บทที่ 67 : กางอาณาเขต
บทที่ 67 : กางอาณาเขต
“ไม่ต้องกลัวหรอก แค่จับมือกับฉันก็พอ”
ซาโตรุชำเลืองมองคุเรไน แล้วเอามือป้องปากพร้อมกับพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า "ฉันจะบอกความลับให้เลยนะ ที่จริงความฝันของคุเรไนจังคือการจับมือกับฉันล่ะ"
ทุกคนในทีมที่เจ็ดมองคุเรไนด้วยความประหลาดใจ
คุเรไนโต้กลับทันที “ไม่ใช่นะ!”
“ไม่ได้มีจิตสังหารแผ่ออกมา งั้นก็มาลองดูกันสักหน่อย” คิซาเมะขมวดคิ้วเล็กน้อย หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เดินไปหาซาโตรุ
เขารู้สึกว่าซาโตรุไม่มีจิตสังหารเลยสักนิดเดียว
ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหรอกใช่ไหม?
ยิ่งไปกว่านั้น หากเขาประชิดตัวกับซาโตรุได้ ก็ย่อมสามารถโจมตีโดนได้แน่
“ถ้าจะจับมือก็กล้าๆ หน่อย ไม่งั้นจะถูกเกลียดเพราะการตีสองหน้าเอาได้นะ” ซาโตรุใช้อมยิ้มชี้ไปที่หัวใจของคิซาเมะ
คิซาเมะแอบพูดในใจ
'ซาโตรุคนนี้ไม่รู้เลยว่าอวดดีหรือเพียงไม่สนโลก'
พูดคุยและหัวเราะกับศัตรูเนี่ยนะ?
เหตุใดถึงไม่รู้สึกกังวลเลย
คิซาเมะยกมือขึ้นแล้วจับไปที่มือของซาโตรุ แต่มือของเขาไม่สามารถสัมผัสกับมือของซาโตรุได้ เหมือนถูกกำแพงกั้นไว้
คิซาเมะดูสับสน ไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถแตะต้องซาโตรุได้
เหมือนมันถูกผลักออกไปด้วยพลังที่มองไม่เห็น
“ดูสิ ระยะห่างระหว่างนายกับฉันนั้นเป็นอนันต์ ไม่ว่านายจะพยายามแค่ไหน นายก็ไม่สามารถข้ามช่องว่างนี้ได้หรอก” ซาโตรุจับมือคิซาเมะ
ทั้งสองประสานมือของพวกเขาเข้าด้วยกัน
“แต่ฉันสามารถสัมผัสนายได้” ซาโตรุยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยและน้ำเสียงของเขาก็ค่อนข้างกวนประสาท
ทุกคนในทีมที่เจ็ดอยากจะบ่น แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี
วิธีการพูดของอาจารย์ซาโตรุมันคลุมเครือเกินไป!
มันคงจะปกติแหละถ้าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิงสวย แต่อีกฝ่ายดันเป็นผู้ชายหน้าฉลามเนี่ยสิ
ฮึ…
“ไอ้สารเลว…ปล่อยฉันนะ!” คิซาเมะรู้สึกได้ถึงวิกฤตและคิดที่จะถอนมือออกทันที แต่ก็ถูกซาโตรุจับไว้อย่างแน่นหนา
“ไม่ต้องเขินหรอกน่า เรามาเล่นต่อกันดีกว่า” ซาโตรุเอามือออกจากกระเป๋ากางเกง ส่งหมัดของเขาออกไป และโจมตีที่ท้องคิซาเมะอย่างแรง
*ปัง*
คิซาเมะถูกต่อยอย่างแรง ท้องของเขาจมลงไป อวัยวะภายในของเขาสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และเลือดจำนวนมากก็ไหลออกมาจากปากของเขา
