บทที่ 119-120
ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay
บทที่ 120: ผู้ใดบอกว่าเราไม่มีขุ่นเคืองใจ มันมีมากจนแทบล้นออกมาด้วยซ้ำไป!
ต้องรู้กันก่อวว่าตัวตนของนางเป็นความลับสุดยอด!
ยกเว้นคนที่ใกล้ชิดกับนาง ก็คงไม่มีใครรู้แล้ว ทว่าชายผู้อยู่เบื้องหน้านางนนี้กลับรู้ได้เช่นไร
หลินเป่ยฟานยิ้มออกมาอย่างบางเบา “เพราะท่านเพิ่งใช้วิชาฝังวิญญาณเพื่อพยายามล่อลวงเข้ามาในจิตวิญญาณของข้า! เท่าที่ข้ารู้ มีเพียงไม่กี่กลุ่มเท่านั้นที่มีวิชาลับเช่นนี้ ราชวงศ์เซียนเยว่ที่ล่มสลายก็คงเป็นหนึ่งในนั้น มันเป็นความลับที่ได้รับการปกปิดไว้ พวกเขาจะสอนมันให้แก่สตรีในราชวงศ์ผู้มีเรือนร่างน่าหลงใหลเท่านั้น! อันที่จริง ตัวข้าไม่ค่อยมั่นใจในตัวตนของท่านสักเท่าไร แต่...”
หลินเป่ยฟานชี้ไปที่กริชในมือของสาวใช้และกล่าวว่า “เพราะกริชนี้ต่างหาก! เท่าที่ข้ารู้มา ราชวงศ์เซียนเยว่เคยได้รับอุกกาบาตนอกโลกมาชิ้นหนึ่ง มันไม่สามารถทำลายได้และเป็นหินสีดำคล้ายดั่งหมึก พวกเขาใช้มันเพื่อสร้างชุดกริชที่เรียกว่า ‘คมน้ำหมึก’ ซึ่งจะมอบให้แก่นักรบที่ซื่อสัตย์ที่สุด เพื่อให้กลายเป็นองครักษ์ส่วนตัวของสมาชิกราชวงศ์ที่สำคัญ!”
“สาวใช้ของท่านคงมีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ นางพุ่งเข้ามาโดยไม่ลังเล ทั้งยังดึงคมน้ำหมึกออกมา เห็นได้ชัดว่านางคุ้นเคยกับการใช้มัน! ดังนั้นข้าจึได้งคาดเดาอย่างกล้าหาญ ไม่คาดคิดเลยว่ามันจะเป็นจริง!”
ซือเย่ว์เหลือบมองหลินเป่ยฟานอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะกล่าวว่า “ท่านขุนนางระดับสูง ตัวท่านมีความรู้มากมายนัก เพียงวิชาและกริชเล่มนนี้ ท่านก็รู้ถึงตัวตนของข้าเสียแล้ว ข้าขอชื่นชม!”
“ท่านยกยอข้าเกินไป!” หลินเป่ยฟานยิ้มเยาะออกมา
แท้จริงแล้ว เขาพึ่งพาระบบของเขาต่างหาก ตราบใดที่บางสิ่งมีค่า มันก็หนีไม่พ้นจากการตรวจสอบของเขา
เพราะกริชนี้มีค่ามาก ดังนั้นเขาจึงรู้ได้ในทันที
“แต่บางครั้ง การรู้มากยิ่งทำให้ชีวิตของท่านยิ่งสั้นลงเท่านั้น! ตัวตนของข้าเป็นสิ่งอ่อนไหว เมื่อรู้แล้ว ข้าก็คงจะปล่อยให้ท่านมีชีวิตอยู่ไม่ได้!” สายตาของซือเย่ว์พลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา
“องค์หญิง เช่นนั้นก็ฆ่าเขาเถิด!” ดวงตาของสาวใช้เปล่งประกายเย็นชาออกมา ดูเหมือนนางพร้อมที่จะเคลื่อนไหวแล้ว
หลินเป่ยฟานกล่าวอย่างมั่นใจว่า “ท่านไม่กล้าแตะต้องข้าอย่างแน่นอน!”
ซือเย่ว์ถามทันที “ทำไมถึงกล่าวเช่นนั้นล่ะ?”
หลินเป่ยฟานยิ้มอย่างใจเย็น “เพราะนครแห่งนี้เต็มไปด้วยผู้มากวรยุทธ์ มีทหารและผู้ฝึกยุทธ์หลายหมื่นคนคอยเฝ้าระวังอยู่! ข้าเป็นขุนนางที่ได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนัก ตอนนี้ข้ายังเป็นที่โปรดปรานของจักรพรรดินีองค์ปัจจุบันด้วย ถ้าท่านฆ่าข้า มันก็จะกระตุ้นความโกรธของนางอย่างแน่นอน! ยอดฝีมือทุกคนต่างอยู่ที่นครหลวง ไม่ว่าไปแห่งหนใดก็สามารถพบเจอได้โดยง่าย ท่านและคนของท่านย่อมไม่มีที่ให้หนี!”
ซื่อเยว่ขู่กลับไปว่า “ข้าสามารถจับเจ้าเป็นตัวประกันและค่อยฆ่าหลังหาทางออกจากนครก็ได้ไม่ใช่หรือ?!”
หลินเป่ยฟานส่ายศีรษะ “ท่านไม่มีโอกาสทำเช่นนั้นหรอก”
ซือเย่ว์ถามทันทีอีกครา “ทำไมถึงกล่าวเช่นนั้นล่ะ?”
“เพราะพระชราผู้ใฝ่หาทางธรรมที่อยู่ในคฤหาสน์ของข้ามีพลังระดับปรมาจรย์ ท่านคิดว่าจะพาข้าออกจากเมืองทั้งที่มียอดฝีมือระดับปรมาจารย์คอยเฝ้ามองได้งั้นเหรอ?” หลินเป่ยฟานยิ้ม
ซือเย่ว์รู้สึกประหลาดใจยิ่ง “พระชราองค์นั้นเป็นยอดฝีมือระดับปรมาจารย์งั้นหรือ!”
ระดับปรมาจารย์นั่นคือจุดสูงสุดของพลังของโลกใบนี้แล้ว!
