บทที่ 68 : พรมแดนไร้เขต
บทที่ 68 : พรมแดนไร้เขต
ซาโตรุอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่ง โลกตรงหน้าเขาเริ่มเปลี่ยนไป
มันกลายเป็นโลกของท้องฟ้าสีแดงโลหิตและดินแดนสีแดงเข้ม มีอีกาอยู่เต็มไปหมด และบางตัวก็กำลังแทะซากศพที่กระจายทั่วภูเขาและที่ราบ
นี่คือโลกสมมติของคาถาลวงตาอ่านจันทรานิรันดร์ และทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนถูกอิทาจิบงการได้ตามใจนึก
แต่เพียงชั่วครู่หลังจากที่โลกอ่านจันทรานิรันดร์ได้ถูกใช้งาน
*ชึ้บ*
อิทาจิก็ถูกดึงเข้าสู่พื้นที่ที่ดูเหมือนจักรวาลอันกว้างใหญ่
ด้านหลังอิทาจิ มีดวงตาสีดำและสีขาวขนาดใหญ่มากจนดูเหมือนหลุมดำ
"นี่มันคืออะไรกัน?"
ทุกคนในทีมที่เจ็ดกำลังลอยอยู่บนท้องฟ้า พวกเขามองดูพื้นที่ภายในทั้งหมดของไสยเวทไร้ขีดจำกัดด้วยสีหน้าสับสน
นี่คือพลังที่เหนือกว่าขอบเขตของนินจางั้นเหรอ?
พื้นที่นี้มันคืออะไรกัน?
นับเป็นครั้งแรกที่ทั้งสามคนได้เห็นคาถาที่แปลกประหลาดและเข้าใจยากเช่นนี้
“เป็นคาถาที่คล้ายกับคาถากำบังงั้นเหรอ?” คุเรไนเลิกคิ้วเล็กน้อย ดวงตาสีแดงสดราวกับอัญมณีของเธอจ้องมองไปยังโลกแห่งไสยเวทย์ไร้ขีดจำกัดอย่างสงสัย
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นอะไรแปลกๆ เช่นนี้
ในตอนแรก เธอคิดว่าการกางอาณาเขตที่แปลกประหลาดนี้จะเป็นพื้นที่สมมุติที่ถูกสร้างขึ้นโดยคาถาลวงตา
แต่จักระในร่างกายของเธอยังมั่นคง ไม่มีการสั่นคลอนหรือลดลงแม้แต่น้อย
ดังนั้นหากไม่ใช่คาถาลวงตา สิ่งนี้ก็คงเป็นคาถากำแพงป้องกันอะไรสักอย่าง
แต่ปัญหาก็คือ
โดยรอบทุกจุดคือพื้นที่ว่างเปล่า ไม่มีทางเลยที่จะดึงทุกคนเข้าสู่พื้นที่ที่มีลักษณะคล้ายกับความว่างเปล่าในอวกาศเช่นนี้ได้
พวกเขาคล้ายกับยังอยู่ในจุดเดิม แต่ที่แห่งนี้ดูจะไม่ใช่เพียงสถานที่ผู้อื่นจู่ๆ ก็จะสามารถเข้ามาได้
หากไม่ใช่คาถากำแพงและคาถาลวงตา เช่นนั้นอธิบายสถานที่ที่คล้ายกับความว่างเปล่าในอวกาศนี้ได้ยังไงกัน?