เลือดสีแดงฉานลอยหยุดนิ่งตรงหน้าซาโตรุ จากนั้นมันได้แยกออกเป็นสองทางและร่วงลงไปที่พื้น
"[ดาบหนังฉลามซาเมฮาดะ]!" คิซาเมโต้ตอบอย่างรวดเร็ว เขาจับซาเมฮาดะไว้และผ้าที่พันอยู่ก็หลุดออกไป มันกลายเป็นปากใหญ่ๆ ราวกับสิ่งมีชีวิต มันพยายามกัดชิ้นเนื้อของซาโตรุ แต่กลับไม่สามารถแตะต้องซาโตรุได้เลย
“นายไม่เข้าใจเหรอ พูดง่ายๆ ก็คือนายไม่สามารถแตะต้องฉันได้ด้วยการโจมตีใดๆ ของนายทั้งสิ้น แต่ฉันสามารถโจมตีนายได้ตลอดเวลา ดูเหมือนความสามารถที่ขี้โกงเลยสินะ นายคิดแบบนั้นใช่ไหม?” ซาโตรุต่อยคิซาเมะอย่างแรงที่ท้องหลายครั้งภายในเวลาเสี้ยววินาที และตัวเขาเองก็คุยโม้ไปด้วย
*ตุ้บ ตุ้บ ตุ้บ*
ด้วยหมัดที่ส่งไปหลายครั้งในลมหายใจเดียว คิซาเมะก็กระเด็นออกไป และลอยอยู่ในอากาศ ไม่นานเขาก็กระแทกร่วงลงมาที่พื้นอย่างรุนแรง และกระอักเลือดสีแดงออกมาเต็มปาก
อวัยวะภายในของเขาฉีกขาดไปหมดแล้ว
“ช่างแข็งแกร่งเหลือเกิน…” คิซาเมะจ้องไปที่ซาโตรุด้วยสาตายที่ว่างเปล่า มีเลือดติดอยู่ที่มุมปากเขาอีกด้วย
เขาตกอยู่ภภวังค์สักพักหลังจากถูกทุบตี สมองของเขาจึงไม่สามารถทำงานได้ชั่วขณะหนึ่ง
เขาได้ยินมาว่าซาโตรุมีขีดกำจัดของสายเลือดที่แข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นเขาจึงอยากปะทะกับซาโตรุมาโดยตลอด
เมื่ออิทาจิขอให้เขาหยุดซาโตรุ ตอนนั้นเขาก็รู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะในที่สุดเขาจะได้มีโอกาสต่อสู้กับซาโตรุแล้ว
ทันทีที่เขาต่อสู้กับซาโตรุแล้ว เขาจึงค่อยๆ เริ่มตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายนั้นแข็งแกร่งเพียงใด
ซาโตรุแข็งแกร่งมาก ผู้ชายคนนี้ที่ดูเหมือนจะมีรอยยิ้มที่ไม่เป็นอันตราย แต่แท้จริงแล้วเขาน่ากลัวมาก
พูดคุยและหัวเราะกับศัตรูอย่างใจเย็น?
ไม่ใช่เลย
ซาโตรุกำลังเล่นกับศัตรูอยู่ต่างหาก!
การให้ความหวังแก่ศัตรูถือเป็นการสร้างความรุนแรงทางจิตใจต่อศัตรู
ไอ้สารเลว!
คิซาเมะสับสน เขาจ้องมองไปที่อิทาจิที่อยู่ไกลๆ
'อิทาจิ เขาคงจะรู้ถึงความแข็งแกร่งของยางิว ซาโตรุอยู่แล้วใช่ไหม?'
เมื่อรู้ถึงความแข็งแกร่งของซาโตรุ อีกฝ่ายจึงมาขอให้เขาเป็นคนหยุดซาโตรุ
นี่…เหมือนกับขอให้เข้าไปในประตูนรกเลยไม่ใช่เหรอ?
“จักระนี้…ทำไมถึงดูเหมือนกับ?”
อิทาจิขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาสัมผัสได้ถึงจักระที่แข็งแกร่งในความมืด
มันคล้ายกับจักระของผู้นำที่แท้จริงของกลุ่มแสงอุษา ชายสวมหน้ากากที่เรียกตัวเองว่า อุจิวะ มาดาระ!