ในสามขั้นของระดับปรมาจารย์ พวกเขาแข็งแกร่งไร้เทียมทาน สามารถต่อกรกับกองนับพันได้ด้วยมือเดียว!
ไม่มีใครสามารถเผชิญหน้ากับผู้มีพลังระดับปรมาจารย์ได้เลย!
คนเดียวที่สามารถต่อกรกับปรมาจารย์ได้ก็คือผู้มีระดับปรมาจารย์เช่นกัน!
ซือเย่ว์ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะมีปรมาจารย์อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ของหลินเป่ยฟาน!
สถานการณ์กลับกลายเป็นเรื่องยุ่งยากเสียแล้ว!
การหาเรื่องราชสำนักไม่น่ากลัวหรอก เพราะยังไงมันก็พอมีทางรอด!
แต่ถ้าเจ้าทำให้ปรมาจารย์ขุ่นเคือง เจ้าจะต้องถูกตามล่าอย่างแน่นอนโดยไม่มีทางหนีรอดไปได้!
“เจ้า…ไม่ได้กำลังกล่าววาจาโป้ปดใช่ไหม?” ซือเย่ว์ตกตะลึง
“ข้ารับประกันได้ว่ามันเป็นเรื่องจริง ถ้าท่านไม่เชื่อก็ลองดู!” หลินเป่ยฟานยิ้มออกมา
ใบหน้าของซือเย่ว์เต็มไปด้วยความรู้สึกประหลาด นางคิดว่าด้วยการใช้เคล็ดวิชาหยกวิญญาณม่วงของนางจะสามารถทำให้อีกฝ่ายหลงเสน่ห์และทำให้เขารับใช้นางได้
นางไม่ได้คาดคิดเลยว่าเขาจะไม่ได้รับผลจากพลังของนางสักนิดเดียว
อีกทั้งเขายังจำตัวตนของนางได้ ทำให้ไม่สามารถฆ่าเขาหรือพาเขาไปได้
นางรู้สึกเหมือนกำลังจัดการกับเม่น ไม่ว่านางจะสัมผัสมันเช่นไร นางก็จะถูกทิ่มแทงอยู่ดี
“ท่านหญิงซือเย่ว์ เรามานั่งคุยกันดีๆ ก่อนเถิด! นอกจากนี้ ได้โปรดขอให้สาวใช้ของท่านเล่นกู่เจิงต่อเถิด มิเช่นนั้นมันอาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้!” หลินเป่ยฟานยิ้มและเชิญซือเย่ว์ให้นั่งลงอีกครั้ง
"เหอะ! ระหว่างเรามีอะไรให้คุยกันอีก?” ซือเย่ว์นั่งลงอย่างไม่สนใจนัก ในขณะเดียวกัน นางก็สั่งให้สาวใช้ของนางเล่นกู่เจิงต่อเพื่อปกปิดการสนทนาของพวกเขา
“ข้าคิดไม่ออกเลย ท่านหญิงซือเย่ว์ ไฉนท่านถึงพยายามทำร้ายข้า?” หลินเป่ยฟานถามอย่างสับสน “เราต่างเป็นคนแปลกหน้า ไม่มีความขุ่นเคืองหรือความคับข้องใจส่วนตัว เป็นไปได้ไหมว่าท่านแค่ต้องการใช้ข้าเพื่อจุดประสงค์ของท่านเอง?”
"ผู้ใดบอกว่าเราไม่มีความขุ่นเคืองต่อกัน มันมีมากจนแทบล้นออกมาด้วยซ้ำไป!" ซือเย่ว์กัดฟันแน่นและจ้องไปที่หลินเป่ยฟาน
“ได้โปรดบอกข้าด้วย!” หลินเป่ยฟานกล่าว
ซือเย่ว์พลันอธิบายความคับข้องใจของนางให้เขาฟังทันที ก่อนหน้านี้ พวกนางได้หลอกลวงราษฎรในเจียงตะวันออก ด้วยชื่อนิกายเทียนอี้เพื่อวางแผนที่จะก่อกบฏ สถานการณ์กำลังพัฒนาไปตามแผน แต่หลินเป่ยฟานกลับมองเห็นผ่านความตั้งใจจริงของพวกนางและเปิดเผยกลอุบายในการหลอกลวงประชาชนอย่างง่ายดาย ทำให้ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้ของพวกนางสูญเปล่า ยามนี้พวกนางกลายเป็นเหมือนหนูข้ามถนนที่ราชสำนักต้องการตัว
“เจ้าไม่คิดว่าความแค้นนี้จะยิ่งใหญ่เลยหรือ? ความขุ่นเคืองนี้คิดว่ามันเล็กน้อยหรือไงกัน?” ซือเย่ว์ขบเขี้ยวฟันแน่น
"ข้าไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นเช่นนี้” หลินเป่ยฟานได้แต่ถอนหายใจออกมา
ปรากฎว่าเขาไปก่อเรื่องโดยบังเอิญ ไม่น่าแปลกใจเลยที่พวกนางมาตามหาเขา!
“แต่กระนั้นข้าก็สับสนมากอยู่ดี ราชวงศ์ต้าเยว่เป็นผู้ทำลายล้างอาณาจักรของท่าน ไฉนเลยถึงมาก่อปัญหาให้อาณาจักรอู๋อันแสนยิ่งใหญ่?” หลินเป่ยฟานตบหน้าผากของเขาอย่างแรง ก่อนจะเอ่ยถามออกมา “อา ข้าเข้าใจแล้ว คงต้องการจัดการเลือกผู้ที่อ่อนแอกว่าสินะ!”
ซือเย่ว์มองหลินเป่ยฟาน จากนั้นจึงกล่าวด้วยความเกลียดชัง “เจ้าพูดถูกแล้ว! ราชวงศ์เซียนเยว่ได้ถูกทำลายโดยราชวงศ์ต้าเยว่เมื่อยี่สิบปีก่อน ในเวลานั้นข้ายังเป็นเด็กที่อายุไม่ถึงห้าขวบและโชคดีที่รอดพ้นจากเภทภัยมาได้ ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา ข้าคิดหนทางที่จะฟื้นฟูอาณาจักรของข้าและหาทางแก้แค้นให้กับบิดามารดาของข้า!”
