บทที่ 129 เสาะแสวงหา
ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay
บทที่ 129 เสาะแสวงหา
“ผมได้แจ้งให้พวกเขาทราบถึงการมีอยู่ของจิ่วโยวตามที่ท่านสั่งแล้วครับ”
ที่ชั้นบนสุดของตึกฟิสก์ บูลส์อายได้รายงานกับคิงพินพร้อมกับก้มศีรษะลง
เมื่อมองขึ้นไป บูลส์อายก็พบร่างอันยิ่งใหญ่ของคิงพินที่ปกคลุมด้วยเงา มีเพียงปลายซิการ์ที่มองเห็นได้จางๆ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง พยายามฝืนใจกล่าวออกมาว่า "แต่ถ้าท่านตัดสินใจทำแบบนี้ จิ่วโยว..."
"เลสเตอร์" เขายกมือขึ้นเพื่อเอาซิการ์ออกจากปากของเขา คิงพินปล่อยควันออกมาสักพักหนึ่ง ก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “จิ่วโยวนั้นแข็งแกร่งมาก พิฆาตไร้เทพเพียงคนเดียวก็สามารถทำลายเดอะแฮนได้อย่างง่ายดาย แต่พวกเขาเป็นองค์กรลับที่ต้องใช้ความมืดเพื่อซ่อนจุดประสงค์ที่น่ากลัวแอบแฝงไว้ จนกว่าพวกเขาจะบรรลุวัตถุประสงค์นั้น พวกเขาคงจะไม่เปิดเผยการมีอยู่ของพวกเขาอย่างง่ายดาย นั่นเป็นเหตุผลที่จิ่วโยวต้องการฉัน พวกเขาต้องใช้ฉันเป็นเหยื่อล่อเพื่อซ่อนการกระทำลับๆ ที่พวกเขากำลังทำอยู่เบื้องหลัง...”
“แล้วทำไมท่านถึงตัดสินใจทำแบบนี้กัน?”
บูลส์อายพยายามระงับความตกใจภายในของเขาเมื่อได้ยินคำอธิบายของคิงพิน
“เพราะฉันต้องการมากกว่านั้น มากกว่าการเป็นเพียงแค่ตัวล่อ” ในฐานะราชาแห่งโลกใต้ดิน คิงพินไม่เต็มใจที่จะถูกใช้เป็นตัวล่อแน่นอน
“ว่าแล่วเชียว แกก็คงมีความทะเยอทะยานมากกว่าที่ฉันคิดไว้เยอะเลยสินะ คิงพิน”
ทันใดนั้นเอง ท่ามกลางเงาในห้องนี้ เสียงแหบแห้งราวกับวิญญาณร้ายก็ดังขึ้น
“อะไรกัน?!”
บูลส์อายหันศีรษะด้วยความตกใจ เขาไม่ได้รู้เลยว่ามีร่างหนึ่งได้ปรากฏขึ้นในห้องทำงาน
“พิฆาตไร้เทพอยู่ไหน?”
เมื่อดับซิการ์ในมือลง คิงพินก็ขมวดคิ้วขณะที่เขามองร่างที่โผล่ออกมาจากเงามืด
“พิฆาตไร้เทพมีสิ่งสำคัญกว่าที่ต้องทำ” เมื่ออธิบายถึงเรื่องพิฆาตไร้เทพแล้ว ร่างนั้นก็ก้าวออกจากเงามืดเพื่อเปิดเผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเขา "จากนี้ไปฉันจะเป็นคนติดต่อพวกแกเอง"
[คะแนนชื่อเสียงจากบูลส์อาย +50]
[คะแนนชื่อเสียงจากคิงพิน +30]
ต้องบอกเลยว่าเพียงปรากฏตัวออกมา มาโคโตะ ชิชิโอะก็สร้างความสะพรึงกลัวยิ่งให้กับพวกเขา
ร่างกายของเขาถูกพันด้วยผ้าพันแผล ผิวหนังที่ถูกเปิดเผยออกมามีรอยไหม้จนน่าหวาดกลัว ทั้งตัวของเขาดูราวกับว่าคนเที่เพิ่งก้าวออกมาจากกองไฟที่ลุกโชน
คิงพินมองไปที่ชายตรงหน้าเขาที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผลและมีบรรยากาศน่าสะพรึงกลัวคล้ายปีศาจชั่วร้าย พอรักษาใบหน้าของตนให้สงบใจได้แล้ว เขาก็กวาดสายตามองบูลส์อายอย่างผิดสังเกต การปรากฏตัวของพิฆาตไร้เทพทำให้คิงพินรู้สึกสิ้นหวังอย่างไร้อำนาจ ไม่มีทางที่จะต่อต้านได้เลย...
