ตอนที่ 21 ถึงอารามอส
อารามอสเป็นเมืองที่มีจุดยุทธศาสตร์ในการทำศึกที่ดีเยี่ยมเมืองหนึี่ง รอบๆของเมืองมีแม่น้ำไหลผ่านใช้เป็นได้ทั้งเส้นทางการค้าและป้องกันข้าศึก ในขณะที่ด้านหลังเป็นแนวเทือกเขาอาดีสที่สูงใหญ่ ถูกจัดวางให้เป็นปราการธรรมชาติที่ไม่อาจทำลาย
"ข้าว่านะ เมืองแห่งคนแคระ? แต่ทำไมมีแต่คนธรรมดาเต็มไปหมด"
โรอามองไปยังรอบตัวของเขาที่มีผู้คนเดินไปมาพลุกพล่านแต่ส่วนใหญ่เป็นคนธรรมดา อาคารเกือบทุกหลังสร้างจากไม้และปูหลังคาด้วยกระเบื้องสีเทาดำเขาเดาว่ามันทำมาจากหินที่สะกัดออกเป็นแผ่น
ในแม่น้ำตรงหน้ามีเรือหลายลำลอยอยู่พวกมันกำลังมุ่งหน้าออกมาจากตัวเมืองชั้นในที่เป็นปราการสูงขนาดมหึมา ตอนนี้เย็นแล้วและประตูเมืองกำลังจะปิด
"อารามอสแบ่งออกเป็นสามส่วน ที่พวกเราอยู่ตอนนี้เป็นเมืองชั้นนอกไม่มีเวลาเข้าออก ไม่มีกำแพง ส่วนใหญ่เป็นที่ตั้งของตลาด และจุดแลกเปลี่ยนสินค้า จึงมีแต่พ่อค้าและคนธรรมดา
แต่ตัวเมืองที่เรากำลังจะเข้าไปนั้นเป็นป้อมปราการสำคัญ ในนั้นจะมีเมืองขนาดย่อมอยู่ด้วย เจ้าจะได้เห็นคนแคระมากมายเชี่ยวละ ที่ทำการของผู้สำเร็จราชการเองก็อยู่ที่นั่น ข้าจะพาเราไปบ้านข้าก่อนและค่อยไปพบผู้สำเร็จราชการกัน"
กอแท็บอธิบายด้วยสีหน้าตื่นเต้น เขามองป้อมปราการสูงลิ่วเลียดก้อนเมฆตรงหน้าด้วยความภาคภูมิใจ
"แล้วส่วนที่สามละ"
โรอาถามขึ้น
"ส่วนที่สามเป็นเมืองในภูเขา เราขุดมันจนกว้างพอที่จะเอาผู้คนนับแสนใส่เข้าไปได้ ความสวยงามของมันเมื่อเจ้าเข้าไปแล้วเจ้าจะรู้ได้เอง"
กอแท็บเร่งฝีเท้าพาคาราวานคนแคระและหนึ่งเด็กหนึ่งชราเดินตรงไปยังกำแพงป้อมปราการสีขาวเบื้องหน้า เขากลัวว่าประตูจะปิดเสียก่อน อย่างไรพวกเขาก็มีคนมากนับร้อย การตรวจสอบของเมืองชั้นในค่อนข้างเข้มงวดมาก อาจกินเวลานานเกินไป
จนเมื่อกลุ่มของพวกเขามาถึงหน้าประตูเมืองกอแท็บก็รีบเดินไปที่ทหารรักษาการณ์ทันที ตอนแรกพวกเขาที่มีสารรูปค่อนข้างซอมซ่อก็ถูกจับตาเป็นพิเศษ เนื่องจากเดินทางกันมานานกว่ายี่สิบวันแล้ว แต่ละคนจึงไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีนัก
กอแท็บยื่นเงินจำนวนหนึ่งให้ทหารยามก่อนที่จะพาคนนับร้อยเข้ามาตรวจสอบทีละคนและผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว
"ท่านเอาเงินให้พวกเขาไปเท่าไหร่?"