“แต่การคิดย่อมง่ายกว่าการทำ!” ใบหน้าของซือเย่ว์เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง “ในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา ราชวงศ์ต้าเยว่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ด้วยกองทัพที่ทรงพลัง ความหวังในการแก้แค้นและการฟื้นฟูอาณาจักรของข้าลดน้อยลงเรื่อยๆ นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าตั้งวางความหวังกับอาณาจักรอู๋อันแสนยิ่งใหญ่!”
แสงระยิบระยับส่องประกายในดวงตาของซือเย่ว์ “ยามนี้อาณาจักรอู๋อันยิ่งใหญ่ถูกปกครองโดยกษัตริย์เบาปัญญา ล้อมรอบด้วยหมาป่าทุจริตในราชสำนัก ผู้คนต่างกำลังใช้ชีวิตอยู่ในความทุกข์ยาก! อาณาจักรอู๋แม้นเป็นอาณาจักร แต่ก็ขาดแก่นแท่ของมันไป มันอาจพังทลายได้ทุกเมื่อ ด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบในการบ่มเพาะอำนาจและสร้างระบอบการปกครองขึ้นมา!”
“ตราบใดที่ข้ายึดดินแดนแห่งหนึ่งของที่นี่ไป รวบรวมผู้คนและฝึกฝนกองทัพของตนเอง ข้าก็จะมีโอกาสแก้แค้นและฟื้นฟูอาณาจักรของข้า!”
“ยามนี้ข้าเข้าใจแล้ว” ทันใดนั้น หลินเป่ยฟานก็เข้าใจทุกอย่างในทันที
“แต่ทุกอย่างกลับถูกทำลายเพราะเจ้า!” ซือเย่ว์กล่าวอย่างขมขื่น
ทว่าต่อจากนั้น หลินเป่ยฟานก็ตอบด้วยน้ำเสียงอันดูถูก “แม้ว่าจะไม่มีข้าคอยขวาง แต่การกระทำของท่านก็ยากจะบรรลุผลอยู่ดี!”
ซือเย่ว์หงุดหงิดกับสายตาดูถูกของเขา นางกระแทกฝ่ามือของตนลงบนโต๊ะทันที “เจ้ากล้าดูถูกข้างั้นเหรอ?”
หลินเป่ยฟานเลิกคิ้วอย่างยั่วเท้า “อย่าสงสัยเลย ใช่ ข้าดูถูกท่านอยู่!”
"เจ้า!" ซือเย่ว์แทบกำลังจะหมดสติจากความโกรธ
“ยามนี้ข้าอารมณ์ดี เช่นนั้นข้าจะอธิบายให้ท่านฟังเองว่าท่านผิดพลาดตรงไหน!” หลินเป่ยฟานหัวเราะออกมา
"ได้! ข้าเองก็อยากฟังอย่างละเอียด!” ซือเย่ว์กัดฟันกรอด
“ประการแรก การเลือกสถานที่ของท่านไม่ถูกต้อง!”
“แล้วมันผิดตรงไหนกัน?” ซือเย่ว์โต้กลับไป “เหตุผลที่ข้าเลือกเจียงตะวันออกเป็นเพราะคนทั่วไปที่นั่นค่อนข้างยากจน ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร ธรรมาภิบาลของราชสำนักหละหลวม มีกองกำลังเพียงนิดนิด! นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าเริ่มต้นที่นั่น ใช้ราษฎรเป็นกำลังของข้า! ดูสิ ภายในเวลาไม่ถึงเดือน เราก็ได้พัฒนากองกำลังมานับหมื่นแล้ว!”
ขณะที่นางกล่าวเช่นนี้ ร่องรอยของความภาคภูมิใจก็ปรากฏบนใบหน้าของซือเย่ว์
หลินเป่ยฟานหัวเราะเบาๆ “ท่านตัดสินได้เช่นไรว่าการปกครองของเจียงตะวันออกนั้นหละหลวม? ท่านเองก็น่าจะพอรู้ว่าที่นั่นไม่มีอ๋องอยู่ใช่หรือไม่! ทว่าตั้งแต่บนลงล่าง ที่นั่นล้วนถูกควบคุมโดยราชสำนักเสมอมา เหตุผลที่มีกองกำลังเพียงน้อยลง เพราะไม่มีเหตุจำเป็นต้องประจำการที่นั่น! ท่านคิดว่าราชสำนักอู๋ที่ยิ่งใหญ่เป็นเพียงเสือไร้เขี้ยวงั้นหรือ?”
“มันก็…ถูกแล้วไม่ใช่หรือ?” ซือเย่ว์รู้สึกสับสนเล็กน้อย
“จำไว้ว่ากระทั่งอูฐผอมตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า!”
หลินเป่ยฟานเยาะเย้ย “ยามนี้ราชสำนักของอาณาจักรอู๋อันแสนยิ่งใหญ่ยังคงอยู่ พวกเขายังคงเป็นมหาอำนาจเฉกเช่นเดิม! ถึงอ๋องมากมายจะพยายามเพิ่มความแข็งแกร่งอย่างรวดเร็ว แต่พวกเขาก็ทำได้เพียงเคลื่อนไหวอย่างลับๆ และไม่กล้าที่จะต่อต้านราชสำนักอย่างเปิดเผย! แต่ท่านกลับกล้าแสดงตนในอาณาจักรอู๋ กระทำการลึกลับและหลอกลวงราษฎร หวังโค่นล้มระบอบการปกครอง นั่นไม่ใช่การรนความตายหรอกหรือ?”
“หากว่าข้าไม่มาขวางทางท่าน นั่นมันก็คงผิดปกติแล้ว!”
ซือเย่ว์ถูกตำหนิจนกล่าววาจาใดไม่ออก หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางก็ตระหนักว่ามันเป็นความจริง ทว่านางก็ปฏิเสธที่จะยอมรับและตอบโต้ไปว่า “ถ้าไม่ใช่ที่นี่แล้ว ข้าควรเลือกที่ไหนกัน? ข้าควรเลือกดินแดนของอ๋องคนอื่นงั้นหรือ? แต่พวกเขามีกองทัพที่แข็งแกร่งและน่าเกรงขาม ข้าจะกบฏต่อพวกเขาได้เช่นไร?”
