หยิบเอกสารที่ล็อคไว้ออกมา เปิดกุญแจโลหะ และดึงซองจดหมายสีน้ำตาลที่ห่อไว้แล้วออกมา "เธอสามารถลองบริษัทนี้ได้ นี่เป็นจดหมายแนะนำตัวที่ฉันเขียน ผู้จัดการทั่วไปของพวกเขาคือเพื่อนเก่าของฉัน การหางานให้กับเธอไม่น่าจะเป็นปัญหา" เฉินชานยื่นซองจดหมายให้หลี่เฉิงอี้
"อาจารย์" หลี่เฉิงอี้ตกตะลึงเล็กน้อยและไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
"ฉันเข้าใจสถานการณ์ของครอบครัวเธออยู่บ้าง พี่สาวของเธอต้องการเงิน รายได้ของพ่อแม่เธอต่ำ และตอนนี้โรงงานเริ่มลดค่าจ้างแล้ว แต่เธอต้องเชื่อว่าความยากลำบากนั้นเกิดขึ้นชั่วคราว หากเธอไม่มีทางเลือกอื่นแล้วก็ให้โทรหาฉันหน่อยสิ!" เฉินชานพูดอย่างจริงจัง
"ผม" ทันใดนั้นหลี่เฉิงอี้ก็สัมผัสได้ แม้ว่าคนเก่าของร่างนี้จะจากไปแล้วก็ตาม แต่มันก็หายากจริงๆ ที่จะได้พบกับคนที่ดีกับเราอย่างจริงใจในชีวิต
"จำไว้ว่าอย่าให้พรสวรรค์ของเธอสูญเปล่า" เฉินชานถอนหายใจ ตบไหล่หลี่เฉิงอี้แล้ววางจดหมายไว้ในมือของเขา
เมื่อเปรียบเทียบพัฒนาการของนักเรียนคนอื่นๆ สถานการณ์ของหลี่เฉิงอี้ก็ยากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะเก่งก็ตาม
"ขอบคุณครับ" หลี่เฉิงอี้ก้าวถอยหลังอย่างจริงจังและโค้งคำนับ "ผมจะไม่ลืมบุญคุณนี้เลย"
"ไปซะเถอะ" เฉินชานโบกมือ ดูโดดเดี่ยวเล็กน้อย
เขาก้มศีรษะลงหยิบกล่องบุหรี่ออกมาจากมุมโต๊ะ ดึงออกมาคาบและกำลังจะคว้าไฟแช็ก แต่พอแตะได้สักพักก็วางลง
"จะเลิกบุหรี่อยู่นี่" เขาโบกมือให้หลี่เฉิงอี้อีกครั้ง จากนั้นหันหลังกลับและมองดูกิ่งก้านดอกไม้สีชมพูที่อยู่นอกหน้าต่าง
หลี่เฉิงอี้โค้งคำนับอีกครั้ง แล้วหันหลังกลับไปพร้อมกับจดหมาย
เมื่อออกจากออฟฟิศ เขาอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองขณะที่กำลังจะลงไปชั้นล่าง เขาเกือบจะชนกับหญิงสาวผมแดง สวมแจ็กเก็ตหนังตัวสั้นสีเหลือง กางเกงรัดรูปสีเทา
"เฮ้ ใครกันเนี่ย--" หญิงสาวหยุดชั่วคราวและดูเหมือนจะจำหลี่เฉิงอี้ได้
"เป็นน้องเฉินปี้นี่เอง ไม่เจอกันนานเลย" หลี่เฉิงอี้จำอีกฝ่ายได้ หญิงสาวตรงหน้าเขาคือเฉินปี้ลูกสาวในสายเลือดของศาสตราจารย์เฉินชาง เธอไปศึกษาต่อต่างประเทศและเพิ่งกลับมาเมื่อเร็ว ๆ นี้
ในเวลานั้นตัวเก่าเจ้าของร่างยังคงคุ้นเคยกับเฉินปี้และเขามักจะพูดติดตลกว่าเมื่อเขาเปิดบริษัทและเติบโตขึ้นในอนาคต เฉินปี้จะต้องมาเป็นเลขานุการของเขาให้ได้
ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนว่า…… (เอ่อ)