ส่วนทางด้านชิชิโอะ ถึงเขาจะมีรูปลักษณ์ที่น่ากลัว แต่ก็ไม่ได้น่าหวาดกลัวเทียบเท่าพิฆาตไร้เทพ
แต่แน่นอนว่าคิงพินคงยังไม่ต่อต้านจิ่วโยว เพราะเขารู้ตัวดีว่าเขาคงไม่มีทางชนะอย่างแน่นอน
เขาไม่สนใจการเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ของบูลส์อายสักนิดเดียว มาโคโตะ ชิชิโอะมองตรงไปที่คิงพินและพูดด้วยเสียงหัวเราะอันแผ่วเบาและหนักแน่น "ที่จริงแล้ว ฉันชื่นชมความทะเยอทะยานของแกนะ คิงพิน ต้องใช้ความทะเยอทะยานของแกเลยถึงจะทำให้โลกนี้น่าสนใจยิ่งขึ้นได้ ฉันน่ะต่างจากพิฆาตไร้เทพ เพราะงั้นฉันจะช่วยแกเอง”
“แม้ว่าสิ่งที่ผมทำอาจมีผลกระทบต่อแผนการของจิ่วโยวงั้นเหรอ?”
“ถูกต้อง” ชิชิโอะพยักหน้าโดยไม่ลังเล เขาชักดาบออกมาและเฉือนโต๊ะขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าคิงพินออกเป็นสองส่วน เปลวไฟที่ลุกโชนส่องแสงเหนือใบหน้าของเขา ทำให้มันดูน่าเกลียดยิ่งขึ้น ทว่าชิชิโอะยังคงหัวเราะต่อไป "แต่จะว่าไป แกคิดว่าการกระทำของแกสามารถส่งผลกระทบต่อแผนการของจิ่วโยวได้จริงหรือ?"
...
"แฮ่ก...แฮ่ก…"
ถนนในนิวยอร์ก
ร่างที่ตื่นตระหนกกำลังวิ่งไปอย่างต่อเนื่อง เขาผ่านฝูงชนไปโดยไม่สนใจเสียงตะโกนและคำสบถของคนเดินเท้า ร่างนั้นดูเหมือนกำลังถูกไล่ล่าโดยบางสิ่งบางอย่าง เขาพยายามฝืนวิ่งต่อไป
ทว่าเขาก็ถูกหยุดอย่างรวดเร็วโดยชายผิวขาวร่างใหญ่ที่มีกล้ามเนื้ออันบึกบึน
"เฮ้ย ไอ้สารเลว มองไปทางไหนกัน!"
เมื่อมองไปยังชายผู้สิ้นหวังที่วิ่งเข้ามา ชายร่างกำยำก็ขมวดคิ้วและดึงคอเสื้อของเขา "เดินไม่ดูตาม้าตาเรือแบบนี้ คงต้องสั่นสอนสักหมัดหรือเปล่า?!"
ขณะที่เขาพูด ชายร่างใหญ่ก็ยกกำปั้นขนาดเท่ากระสอบทรายของตัวเองขึ้นและมองชายในมือของเขาขึ้นและลง ราวกับว่ากำลังครุ่นคิดว่าจะจะต่อยจุดไหนดี
"ไม่เอานะ ปล่อยผมไปเถอะ!"
ในมือของชายร่างใหญ่ ชายคนนั้นดิ้นรนไปมาขณะที่เขาพยายามพูดด้วยความยากลำบาก
"ปล่อยแกไปเหรอ? ฮ่าฮ่า..." เมื่อได้ยินคำพูดจากชายร่างเล็ก ชายร่างกำยำก็หัวเราะออกมาพร้อมกับเพื่อนๆ ของเขา หนึ่งในนั้นเยาะเย้ย "แกคิดว่าแกเป็นใครกัน?"
“ถ้าไม่รีบปล่อยตอนนี้ มันคงสายเกินไป...”
"สายเกินไป? สายเกินไปอะไรวะ?" ด้านข้างของชายร่างใหญ่ ผู้หญิงที่แต่งหน้าจัดได้ยิ้มและเยาะเย้ยเขาทันที "สงสัยกลัวจนฉี่จะเล็ดออกมาแล้วมั้งนั่น?"