โรอาเห็นการกระทำของกอแท็บทั้งหมด การรักษาการณ์ที่หละหลวมเช่นนี้ทำให้เขาถึงกับมึนงง
"หนึ่งเหรียญทอง อันที่จริงนี่ไม่ใช่วิธีการที่ควรทำและข้าก็ค่อนข้างโชคดีด้วยที่ทหารพวกนั้นยอมไว้หน้า คงเป็นเพราะฐานะพิเศษนี้"
กอแท็บชี้ไปที่เหรียญตราบนหน้าอกของเขา มันเป็นรูปพลั่วสีทองที่หมายถึงขุนนางควบคุมแร่ระดับสี่ ตำแหน่งนี้ในอาณาจักรทั่วไปมันควรเทียบได้กับเสนาบดีประจำกรม
"ท่านช่างมีหน้ามีตานัก"
เด็กชายพูดหยอกเขา แต่กอแท็บเองก็ดูจะชอบใจมากเช่นกัน
"แร่โอริคัลคุมสำคัญมาก ข้าที่คอยดูแลและจัดสรรมันจึงค่อนข้างมีอำนาจอยู่บ้าง แต่ก็นะมันกลายเป็นอดีตไปแล้ว เราไม่มีเหมืองอิกซอร์อีกต่อไป"
ขุนนางคนแคระที่ตอนแรกดูออกจะวางท่านิดหน่อยก็ห่อเหี่ยวลงมาอย่างเห็นได้่ชัด สำหรับเขาที่อำนาจเงินทองขึ้นอยู่กับเหมืองแห่งนั้น การล่มสลายของเหมืองก็เหมือนการตัดเส้นทางในอนาคตของเขาลงเช่นกัน
"เจ้ามีข้าอยู่ทั้งคนกอแท็บ เจ้าจะกลัวอะไร"
อยู่ๆออสบอร์นที่เงียบมาตลอดก็พูดขึ้น ขุนนางควบคุมแร่ตกยากถึงกับยิ้มออกมาทันที เขามีคนคุ้มกะลาหัวเป็นพ่อมดสีเงินอย่างออสบอร์นโลกนี้ก็เหมือนจะสวยงามขึ้นอีกเยอะ
กอแท็บยิ้มให้พ่อมดเฒ่าตรงหน้า ไม่รู้ทำไมพ่อมดคนนี้จึงถอดชุดสีเงินนั่นออกทั้งที่มันดูน่าเกรงขามและน่าเลื่อมใสออกปานนั้น
ตอนนี้ออสบอร์นอยู่ในชุดเสื้อคลุมสีฟ้าและถือไม้เท้าธรรมดาที่มีเชือกพันอยู่ด้านบน
อันที่จริงพ่อมดเฒ่าสวมชุดเซ็ทพ่อมดสีเงินอยู่ตลอดเวลา แต่เขาไม่อยากเป็นจุดสนใจมากเกินไปจึงได้ร่ายคาถาลวงตาใส่เสื้อผ้าเอาไว้
"เข้าไปกันเถอะ"
กอแท็บเดินนำหน้ากองคาราวานออกไปอย่างมีความสุข ออสบอร์นแอบสังเกตเมืองชั้นในของอารามอส ในนี้แตกต่างกับเมืองชั้นนอกอย่างสิ้นเชิงเพราะอาคารทุกหลังสร้างอย่างมั่นคง วัสดุส่วนใหญ่เป็นหินสีขาว หินอ่อน หรือหินที่มีลักษณะสวยงามอื่นๆซึ่งออสบอร์นเองก็ไม่รู้จัก
เมื่อเดินมาได้ไม่นานก็พบกับทางเข้าไปยังเมืองในภูเขา
สิ่งที่ออสบอร์นเห็นกลับทำให้เขาตะลึงงันไปทันที สิ่งนี้คือความอัศจรรย์ของมหาทวีป ความสวยงามของมันเป็นสิ่งที่เขาจะถอนหายใจให้ด้วยความรู้สึกชื่นชม
เมืองใต้ภูเขา หัวใจหลักของอารามอส
กำแพงของหินทุกส่วนภายในส่องแสงระยิบระยับเหมือนฉาบทาด้วยเพชร นี่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่มอบให้กับเมืองแห่งนี้ อาคารทุกหลังถูกขุดเจาะ สกัดและแกะสลักมาจากหินสีเหลืองอำพัน ด้านบนคือโดมสีรุ้งที่วิจิตรที่สุดเท่าที่สิ่งมีชีวิตจะสร้างได้ มันถูกประกอบขึ้นมาจากหินสีเรืองแสงนับแสนนับล้านก้อนค่อยๆบรรจงเรียงต่อกันจนเกิดเป็นความงดงามอันเป็นเอกลักษณ์ และไม่มีทางสร้างใหม่ได้เป็นครั้งที่สอง