"เฉินปี้ มานี่เร็ว" เฉินปี้กำลังจะตอบเมื่อมีคนจากอีกฟากหนึ่งของสำนักงานเรียกหาเธอ
"ตอนเย็นจะมีประชุมศิษย์เก่า" เธอยิ้มแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
หลี่เฉิงอี้เห็นอีกฝ่ายเดินจากไปอย่างรวดเร็วก่อนที่จะมีเวลาตอบ
สมาคมศิษย์เก่ามีไว้สำหรับผู้ที่ประสบความสำเร็จ เขาเป็นบัณฑิต ที่ไม่มีงานทำด้วยซ้ำ เขามองย้อนกลับไปและเห็นทั้งสามคนมารวมตัวกัน รุ่นพี่สองคนซึ่งดูเหมือนคนที่ประสบความสำเร็จกำลังพูดคุยกับเฉินปี้อย่างใกล้ชิด
'จริงๆ ตัวเก่าของฉันควรจะเป็นสมาชิกของมัน แต่...' เขาหันหลังกลับและเดินลงไปชั้นล่างโดยไม่ส่งเสียงอีก
มีรถจอดอยู่ชั้นล่าง 2 คัน สีดำ 1 คัน สีขาว 1 คัน คนแน่นมาก หลี่เฉิงอี้มองไปรอบ ๆ และเลือกที่จะผ่านช่องว่างตรงกลางรถสองคนนี้ เขารีบก้มศีรษะลงแล้วเดินไปข้างหน้าเป็นระยะทางสั้น ๆ เมื่อกำลังจะผ่านช่องว่างเขาก็หยุดอยู่ตรงหน้ากระจกสะท้อนแสงของรถทั้งสองคัน
'อะไรเนี่ย?'
ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่กระจกสะท้อนแสงตรงหน้าเขาในกระจก ดูเหมือนมีลวดลายสีเข้มบนหลังมือขวาของเขาซึ่งดูเหมือนรากเถาวัลย์ ลวดลายขยายจากหลังมือถึงข้อมือ ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างเป็นกาฝากที่หลังมือและมีรากงอกออกมา
เออเว้ย เอาที่สบายใจเลย
หลี่เฉิงอี้ยกมือขวาขึ้น ลดศีรษะลง และมองเข้าไปใกล้ ๆ หลังมือขาวโพลนและไม่มีอะไรเลย
ไม่มีลวดลายใดๆ ไม่มีแม้แต่รอยแผลเป็น
เขาขยับสายตาไปที่ตัวสะท้อนแสงอีกครั้ง ในกระจกสะท้อนแสงของรถ มีลวดลายสีดำขนาดเท่าไข่สะท้อนอยู่บนมือขวาของเขาอย่างชัดเจน แต่ในความเป็นจริง เมื่อเขาโบกมือ กลับไม่มีอะไรอยู่บนหลังมือเลย หลี่เฉิงอี้รู้สึกสับสนเล็กน้อย เขากำลังหมกมุ่นอยู่กับการคิดถึงงานในอนาคตและแผนการในอนาคตแท้ๆ ทว่าตอนนี้สถานการณ์ตรงหน้าเขาทำให้เขาถอนตัวจากความเป็นจริงทันที และนึกถึงประสบการณ์แปลก ๆ เมื่อคืนก่อน
พอหวนนึกถึงความฝันที่ดูจริงจังพอๆ กับความเป็นจริง...
แล้วตอนนี้สิ่งนี้ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง 'คืออะไรกันแน่วะ?'
เขาแตะลวดลายสีดำที่อยู่หน้าแผ่นสะท้อนแสงอย่างระมัดระวัง แต่ไม่สามารถแตะสิ่งใดได้ เขาเห็นเพียงว่ารูปร่างของลวดลายนั้นดูคล้ายกับดอกไม้ดอกสุดท้ายที่เขาเห็นก่อนที่จะข้ามมาที่โลกนี้
เป็นไม้ดอกไม้สีดำที่ดูมืดมน แปลกประหลาด และดูลึกลับ!
******************
คนแปล: ขอไว้อาลัยให้กับบทบาทของหลินชางที่ออกมาแค่สองตอนคนแปลกก็เชียร์ให้พระเอกสลัดทิ้งแม่ง