เรื่องชักจะซับซ้อนเสียแล้ว
ในตอนแรก เขาวางแผนที่จะใช้ซาโตรุเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากับคิซาเมะ จากนั้นใช้ข้ออ้างว่าล้มเหลวในการจับเก้าหางแล้วค่อยจึงกลับไปหาแสงอุษา
แต่ตอนนี้มันแตกต่างออกไป
หากเขาทำแค่ยืนดูต่อไป เขาอาจกระตุ้นความสงสัยของชายสวมหน้ากากเอาได้
เมื่อถึงเวลานั้น หากชายสวมหน้ากากทำอะไรที่ไม่สมควร มันอาจส่งผลกระทบต่อแผนสุดท้ายได้
อิทาจิมองดูซาสึเกะในระยะไกลด้วยสีหน้าไม่แยแส
'ขอโทษนะ คุณซาโตรุ'
ตอนนี้ฉันต้องลงมือแล้ว ถึงไม่ใช่เพื่อจับเก้าหาง ก็เพื่อคิซาเมะ
“ซาโตรุ ขีดกำจัดของสายเลือดของนายนั้นมีความสามารถที่แปลกมากจริงๆ” อิทาจิกระโดดลงไปอยู่ตรงหน้าซาโตรุ
“แต่นายมีจุดอ่อนร้ายแรงอยู่ นั่นคือดวงตาของฉัน อย่างนายคงไม่สามารถป้องกันภาพลวงตาได้หรอก” จักระของอิทาจิรวมกันอยู่ที่ดวงตาของเขา หยดน้ำทั้งสามในดวงตาของเขากลายเป็นลวดลายมังกรคล้ายกับกังหันลม
“ซาโตรุ ฉันช่วยนายเอง” คุเรไนดึงคุไนออกมาและกำลังจะโจมตีอิทาจิ เธอรู้ว่าระหว่างพวกเขานั้นมีความแข็งแกร่งที่ต่างกันมาก แต่เมื่อเธอนั้นกลับกังวลเรื่องซาโตรุมากกว่า
เพราะเธอเองก็พอรู้จุดอ่อนของซาโตรุด้วย
ขีดกำจัดของสายเลือดของซาโตรุไม่สามารถป้องกันการโจมตีจากคาถาลวงตาได้
นารุโตะเริ่มรู้สึก "คาถาลวงตาจะมีผลกับอาจารย์ด้วยเหรอ?"
"ก็มีล่ะมั้ง" ซาโตรุดูดอมยิ้มแล้วมองอิทาจิเบาๆ เนตรวงแหวนกระจกเงาหมื่นบุปผาที่มีรูปร่างคล้ายกังหันลมนั่น
การโจมตีด้วยคาถาลวงตานั้นมีผลต่อเขามากจริงๆ
โดยเฉพาะพวกคาถาขั้นสูงเช่น คาถาลวงตาอ่านจันทรานิรันดร์ มันก็ส่งผลต่อเขามากพอสมควร
“คาถาลวงตาอ่านจันทรานิรันดร์งั้นเหรอ?” ซาโตรุกล่าวกับตนเอง
ความสามารถของตาทิพย์หรือริคุกันนั้นเป็นความสามารถแบบรอบทิศทาง ดังนั้นแม้จะหลับตาลง เขาก็ยังสามารถโจมตีคาถาลวงตาอ่านจันทรานิรันดร์ของอิทาจิได้
"ถือไว้ดีๆ นะ พอดีมันแพงมาก" ซาโตรุถอดแว่นกันแดดออกแล้วโยนให้คุเรไน เผยให้เห็นดวงตาสีฟ้าสดใสคู่หนึ่ง
หลังจากที่แว่นกันแดดถูกโยนออกไป แว่นก็ตกอยู่ในมือของคุเรไน
ทุกคนในทีมที่เจ็ดต่างงุนงงและมองตาของซาโตรุด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เพราะซาโตรุมักจะสวมแว่นกันแดด นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ทุกคนในทีมที่เจ็ดได้เห็นดวงตาที่แท้จริงของซาโตรุ
ซากุระพึมพำโดยไม่รู้ตัว “ดวงตาสวยมาก”
“ขอโทษด้วยนะคุณซาโตรุ แต่ผมคงต้องใช้พลังที่แท้จริงของตระกูลอุจิวะแล้ว” อิทาจิพึมพำกับตนเองพร้อมกับหลับตาขวา จักระทั้งหมดไปรวมกันอยู่ที่ตาซ้ายของเขา และหยดน้ำในตาของเขาก็เริ่มหมุน
"[อ่านจันทรานิรันดร์]!" ตาซ้ายของอิทาจิมีเลือดไหลออกมา ที่จริงแล้ว หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ เขาวางแผนที่จะหนีออกจากหมู่บ้านพร้อมกับคิซาเมะ
แต่เพราะว่าอุจิวะ มาดาระ ชายสวมหน้ากากผู้นั้นกำลังเฝ้าดูทุกสิ่งอย่างในมุมหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงได้แต่ต้องลงมือ
“เจ้าพวกเด็กเหลือขอทั้งหลาย ดุไว้ซะ ฉันจะทำให้ดูแค่ครั้งเดียวเท่านั้น” ซาโตรุยกมือขึ้นแล้วไขว้นิ้วชี้กับนิ้วกลางของเขา
“นี่คือพลังที่เหนือกว่าขอบเขตของนินจา”
"[กางอาณาเขต ∙ พรมแดนไร้เขต]"