"ขอต้อนรับสู่เมืองใต้ภูเขาแห่งอารามอส"
กอแท็บพูดด้วยท่าทางของเจ้าของบ้านที่ต้อนรับแขกของตน โรอาอึ้งไปจนทำอะไรไม่ถูกนอกจากอุทานคำว่าว้าวออกมาไม่หยุด
ตอนนี้กองคาราวานแยกย้ายกันไปแล้วเพื่อหาสถานที่ที่ตนสามารถพึ่งพาได้ ไม่ว่าจะเป็นญาติ หรือคนรู้จัก กอแท็บได้นัดพวกเขามาพบกันอีกครั้งหลักจากเข้าพบผู้สำเร็จราชการแห่งอารามอสแล้ว
พวกเขาคือผู้ประสบภัย และคนแคระไม่เคยทิ้งพวกพ้องของตน อารามอสจะช่วยเหลือพวกเขาให้ตั้งรกรากอยู่ที่นี่ได้อย่างสงบสุข
กอแท็บพาออสบอร์นและโรอามาพักอยู่ที่บ้านของเขา บ้านหลังนี้ขุนนางคนแคระซื้อไว้นานแล้ว ปกติเขาจะปล่อยเช่าให้กับพวกพ่อค้าหรือนักเดินทางที่มีเงินหนา บางครั้งการคุยเรื่องการค้าก็กินเวลานานหากไม่อยากให้เสียโอกาสเพราะต้องออกจากเมืองชั้นในไปหลังอาทิตย์ตก พวกเขาต้องหาที่พักอยู่ในนี้และต้องเป็นที่พักที่ได้รับอนุญาตจากทางการด้วย
บังเอิญว่ากอแท็บเป็นเจ้าของที่พักดังกล่าว และตอนนี้มันว่างอยู่
"ท่านพ่อมดเชิญพักผ่อนตามสบาย ข้าให้คนส่งจดหมายไปยังผู้สำเร็จราชการแล้ว เขาควรเรียกพบพวกเราเร็วๆนี้"
กอแท็บจัดห้องให้ออสบอร์นกับโรอาพักห้องติดกัน และนำน้ำกับอาหารมาให้ โรอาที่เหนื่อยมาตลอดหลายวันหลังจากกินอิ่มก็หลับไปทันทีแต่ออสบอร์นกลับไม่เป็นเช่นนั้น
ภายในใจของเขากำลังคิดถึงอนาคตที่อาจเกิดขึ้น อันเป็นผลจากการเดินทางมายังที่นี่ของเขา เขาได้ประกาศตนเองต่อหน้าคนแคระตอนที่สู้กับเงาดำไปแล้วว่าตนเป็นพ่อมดสีเงิน ตัวตนของเขาไม่อาจปิดไว้ได้อีกต่อไป และเขาก็ไม่ต้องการจะปิดด้วย
วิธีรับมือกับศัตรูได้ดีที่สุดก็คือทำให้ศัตรูเกรงกลัวและไม่กล้าลงมือ เขาจึงจำเป็นต้องแสดงอำนาจบ้าง นั่นคือเหตุผลที่เขาไม่เคยห้ามกอแท็บที่ชอบคุยโม้เรื่องของเขา และไม่ห้ามคนแคระไม่ให้เผยแพร่เรื่องในเหมืองอิกซอร์ออกไปด้วย
พลังของคำพูดของคนนับร้อยไม่อาจปรามาสได้
เขาจำเป็นต้องมีที่ยืนในมหาทวีปและต้องเป็นที่ยืนอันมั่นคง
ภานในปราสาทของเมืองชั้นใน กอดิมดูอิน คนแคระที่หน้าตาคล้ายกับกอดิมดูลินแต่ดูแก่ชรากว่ามาก กำลังตรวจดูเอกสารในมืออย่างเคร่งเครียด
พักนี้หน่วยลาดตระเวนของอารามอสตรวจพบกองคารวานพ่อค้าและคนเดินทางจำนวนมากตายลงอย่างปริศนา ของมีค่าของพวกเขายังคงอยู่กับศพ มันไม่ได้ถูกขโมยหรือปล้นชิง
สภาพของศพไม่มีรอยดาบหรือแผลอื่นใดนอกจากรอยไหม้เกรียมที่คล้ายกับการถูกฟ้าผ่า แต่ตอนนี้คือฤดูร้อน มันไม่ควรมีเมฆฝน แต่ที่น่ากังวลใจคือการตายทุกครั้งมักอยู่ใกล้กับป้อมร้างหลังนั้น
ป้อมปราการต้องสาบที่มีอายุมาหลายพันปี