“ใช่แล้ว ท่านควรเลือกดินแดนของอ๋องต่างหาก!” หลินเป่ยฟานปรบมือและหัวเราะ “ก่อปัญหาในดินแดนของพวกเขา ภายใต้หน้ากากของผู้ต้องการต่อต้านราชสำนัก! ศัตรูของศัตรูคือมิตรสหาย อ๋องเหล่านั้นคงจะทำเป็นมองไม่เห็น บางครั้งพวกเขาอาจหยิบยื่นบางสิ่งให้ท่านด้วยซ้ำ! อีกทั้งราชสำนักก็จะไม่สามารถยื่นมือออกมาได้ เพราะว่ามันอยู่เหนือขอบเขต! ด้วยวิธีนี้ ทุกอย่างล้วนเป็นไปโดยดี!”
“นอกจากนี้ ท่านยังอาจร่วมมือกับอ๋องที่อยู่ในพื้นที่นั้นได้ด้วย! ผิวเผินท่านเพียงแค่ต้องทำเป็นยอมจำนนต่อพวกเขา ทว่าท่านก็จะสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรของพวกเขาเพื่อการซ่องสุมอำนาจได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สุดท้ายพวกเขาจะเป็นผู้รับผิดแทนท่านที่กำลังสั่งสมอำนาจไว้อย่างลับๆ! นี่ไม่ใช่แผนการที่ดีเลยหรือ?”
ซือเย่ว์รู้สึกประทับใจอย่างมากกับสิ่งที่นางเพิ่งได้ยินมา
จริงสิ ทำไมข้าถึงคิดแบบนั้นไม่ได้กัน?
การเลือกดินแดนของอ๋องนั้นเห็นได้ชัดว่ามีประโยชน์มากกว่า!
เหล่าอ๋องคงไม่จัดการกับนาง ราชสำนักก็ไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย พวกนางสามารถใช้แผนการเช่นนี้ได้!
อีกทั้งบางทียังอาจได้ร่วมมือกับอ๋องบางคนด้วย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกนางก็จะเป็นฝ่ายได้เปรียบ!
ในขณะเดียวกัน นางก็สามารถซ่องสุมกองกำลังไปช้าๆ รักษาอำนาจเอาไว้!
เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม พวกนางก็จะสามารถจุดไฟทุ่งหญ้าได้!
“ว่าแต่ยามนี้ ท่านกำลังขาดกำลังคนหรือทรัพยากร?” หลินเป่ยฟานเอ่ยถาม
“เราไม่ขาดทรัพยากร ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของกำลังคน!” ซือเย่ว์กล่าว
“เช่นนั้นก็ไปที่อู๋ซี!” หลินเป่ยฟานตบต้นขาของเขา
“แต่อู๋ซีมีดินแดนที่กว้างใหญ่ มีคนเพียงไม่กี่คน…”
“ถูกต้องแล้ว เพราะมันมีดินแดนกว้างใหญ่และมีคนไม่กี่คน เช่นนั้นท่านจึงควรไป!” หลินเป่ยฟานยิ้ม “แม้ว่าที่นั่นอาจจะดูมีประชากรน้อย แต่ในความเป็นจริงประชากรของพวกเขาไม่น้อยเลย เพียงแค่พื้นที่มันมีขนาดใหญ่ จึงทำให้ดูเหมือนว่ามีผู้คนน้อยเกินไป! ไม่เช่นนั้นอู๋ซีคงจะไม่สามารถยกกองทัพนับล้านได้!”
“การเริ่มต้นการกบฏที่นั่นคงจะสำเร็จได้อย่างง่ายดาย! พวกเขาไม่ได้ขาดผู้คน แต่พวกเขาขาดทรัพยากรและความมั่งคั่ง ในเมื่อท่านมีเงินตรา ท่านก็สามารถรวบรวมกองกำลังได้อย่างง่ายดาย! เมื่อเทียบกับพื้นที่ปิดขนาดเล็กแล้ว ท่านคงสามารถทำทุกอย่างได้ที่นั่นตามใจนึก! เพราะว่ามันมีดินแดนอันกว้างใหญ่ การซ่อนเร้นจึงเป็นเรื่องที่ง่ายดายนัก ไม่มีทางถูกกำจัดได้เลย!”
“ด้วยการพัฒนาและสะสมอำนาจอย่างช้าๆ ท่านจะแข็งแกร่งขึ้นมาเป็นแน่! นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมท่านถึงไม่เลือกสถานที่ที่ดีแบบนั้น แต่กลับมาเลือกเจียงตะวันออกเช่นนี้ หรือท่านเสียสติไปแล้ว?”
ใบหน้าของซือเย่ว์เปลี่ยนเป็นสีแดงจากการถูกดูถูก!
นางพยายามที่จะหักล้าง แต่แล้วก็รู้สึกว่า...
อีกฝ่ายพูดถูกทุกประการ!
“แต่ถ้าเราซ่องสุมกองกำลังที่นั่น เราจะต้องเผชิญหน้ากับกองทัพที่แข็งแกร่งนับล้านของกงแห่งอู๋ซี นั่นเป็นเหตุผลที่เราไม่ได้เลือกอู๋ซีตั้งแต่แรก!” ดวงตาที่สวยงามของซือเย่ว์เผยความกังวลของนางออกมา
“กองทัพที่แข็งแกร่งเป็นล้านย่อมเป็นเพียงการข่มขู่ ไม่มีสิ่งใดต้องกลัว! ท่านเคยได้ยินเรื่องสงครามกองโจรหรือไม่? ท่านเคยได้ยินเรื่องสงครามอุโมงค์หรือไม่? ตราบใดที่ท่านเชี่ยวชาญยุทธวิธีทั้งสองนี้ กงแห่งอู๋ซีย่อมไม่สามารถทำอะไรท่านได้!” หลินเป่ยฟานยิ้มเยาะออกมา
“ข้าไม่เคยได้ยินยุทธวิธีในการทำสงครามสองอย่างนี้มาก่อนเลย ท่านหลิน คือว่าพอที่จะ...?” ซือเย่ว์กล่าววาจาสุภาพเพื่อขอคำแนะนำทันที
“ในเมื่อท่านไม่เคยได้ยินยุทธวิธีทั้งสอง เช่นนั้นก็ช่างเถิด ไว้พูดคุยกันในอนาคตเมื่อมีโอกาสอีก!” หลินเป่ยฟานโบกมือไปมา
ซือเย่ว์ได้แต่เงียบกริบไป
ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay
ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay
บทที่ 119: แม่นางซือเย่ว์ ได้โปรดหักห้ามอารมณ์ไว้ ข้ามิใช่มารดาของท่าน!