"ฮ่าๆๆๆ..." คำพูดหยาบคายอันไม่น่าแปลกใจได้เรียกเสียงหัวเราะจากคนทั้งกลุ่ม
“ก็สายเกินไปที่จะหนีจาก...ฉันไงล่ะ”
ทันใดนั้น กลางอากาศก็ได้เกิดเสียงลมกรรโชกขึ้น
เมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้น ก็มองเห็นกรีนก็อบลินบนเครื่องร่อนของเขา กำลังมองมาทางด้านล่างเขม็ง
“เราไม่รู้จักเขาเลยนะ!”
กรีนก็อบลินคือวายร้ายที่ปรากฏตัวบ่อยครั้งในนิวยอร์ก ทำให้ทุกวันนี้ทุกคนต่างรู้จักเขากันทั้งนั้น เมื่อเห็นร่างอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ต่อหน้าต่อตาพวกเขา ชายร่างใหญ่ก็ปล่อยมือด้วยความกลัวทันที เขาตื่นตระหนกและพยายามอธิบายว่า "คือว่าเขาวิ่งมาชนเรา เรากำลังจะไปแล้ว..."
พวกเขาแค่อยากสนุกกันเท่านั้นเอง ด้วยกล้ามเนื้อที่ออกกำลังกายมา เขาก็ทำได้แค่รังแกคนทั่วไป ทว่ากับกรีนก็อบลิน... เขาคงจะตายแน่ถ้าเกิดไปโดนระเบิดเข้าสักลูกหนึ่ง
โดยไม่ต้องรอให้กรีนก็อบลินตอบอะไร ชายร่างใหญ่และเพื่อนๆ ของเขาตะเกียกตะกายวิ่งหนีออกจากที่นี่ไปทันที
แน่นอนว่าในยามนี้ไม่มีใครหัวเราะท่าทางของพวกเขาเลย เพราะทุกคนโดยรอบก็วิ่งหนีกันไปหมดแล้ว
พอได้เห็นทุกคนที่วิ่งกระจัดกระจายไปเหมือนนกพิราบที่หวาดกลัว ก็อบลินก็หัวเราะออกมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงพุ่งไปหาชายที่วิ่งหนีเขา
“แกทำให้ฉันลำบากจริงๆ กับการตามหาแก ถ้าฉันไม่เห็นว่าหน้าตาแกเป็นยังไง แกคงจะหนีรอดไปได้แล้ว”
เอ็ดดี้ บร็อกพยายามลุกขึ้นจากพื้น มองไปที่กรีนก็อบลินที่ลอยอยู่ในอากาศ ในขณะที่หอบหายใจ เขาก็ถามว่า "ทำไมคุณถึงต้องตามล่าผมอยู่เรื่อยๆ กันด้วย? ทั้งหมดที่ผมต้องการคือชีวิตที่สงบสุขนะ!"
“ชีวิตที่สงบสุขงั้นเหรอ? ซิมไบโอตนั้นได้ให้ความสามารถที่ยอดเยี่ยมแก่แก แต่สิ่งที่แกคิดได้คือแค่หนีเนี่ยนะ?!!”
ไม่มีใครรู้ว่าเส้นประสาทเส้นไหนถูกกระแทก แต่กรีนก็อบลินยามนี้โกรธมากกับคำตอบของเอ็ดดี้ ทว่าเขาก็สงบสติอารมณ์ของเขาอย่างรวดเร็ว เสียงหัวเราะที่เล็กแหลมได้ดังขึ้นอีกครั้งจากริมฝีปากของเขา แสดงให้เห็นชัดเลยถึงความคาดเดาไม่ได้ของไอ้โรคจิตนี้ "ในเมื่อแกไม่ต้องการความสามารถนั้น ฉันสามารถช่วยแกให้หาร่างใหม่ที่ดีกว่าสำหรับซิมไบโอตได้นะ..."
พอกล่าวจบ กรีนก็อบลินก็ยกแขนขึ้น เผยให้เห็นอุปกรณ์พ่นไฟที่ถูกดัดแปลงมาเป็นพิเศษบนแขนชุดเกราะของกรีนก็อบลิน
“ไม่เคยคิดเลยแฮะว่านายจะเป็นแบบนั้นนะ ก๊อบบี้”
ในยามนั้นเอง เสียงของเด็กหนุ่มที่แสนคุ้นเคยก็ดังขึ้นจากตึกสูงในนิวยอร์ก
วินาทีต่อมา สไปเดอร์แมนในชุดสีแดงและน้ำเงินก็เหวี่ยงจากมุมหนึ่งไปอีกมุมหนึ่ง