เขาไม่รู้ว่ามันสร้างมาจากสิ่งใดแต่มันไม่อาจทำลายลงด้วยอาวุธทุกชนิด และไม่อาจเสื่อมสลายลงด้วยพลังอำนาจใด มันแข็งแกร่งมาก
น่าคิดว่าคนในยุคโบราณทำลายมันลงจนเป็นซากปรักหักพักได้อย่างไร เพราะแม้แต่ผู้ทรงพลังในระดับตำนานซึ่งถือว่าเป็นจุดสูงสุดของมหาทวีปในตอนนี้ ก็ยังถึงกับเหงื่อตกเมื่อต้องโจมตีให้ทะลุการป้องกันของมัน
ที่เขาทราบเช่นนี้ก็เพราะว่าเขาเคยเห็นปู่ของเขาไปตรวจสอบที่นั่นด้วยตนเอง ด้วยหวังว่าเหล่าคนแคระจะใช้ป้อมนั้นเป็นฐานที่มั่นได้ หลังจากเข้าไปในป้อมร้างเพียงลำพังและอยู่ในนั้นเกือบครึ่งวันเขาเดินออกมาด้วยความผิดหวัง
ปู่ของเขา กษัตริย์แห่งขุนเขาลำดับที่ ๘๖ ผู้ทรงพลังระดับตำนาน เจ้าเหนือหัวแห่งมิวอล์สต็อก ไม่เคยพูดว่าเขาเจออะไรในนั้นและออกคำสั่งให้ลูกหลานทุกคนอย่าได้ยุ่งกับมัน
แต่เขาที่โตมาถึงตอนนี้ จะแยกแยะไม่ออกได้อย่างไรว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นในวันนั้น ปู่ของเขาบาดเจ็บมีกลิ่นอายแห่งความตายอบอวลไปทั่วร่าง แต่กษัตริย์คนแคระกลับพยายามสะกดมันเอาไว้ เขาถึงได้รู้ว่าเรื่องที่ป้อมนั้นถูกสาบเป็นความจริงและแม้แต่ผู้ทรงพลังระดับตำนานก็อาจเพลี่ยงพล้ำได้
จนถึงตอนนนี้ป้อมร้างนั่นจึงขาดผู้อ้างกรรมสิทธิ์เหนือมัน
"มีคำร้องขอเข้าเฝ้าเป็นการด่วนขอรับฝ่าบาท"
ทอร์เดรียน ขุนนางสมุหเลขานำจดหมายมามอบให้เขา มันประทับตราด้วยคลั่งรูปพลั่วสี่อันเรียงกัน นี่คือตราขุนนางควบคุมแร่ขั้นสี่
กอดิมดูอิน อ่านมันอย่างตั้งใจก่อนจะสีหน้าแปรเปลี่ยนไปในบัดดน
"ให้ขุนนางคนนี้เข้าเฝ้าทันที และรีบจัดประชุมขุนนางโดยเร็วที่สุด ใครที่มาช้าหลังจากข้านั่งอยู่บนบัลลังก์แล้ว มันจะถูกส่งไปขุดแร่เจ็ดวัน"
ขุนนางสมุหเลขาเบิกตาขึ้นทันทีนี่อาจเป็นเรื่องเร่งด่วนมากจริงๆ เพราะผู้สำเร็จราชการของพวกเขาไม่เคยเรียกประชุมด่วนขนาดนี้เลย นับแต่การสวรรคตของกษัตริย์แห่งขุนเขาลำดับที่ ๘๗ บิดาของพระองค์
ทอร์เดรียนโค้งคำนับก่อนจะรีบไปจัดการเรื่องประชุมด่วนเย็นนี้ เขาต้องรีบไปก่อนประตูเมืองชั้นในปิดเพราะขุนนางบางคนอาจยังอยู่ข้างนอกและไม่ได้กลับเข้าเมืองชั้นในก่อนตะวันตกดิน
กอดิมดูอิน หาเสื้อคลุมผู้สำเร็จราชการมาสวมอย่างเร่งรีบ ขณะที่สายตายังจ้องเนื้อหาในจดหมายอยู่ตลอดเวลา ในใจก็ภาวนาให้เขาอ่านมันผิดไป
เนื้อหาของมันสั้นมากแต่ร้ายแรงเท่าชีวิต
"เหมืองอิกซอร์ถูกพวกออร์คยึดแล้ว ฝ่าบาทกอดิมดูลินผู้สำเร็จราชการสิ้นพระชนม์"
กอดิมดูอิน ทายาทกษัตริย์แห่งขุนเขาลำดับที่ ๘๗ ผู้สำเร็จราชการแห่งอารามอส คว้าจดหมายและเดินออกไป สีหน้ามีความคับแค้นใจและโกรธเกรี้ยว
เขาต้องการประกาศสงคราม!