ท่ามกลางความคาดหวังของฝูงชน ซือเย่ว์ก็ยิ้มออกมาและกล่าวว่า “ตัวข้าผู้นี้รู้สึกสุนทรีกับบทกวีของท่านขุนนางระดับสูงอย่างมาก! ด้วยคำพูดร้อยอักษร กลับสามารถแสดงออกถึงความเสน่ห์หาและอารมณ์ของจันทราที่สว่างไสวได้อย่างสมบูรณ์แบบ! ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้ชนะการชุมนุมบทกวีนี้จะเป็นใครอื่นนอกจากท่านหลินเป่ยฟาน!”
“ยอดเยี่ยม…” ทุกคนตะโกนออกมาอย่างเห็นด้วย
สาวใช้ที่มีใบหน้ายิ้มแย้มก็กำลังจะยกสมบัติออกมา “ท่านขุนนางระดับสูง นี่คือรางวัลที่ท่านจะได้รับ!”
“ภาพทิวทัศน์ฤดูใบไม้ร่วงบนภูเขาหิมะ!”
“เหล้าเกล็ดหิมะชั้นเลิศ!”
หลินเป่ยฟานยิ้มและกล่าวว่า “ข้าขอรับภาพวาดภูเขาหิมะยามฤดูใบไม้ร่วงไป! ส่วนเรื่องเหล้านั้น มันเคยมีคำกล่าวที่ว่าเพื่อนแท้หายากยามเมื่อน้ำเมาได้หลั่งริน เราทุกคนล้วนเป็นสหาย ทว่ากลับไม่ค่อยได้มารวมตัวกันนัก เช่นนั้นทำไมเราไม่เปิดมันและดื่มอวยพรกันคนละถ้วยเลยเล่า?”
"ยอดเยี่ยมเหลือเกิน! ท่านหลินช่างเป็นคนใจกว้างอย่างแท้จริง!”
“ขอบคุณท่านหลิน!”
…
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนก็ร่าเริงยิ่ง
ผลก็คือ เหล้าเกล็ดหิมะได้ถูกเปิดออกและกลิ่นหอมตลบอบอวลของมันก็ล่องลอยไปทั่วอากาศ
แต่ละคนยกถ้วยและขนมปังขึ้นมา “แด่ท่านหลิน แด่แม่นางซือเย่ว์ สู่ดินแดนอันงดงามและสายธารแห่งอาณาจักรอู๋!”
จากนั้นพวกเขาก็ดื่มมันลงไปทั้งหมดในคราเดียว ทำให้บรรยากาศคึกคักยิ่ง!
คุณหนูซือเย่ว์ก็รู้สึกตื่นเต้นมากเช่นกัน
เพราะในที่สุดนางก็สามารถดำเนินการตามแผนการของนางได้แล้ว!
ขณะที่ย่างก้าวไปอย่างสง่างาม นางก็เดินไปที่ด้านข้างของหลินเป่ยฟานอย่างเชื่องช้าพร้อมกับรอยยิ้มประดับบนใบหน้าของนาง “ท่านหลิน ท่านคู่ควรที่จะเป็นผู้ชนะในราตรีนี้อย่างแท้จริง! คงเป็นเวลาที่ตัวข้าจักต้องทำตามสัญญาแล้ว ได้โปรดมากับข้าด้วย”
หลินเป่ยฟานโบกมือพร้อมด้วยรอยยิ้มและกล่าวว่า “ข้าว่ามันคงไม่จำเป็นหรอกกระมัง? ข้าเข้าใจเจตนาดีของแม่นางซือเย่ว์ แต่…”
ซือเย่ว์มองไปที่เขาด้วยแววตาอันน่าสงสาร ก่อนจะกล่าวว่า “หรือว่าท่านหลินต้องการปฏิบัติต่อหญิงสาวผู้นี้อย่างไม่ยุติธรรมงั้นหรือ?”
“ไม่ใช่เช่นนั้น! แต่เพราะตัวข้าเป็นบุรุษที่แต่งงานแล้ว มันคงไม่เหมาะสมนักที่บุรุษเยี่ยงข้าและสตรีเช่นแม่นางจะอยู่ด้วยกันตามลำพังในห้อง…”
“หยุดกล่าววาจาไร้สาระและมากับข้าเถิด!”
ซือเย่ว์เริ่มหมดความอดทนและคว้ามือของหลินเป่ยฟานทันที จากนั้นนางก็นำเขาไปที่ห้องโถงด้านในอย่างรวดเร็ว
หลินเป่ยฟานรู้สึกสับสนยิ่ง!
เอาจริงหรือเนี่ย? ไฉนนางถึงรีบร้อนขนาดนั้น?
แม้นข้าไม่เห็นด้วย แต่นางก็ยังฉุดลากข้าไปเหรอ?
ทุกคนที่เห็นฉากนี้พลันตะลึง!
แม่นางซือเย่ว์ได้คว้ามือของขุนนางระดับสูงออกไปในทันที!
ดูเหมือนว่า…นางจะกระตือรือร้นยิ่ง!
เป็นไปได้ไหมว่านาเงองก็มีความรู้สึกต่อเขา...
ทุกคนอ้าปากค้างด้วยความตกใจ!
"เหอะ! ไอ้เจ้างี่เง่านั่น!” ท่านหญิงน้อยบ่นออกมาอย่างไม่มีความสุขนัก ทว่านางก็ยังคงหยิบเนื้อชิ้นใหญ่ขึ้นมาแทะ
หัวใจของโม่หรูซวงเต็มไปด้วยความขมขื่น แต่นางก็ไม่มีสิทธิ์ใดที่จะพูด ดังนั้นนางจึงได้แต่ยอมแพ้
คนเดียวที่มีสิทธิ์พูดคือหลี่ซือซือ ทว่านางเองก็ไม่ต้องการให้สามีของนางอับอาย นางยิ้มและจึงกล่าวกับทุกคนไปว่า “เชิญรับประทานกันก่อนเถิด อีกประเดี๋ยวท่านสามีของข้าก็คงจะกลับมา!”