คุเรไนรู้สึกสับสนมาก เธอรู้ดีเกี่ยวกับคาถาต่างๆ แต่เธอไม่เคยเห็นคาถาแปลกๆ ที่ถูกเรียกว่า "พรมแดนไร้เขต" มาก่อน
"นี่คือโลกภายในของไสยเวทย์ไร้ขีดจำกัด" ซาโตรุดูดอมยิ้มพลางมองอิทาจิด้วยรอยยิ้มบางเบา
เขาไม่ได้อธิบายอะไรมาก เพราะอธิบายแนวคิดเรื่องไสยเวทย์ไร้ขีดจำกัดนั้นยุ่งยาก
“ซาโตรุ นายแข็งแกร่งมากจริงๆ ถึงกับสามารถต่อต้านคาถาอ่านจันทรานิรันดร์ของฉันได้ด้วย” อิทาจิถูกลอยอยู่ในอากาศโดยไม่อาจทำอะไร กระทั่งขยับนิ้วก็ยังไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
“รู้สึกได้ทุกอย่าง แต่ทำอะไรไม่ได้”
จักระของอิทาจิมั่นคง ไม่มีร่องรอยของการถูกโจมตีด้วยคาถาลวงตายามนี้เขาเองก็ได้สัมผัสถึงแนวคิดทั้งหมดในโลกนี้แล้ว
ตั้งแต่การเกิดของมนุษย์ จนถึงการเติบโตของต้นกล้า ข้อมูลอันไม่มีที่สิ้นสุดได้หลั่งไหลเข้าสู่สมองของเขา
ในโลกภายในของไสยเวทย์ไร้ขีดจำกัด เขาสัมผัสได้ทุกสิ่ง แต่ถึงแม้เขารู้ทุกสิ่ง แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้
ข้อมูลมหาศาลประดังประเดเข้ามาในเวลาเพียง 0.1 วินาที จนทำให้อิทาจิต้องหยุดคิดไป
“ช่างน่าเศร้าที่รู้ทุกอย่าง แต่กลับรู้สึกว่าไร้พลังใช่ไหม?” ซาโตรุคว้าศีรษะของอิทาจิพร้อมเผยรอยยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้าของ และจากนั้นจึงถามด้วยถ้อยคำถากถาง
เขาตั้งใจจะจัดการอิทาจิให้จบด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
ขณะที่ซาโตรุกำลังจะดึงสมองของอิทาจิออกมา มือของเขาก็หยุดชะงักไป เขาเหลือบมองซาสึเกะที่อยู่ไกลๆ
เกือบลืมไปเลย
เจ้าหมาป่าที่ฆ่าพ่อและแม่ตัวนี้เป็นแรงบันดาลใจและแรงผลักดันให้เด็กแสบอุจิวะแข็งแกร่งขึ้น
จะจัดการอิทาจิก็สามารถจัดการได้ทุกเมื่อ ถ้าเช่นนั้นปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ไปก่อนแล้วกัน เพราะเขาจะได้กลายเป็นคู่ต่อสู้ที่เพิ่มประสบการณ์ให้กับเด็กอุจิวะ
มันจำเป็นที่จะต้องมีความเกลียดชังเป็นหนึ่งในแรงผลักดัน เพื่อที่จะทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น
ยังไม่มีเคยมีใครใช้การกางอาณาเขตในโลกนินจา ดังนั้นจึงไม่มีใครสามารถจัดการกับมันได้
นอกจากพรมแดรไร้เขตแล้ว ซาโตรุยังมีอะไรอีกหลายอย่างด้วย
หลังจากที่เด็กแสบอุจิวะนั้นเข้มแข็งและพึ่งพาตัวเองได้ เขาก็จะได้ไม่มีเรื่องต้องห่วงแล้ว
“นายยังมีค่าพอที่จะอยู่ต่อ ยินดีด้วยล่ะที่รอดชีวิต” ซาโตรุปล่อยมือแล้วตบไหล่อิทาจิ
จากนั้นซาโตรุก็ทำอะไรบางอย่าง
*ฟุ้บ*
อาณาเขตหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทีมที่เจ็ดและคนอื่นๆ ก็กลับไปที่สวนสาธารณะเช่นเดิม
อิทาจิล้มลงกับพื้น ใบหน้าของเขาและดวงตาของเขาไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา แต่จิตใจของเขายังคงเต็มไปด้วยความรู้ที่ไร้ประโยชน์
เขาจะจัดการความรู้อันไร้ประโยชน์ในสมองของเขาได้ยังไง เขาเองก็คิดไม่ออก
“อุจิวะ โอบิโตะ รีบพาพวกเขาออกไปเร็วเข้าสิ” ซาโตรุวางเท้าลงบนหลังศีรษะของอิทาจิ ทำให้ใบหน้าของอิทาจิแนบอยู่กับพื้น
“อุจิวะ?”
ทุกคนในทีมที่เจ็ดตกใจเล็กน้อย ซากุระและนารูโตะมองดูซาสึเกะโดยไม่รู้ตัว
อาจารย์ซาโตรุพูดอะไรนะ ใครคืออุจิวะ โอบิโตะกัน?