ในยามนั้นเอง ซือเย่ว์ก็ได้นำหลินเป่ยฟานเข้าไปในห้องที่งดงามด้านใน
นางรู้สึกโล่งใจอย่างยิ่ง
ทันใดนั้น นางก็เพิ่งตระหนักว่านางกำลังจับมือหลินเป่ยฟานอยู่
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่นางจับมือชายอื่น ใบหน้าของนางพลันแดงเล็กน้อย นางรู้สึกเขินอายเล็กน้อย จึงได้ปล่อยมืออย่างเชื่องช้า
“นายท่านหลิน เมื่อครู่นี้ข้าหุนหันพลันแล่นเล็กน้อย ได้โปรดให้อภัยข้าด้วย!” ซือเย่ว์พยักหน้าและยิ้มออกมา
“ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจ!” หลินเป่ยฟานยิ้มออกมา
"ท่านเข้าใจหรือ?" ซือเย่ว์รู้สึกสับสน
"ใช่ คงเพราะรูปลักษณ์และความสามารถของข้า สตรีหลายนางจึงควบคุมตัวเองอย่างยิ่งเมื่อได้พบเจอข้า! แม่นางซือเย่ว์ นี่ก็ถือว่าเจ้าค่อนข้างสงวนตัวแล้ว!” หลินเป่ยฟานหัวเราะออกมา
ซือเย่ว์กลอกตาด้วยความโกรธ!
เขากล้าบอกว่านางไม่อาจควบคุมตัวเองได้เมื่อเห็นหน้าเขาเนี่ยนะ…
คิดว่าข้าเป็นคนตื้นเขินอย่างนั้นเหรอ?
ไอ้เจ้าคนหลงตัวเอง!
แต่เมื่อมองดูรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายอย่างใกล้ชิด นางก็พบว่าเขาสมควรที่จะพูดคำเช่นนี้ออกมาจริงๆ!
“นายท่านหลิน หากท่านเข้าใจก็ดี!” ซือเย่ว์กัดฟันกรอด เนื่องจากผ้าคลุมบางๆ แยกพวกเขาออกจากกัน ใบหน้าที่กลับกลายเป็นน่าเกลียดของนางจึงไม่ถูกเขามองเห็น
ทั้งสองนั่งอยู่บนพื้น มีเครื่องดื่ม ชาและของว่างวางอยู่บนโต๊ะ
อีกด้านหนึ่ง มีสาวใช้แสนสวยนั่งอยู่ มือของนางค่อยๆ บรรเลงท่วงทำนองบทเพลงอย่างไพเราะบนทางเดิน
หลินเป่ยฟานรู้สึกสับสน เขาชี้ไปยังสาวใช้ที่อยู่ไม่ไกล “แม่นางซือเย่ว์ เจ้าไม่ได้บอกว่าเจ้าจะทำตามสัญญาหรอกเหรอ? เผยใบหน้าของเจ้าและบรรเลงเพลงให้ข้าสิ ทำไมถึงได้...”
ซือเย่ว์ใช้เสน่ห์ของนางและกล่าวตอบไปว่า “นายท่านหลิน ในโอกาสประจวบเหมาะเช่นนี้ ไฉนต้องสนใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ด้วยเล่า? ไม่ใช่ว่าข้านั้นสวยมากเลยหรือ?”
หลินเป่ยฟานพยักหน้า “อืม เจ้าก็งดงามมาก แต่เช่นนี้ข้าก็ไม่รู้สิว่าเจ้าหน้าตาเป็นเช่นไร!”
ซือเย่ว์กลอกตาด้วยความหงุดหงิด สรุปเขาจะดูถูกนางหรือกำลังชมนางกันแน่?
นางจึงกล่าวไปว่า “วางใจได้เถิดนายท่าน ตัวข้าจะเปิดเผยใบหน้าของข้าให้ท่านเห็นในภายหลังเอง ท่านจะไม่ผิดหวังแน่!”
“เช่นนั้นนายท่านผู้นี้จะตั้งหน้าตั้งตารอเลย!”
ซือเย่ว์มองไปที่อาหารเลิศรสบนโต๊ะ ทันใดนั้นนางก็พูดอย่างสุภาพว่า “นายท่านหลิน ยามที่ข้านั้นหิวโหยในวัยเด็ก มารดาของข้าจะนำเค้กหอมหมื่นลี้มาให้ข้าเสมอ”
หลินเป่ยฟานมองไปที่เค้กหอมหมื่นลี้บนโต๊ะ เขาหยิบมันขึ้นมาหนึ่งชิ้นทันทีและวางไว้ในชามของนาง
“ขอให้อร่อย แม่นางซือเย่ว์!”
ซือเย่ว์จึงกล่าวต่อ “นายท่านหลิน เมื่อข้ากระหายน้ำในวัยเด็ก มารดาของข้ามักจะชงชาให้ข้าเสมอ”
หลินเป่ยฟานเข้าใจความหมายและรินชาให้นางทันที “เชิญเพลิดเพลินเลย แม่นางซือเย่ว์!”
ซือเย่ว์รู้สึกมีความสุขยิ่ง บุรุษทุกคนล้วนโง่เขลา เจ้าน่ะหนีไม่พ้นจากเงื้อมมือของข้าหรอก!
“เมื่อข้ารู้สึกเหน็บหนาวยามเยาว์วัย มารดาของข้าก็มักจะกอดข้าไว้แน่น” ซือเย่ว์ตัวสั่น สายตาของนางจ้องเขม็งไปทางหลินเป่ยฟาน
หลินเป่ยฟานได้เงียบกริบไป
หลินเป่ยฟานนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “แม่นางซือเย่ว์ ได้โปรดหักห้ามอารมณ์ไว้ ข้าไม่ใช่มารดาของเจ้า!”
ซือเย่ว์ได้แต่เงียบกริบไป
ในยามนั้น ซือเย่ว์ต้องการที่จะทุบตีใครสักคนเพื่อระบายความโกรธออกมา!
นางตัดสินใจที่จะหยุดเสแสร้งและเปิดเผยความตั้งใจที่แท้จริงของนางทันที!
“นายท่านหลิน ท่านอยากเห็นโฉมหน้าของหญิงสาวผู้นี้มาตลอดเลยใช่หรือไม่? เช่นนั้นจงมองดูให้ดี!”
ซือเย่ว์ได้เผยใบหน้าของนาง หลินเป่ยฟานได้ประจักษ์กับรูปโฉมสะคราญและน่าหลงใหลอย่างไม่น่าเชื่อ
ใบหน้านี้ไม่ธรรมดาเลย ผิวดูบอบบาง มีใบหน้าที่เป็นเอกลักษณ์ สายตาที่จ้องมองมาคล้ายขับกล่อมใบหน้าให้น่าหลงใหลยิ่ง ทั้งนี้มันยังมีความเต่งตึงคล้ายสตรีจากตะวันออก เป็นใบหน้าของผู้ที่มีสายเลือดลูกครึ่ง
จากนั้นเอง ดวงตาสีม่วงของซือเย่ว์ก็คล้ายกับหมุนวนไปมา
ดวงตาของหลินเป่ยฟานค่อยๆ สูญเสียสมาธิไป
เมื่อเห็นสีหน้าสับสนของหลินเป่ยฟาน ซือเย่ว์ก็รู้สึกยินดียิ่ง
เมื่อเห็นหน้าของข้าแล้ว เจ้าจะกล้าทำตัวอวดดีอีกหรือเปล่า
สิ่งที่นางใช้ในยามนี้คือวิชาบ่มเพาะพลังของนางที่ถูกเรียกขานว่า “เคล็ดวิชาหยกวิญญาณม่วง”
มันเป็นวิชาที่มุ่งเป้าไปที่จิตใจและจิตวิญญาณของเป้าหมาย
ตราบใดที่ความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้ามไม่มากเกินนางไปหรือจิตใจของพวกเขาไม่ได้เหนือมนุษย์ พวกเขาก็จะหลงใหลในตัวนาง ก้มศีรษะยอมจำนนและปฏิบัติตามคำสั่งของนางอย่างเชื่อฟัง!
นางต้องการเอาชนะหลินเป่ยฟานด้วยวิชานี้ ทำให้เขาเต็มใจทำตามทุกอย่างที่นางสั่ง!
“ขุนนางคนนี้ไม่เพียงแต่เป็นขุนนางระดับสูงเท่านั้น แต่ยังเป็นที่ชื่นชอบของจักรพรรดินีอีกด้วย! เขามีทั้งความรู้และมีความสามารถ! ถ้าข้าสามารถทำให้เขาทำงานให้ข้าได้ มันคงจะเป็นประโยชน์อันยิ่งใหญ่ต่อแผนของข้าอย่างแน่นอน!”
ยิ่งซือเย่ว์คิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไร นางก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น นางปลดปล่อยพลังออกมา หวังว่าจะพิชิตหลินเป่ยฟานให้เร็วที่สุด
ทว่าพลังวิญญาณของนางกลับหลั่งไหลเข้าไปในจิตใจของหลินเป่ยฟานราวกับก้อนหินที่จมลงไปในทะเล มันไม่มีการตอบสนองใดๆ เลยั้งสิ้น
“ดูเหมือนว่าพลังจิตของขุนนางผู้นี้จะค่อนข้างแข็งแกร่ง!”
“แต่ข้าไม่เชื่อหรอกว่าข้าจะทำให้เจ้าหลงใหลไม่ได้!”
ซือเย่ว์เพิ่มพลังวิญญาณของนาง เหงื่อพลันเริ่มปรากฏบนใบหน้า
ในเวลานี้เอง โลกภายนอก
ทุกคนต่างกำลังฟังเสียงอันไพเราะของกู่เจิงด้วยความอิจฉา
“ท่านหลินช่างเป็นผู้ที่เกิดมาพร้อมโชคอย่างแท้จริง! ไม่เพียงแต่เขาจะได้ยลโฉมใบหน้าอันไม่มีใครเทียบได้ของซือเย่ว์ ทวากลับยังได้ฟังนางบรรเลงท่วงทำนองอย่างใกล้ชิด! ช่างน่าอิจฉาอย่างแท้จริง!”
“สตรีโฉมงามอันดับแรกของเรือนร้อยบุปผาได้เลือกท่านหลินไปแล้ว ข้าหวังว่าคนที่สองนี้ก็จะไม่ตกไปอยู่ในมือของเขาเช่นกันนะ”
“ข้าว่าคงจบสิ้นแล้ว! เมื่อครู่เจ้าไม่เห็นหรือว่าแม่นางซือเย่ว์ใจร้อนแค่ไหน? จนบางทีข้ายังนึกสงสัยด้วยซ้ำว่าการจัดชุมนุมบทกวีของแม่นางซือเย่ว์ บางทีอาจจะมุ่งเป้าไปหาท่านหลิน!”
“กล่าวตามตรง ในเมืองหลวงแห่งนี้ สตรีทุกนางล้วนแต่ต้องการแต่งงานกับท่านหลินแล้วกระมัง!”
"สถานการณ์ยามนี้แทบไม่ต่างจาก ‘การมรณาเพราะกระหายน้ำทั้งที่ถูกล้อมรอบด้วยแม่น้ำ’ และ ‘จมน้ำทั้งที่โดยรอบแห้งแล้ง'!"