ถ้าจำไม่ผิด คงเหลือแค่สองคนในตระกูลอุจิวะ นั่นคือซาสึเกะและอิทาจิไม่ใช่เหรอ?
“อุจิวะ…โอบิโตะ?” ใบหน้าของคุเรไนเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอรู้ว่าอุจิวะ โอบิโตะคือใคร เขาเป็นลูกศิษย์ของโฮคาเงะรุ่นสี่และเป็นเพื่อนของคาคาชิ
แต่ประเด็นคือโอบิโตะตายไปแล้ว
ทำไมซาโตรุถึงพูดถึงคนที่ตายไปนานแล้วล่ะ?
คุเรไนสับสนเล็กน้อย
“อาจารย์ซาโตรุ หมายความว่าไงกัน?” ซาสึเกะกำหมัดแน่นและจ้องมองซาโตรุอย่างเย็นชา
เขานั้นอยากรู้ว่าอุจิวะ โอบิโตะคือใคร
แต่สิ่งที่เขากังวลมากกว่านั้นคือดูเหมือนว่าอาจารย์ซาโตรุกำลังคิดที่จะปล่อยอิทาจิไป
“อย่าตื่นเต้นไปหน่อยเลย เธอสามารถฆ่าเขาได้เลยในตอนนี้นะถ้าเธอต้องการ” ซาโตรุหยิบคุไนขึ้นมาแล้วโยนมันต่อหน้าซาสึเกะ
"จัดการเลยสิ" ซาโตรุคว้าผมของอิทาจิ ยกอิทาจิขึ้นเขย่าแล้วพูดเบาๆ “อาจารย์ซาโตรุที่รักของเธอ จะช่วยเธอให้แก้แค้นสำเร็จเอง”
ซาโตรุมองไปที่ซาสึเกะ
หากแก้แค้นด้วยน้ำมือของผู้อื่น เจ้าเด็กอุจิวะคนนี้ก็จะสูญเสียเหตุผลในการแสวงหาความแข็งแกร่งและการมีชีวิตอยู่ไป
ซาสึเกะจับคุไนไว้และจ้องมองอิทาจิด้วยความโกรธพร้อมกับเนตรวงแหวนสีแดงสามหยดน้ำของเขา
ภาพค่ำคืนแห่งการฆ่าล้างตระกูลปรากฏขึ้นในความคิดของเขา
พ่อแม่ของเขาต่างเสียชีวิตอย่างอนาถ สมาชิกในตระกูลถูกฆ่าและไม่มีผู้รอดชีวิตแม้แต่คนเดียว
เขาเป็นผู้ล้างแค้นและต้องใช้การตายของอิทาจิเพื่อเซ่นสังเวยแด่ตระกูลทั้งหมดที่เสียชีวิตไป
นี่เป็นแรงผลักดันหนึ่งเดียวในชีวิตของเขา
“อุจิวะ อิทาจิ!!!” ซาสึเกะวิ่งไปหาอิทาจิโดยมีคุไนอยู่ในมือ
ทันใดนั้นซาสึเกะก็พลันนึกถึงสิ่งที่ซาโตรุพูดเมื่อครู่
'อาจารย์ซาโตรุสามารถช่วยเธอแก้แค้นให้สำเร็จได้'
“ฮู่ว…แฮ่ก…แฮ่ก” ซาสึเกะหยุดกะทันหัน คุไนที่แหลมคมก็หยุดที่ลำคอของอิทาจิ เขาหอบหายใจอย่างแรง อารมณ์โกรธ เหตุผลและความเกลียดชังสลับกันไปมาอย่างสับสนในใจของเขา
ชีวิตของเขาจะมีความหมายอะไรหากเขายืมมือคนอื่นแก้แค้น?
“อย่าลังเลสิ ถ้าเธอต้องการแก้แค้นก็ทำเลยสิ เอาเลย แก้แค้นด้วยการยืมมือคนอื่นช่วย” ซาโตรุเขย่าอิทาจิด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ยเล็กน้อย สายตาของเขาจ้องมองดูซาสึเกะที่กำลังลังเลอยู่ตรงหน้า
“ถ้าไม่มีกำลังก็บอกฉันได้เลย เดี๋ยวฉันจะฆ่าอิทาจิให้ทันที”
ซาโตรุคล้ายกับกำลังพูดแดกดันและเยาะเย้ยซาสึเกะ