…
เสียงพูดคุยของคนโดยรอบยังดังต่อไป
ท่านหญิงน้อยรู้สึกไม่พอใจยิ่ง นางเปลี่ยนความเศร้าและความโกรธของนางเป็นความอยากอาหาร นางเริ่มสวาปามทุกอย่างด้วยความเร่งรีบ
โม่หรูซวงเองก็ดูเหมือนจะสูญเสียความคิดและเสียสมาธิไปบ่อยครั้ง
ในทางกลับกัน หลี่ซือซือยังคงรักษาความสงบของนางได้อยู่เช่นเดิม นางเผยรอยยิ้มและให้ความบันเทิงแก่ทุกคนอย่างสง่างาม
ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงรู้สึกชื่นชมขุนนางหลินมากยิ่งขึ้น
ภายในครอบครัวธงสีแดงมิเคยร่วงหล่นให้ผู้ใดเห็น ภายนอกโบกสะบัดธงสีสันสดใส ภรรยาที่เลิศประเสริฐย่อมเป็นมงกุฎของสามีตนโดยแท้
ในยามนั้นเอง บทเพลงแรกก็ได้จบลง
แต่ไม่นาน บทเพลงที่สองก็เริ่มต้นขึ้น
"อะไรกัน? เริ่มบทเพลงที่สองเลยงั้นหรือ!"
"ไม่ใช่ว่าจะเล่นเพียงเพลงเดียวเหรอ?”
“บางทีแม่นางซือเย่ว์และขุนนางหลินคงกำลังสนุกกัน จึงมีการเล่นให้เขาฟังเป็นพิเศษกระมัง!”
"บัดซบ! ช่างโชคดีอะไรเช่นนี้!”
…
หลังจากบทเพลงที่สองจบลง บทเพลงที่สามก็เริ่มเล่น
"อะไรกันเนี่ย? นี่มันบทเพลงที่สามแล้วนะ!”
“ยังไม่จบอีกหรือ? ข้าแทบจะกลั้นใจไว้ไม่อยู่แล้ว!”
“ดูเหมือนว่าบุปผางามอีกดอกหนึ่งคงจะถูกเด็ดไปโดยขุนนางหลินเสียแล้ว! เขาช่างน่าทึ่งนัก!”
"จบสิ้นกันแล้ว ดอกรักของข้ากลับเหี่ยวแห้งไปเสียแล้ว!”
…
ทุกคนต่างถูกความหึงหวงครอบงำ!
ทำไมกันล่ะ?
ทุกคนในยามนี้ต่างมีความสามารถ มีชื่อเสียงมากมาย ทั้งยังมีเสน่ห์และหล่อเหลาเหมือนบุรุษรูปงามตามตำรา ไฉนถึงมีเพียงหลินเป่ยฟานเท่านั้นที่ได้รับความสนใจจากแม่นางซือเย่ว์?
หรือเป็นเพียงเพราะเขามีความสามารถมากกว่าเราเพียงเล็กน้อย?
หล่อกว่าเราเพียงเล็กน้อย?
ทุกคนเงยหน้าขึ้นและถอนหายใจกับความอยุติธรรมของสวรรค์!
บางคนถึงกับไม่สามารถกลั้นใจไว้ได้อีก พวกเขาระเบิดและจมอยู่กับความเศร้าโศก ดื่มเครื่องดื่มมึนเมาหมายทำให้สมองลบเลือนทุกสิ่งอย่าง!
ในยามเดียวกัน ภายในห้อง หลินเป่ยฟานยิ้มออกมาขณะที่เขามองไปทางซือเย่ว์ที่มีสีหน้าซีดเซียวและเต็มไปด้วยเหงื่อที่กำลังส่งกลิ่นหอม เขาถามออกมา “เจ้าจะดิ้นรนอีกนานแค่ไหนกัน แม่นางซือเย่ว์?”
“ทำไม…ทำไมวิชาเสน่ห์ของข้าถึงไม่ได้ผลกับเจ้า?” ซือเย่ว์ตกใจยิ่ง
ด้วยระดับเสน่ห์ของนาง กระทั่งระดับปรมาจารย์ก็ยังต้องหลงใหล!
เหตุอันใดขุนนางผู้ไร้พลังเบื้องหน้านางถึงไม่ได้รับผลกระทบเลย!
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นได้?
นางไม่อาจเข้าใจ!
“เพราะสุภาพบุรุษผู้นี้ยึดถือความชอบธรรมอยู่ในใจ มีนิสัยอันสูงส่งและเจตจำนงอันแน่วแน่ ข้าไม่ได้หวั่นไหวไปกับเส้นทางที่ชั่วร้ายเลยสักนิดเดียว!” หลินเป่ยฟานประกาศกร้าวออกมาด้วยความชอบธรรม
ซือเย่ว์ตัวสั่นด้วยความโกรธ "เจ้ามันตัวโกงไร้ยางอายต่างหาก!”
เจ้าเป็นเพียงขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงที่น่ารังเกียจ กลับกล้ากล่าวอ้างว่าตนมีความชอบธรรมและนิสัยอันสูงส่งงั้นหรือ?
เจ้ามีความละอายใจบ้างไหม?
สุนัขมันไปกินความชอบธรรมและอุปนิสัยของเจ้าหมดแล้วงั้นหรือ?
ถุ้ย!
บางทีกระทั่งสุนัขมันยังไม่รับประทานด้วยซ้ำ!
"คุณหนู!"
สาวใช้ที่กำลังเล่นกู่เฉิงก็รีบวิ่งไปพยุงซือเย่ว์ให้ลุกขึ้นจากพื้น ในอีกมือหนึ่ง นางถือกริชเย็นเหยียบที่ส่องแสงพลางจ้องมองหลินเป่ยฟานอย่างระมัดระวัง
นางกระซิบเอ่ยถาม"คุณหนู ยามนี้เราควรจะทำเช่นไรดี? ข้าควรสังหารเขาเลยหรือไม่?”
“นี่…” เสียงของซือเย่ว์ขาดห้วงไป
หลินเป่ยฟานยังคงสงบนิ่ง เขาดื่มเหล้าและยิ้มออกมา จากนั้นเขาจึงกล่าวว่า “นั่นเป็นความคิดที่แย่ที่สุด! ถ้าท่านฆ่าข้า ท่านและคนของท่านคงไม่มีทางหนีรอดไปได้! เช่นนั้นทำไมเราไม่มานั่งลงและพูดคุยกันอย่างสนุกสนานแทนเล่า ข้ากล่าวถูกหรือไม่ องค์หญิงแห่งราชวงศ์เซียนเยว่?”
ใบหน้าของซือเย่ว์นั้นประหลาดใจยิ่ง “เจ้ารู้ตัวตนของข้าได้เช่นไร?”
. . . . . .