ตอนที่แล้วตอนที่ 15 เจ้าแห่งภูตพรายทั้งมวล
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 17 ภัย ณ ป้อมร้าง

ตอนที่ 16 ดวงดาวไม่เคยโกหก?!


ภาพตรงหน้าของวอร์ล็อคทั้งสองค่อยๆสว่างขึ้น

ตอนแรกภาพที่ปรากฎบนลูกแก้วนั้นกะพริบและวูบไหวไปมา แสดงภาพที่สลับกันซับซ้อนวกวนยากจะเข้าใจ มันเหมือนกำลังถูกขัดขวางด้วยพลังงานบางอย่างจนเมื่อเวลาผ่านไป พลังนั้นก็ดูอ่อนแอลงและยอมแพ้ในที่สุด

ภาพบนลูกแก้วค่อยๆชัดเจนมากขึ้น

ภาพแรกที่ปรากฎคือป่าที่กว้างใหญ่สุดลูกหูตา

ภาพที่สองคือกระท่อมหลังน้อย

ภาพที่สามคือชายชราวัยเจ็ดสิบที่โกนหนวดเคราจนเกลี้ยงเหลือเพียงตอสีเขียวครึ้ม

มันเป็นภาพของออสบอร์นเอง แต่ไม่ใช่ภาพของเขาในร่างของพ่อมด มันกลับเป็นภาพของเขาในชาติก่อน ดังนั้นต่อให้พวกวอร์ล็อคค้นหาไปทั่วมหาทวีปอย่างไรก็ไม่มีวันเจอคนหน้าตาแบบนี้ได้

มอร์เทรียสเผลอยิ้มน้อยๆ อย่างไรอาจารย์ของเขาก็ทรงพลังมาก การทำนายนี้ถูกกำหนดให้สำเร็จมาตั้งแต่ต้นแล้ว แต่เมื่อเขาคิดถึงการแทรกซ้อนของแสงสีเงินในตอนแรกและภาพที่วูบไหวไปมาก่อนคำทำนายจะชัดเจนขึ้น ก็แสดงความกังวลออกมาชัดเจน

"คำทำนายนี้มีปัญหาหรือไม่ท่านอาจารย์"

มอร์เทรียสมองไปยังโครงกระดูกที่เรียบเฉยด้านข้างเขา กับหัวกะโหลกเช่นนี้เขาสังเกตอารมณ์ใดๆบนใบหน้าไม่ได้เลย

ออลล์ฟีเซียสนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะขยับขากรรไกรเปร่งคำพูดออกมา

"มันควรเป็นความจริง แต่เราก็ไม่อาจเชื่อได้ทั้งหมด ดวงดาวพยายามปกป้องเบาะแสของคนผู้นี้สุดกำลัง ข้าไม่เคยพบเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน แต่พลังของพวกมันที่ส่งมาได้มีจำกัด เท่าที่ข้าดูมันควรอยู่ในระดับสูงขั้นบนสุดเท่านั้น ไม่แปลกที่เจ้าจะพ่ายแพ้ให้มันเพราะเจ้ากับมันต่างก็อยู่ในระดับเดียวกันแต่สถานะของมันพิเศษกว่าเจ้า พลังแห่งการทำนายเป็นส่วนหนึ่งในพลังแห่งโชคชะตาที่ดวงดาวเป็นผู้ควบคุม

ตามความเข้าใจของข้าเอกภพนี้มีกฎเกณฑ์เป็นของตัวเอง แม้แต่ดวงดาวก็ต้องปฎิบัติตาม เราผู้แสวงหาคำทำนายทำตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติแล้ว ดังนั้นพวกมันต้องให้คำทำนายที่แท้จริงแก่เราตามกฎเกณฑ์เช่นกัน

แต่อย่างไรก็ตาม ข้ารู้สึกว่าคำทำนายไม่ปกติ พวกดวงดางอาจบิดเบือนผลบางอย่างออกไปเพื่อสร้างความสับสนให้แก่เรา เจ้าอาจสงสัยว่าพวกมันทำเช่นนั้นได้หรือไม่ คำตอบคือทำได้แน่นอน

ดวงดาวมีความรู้สึก แม้จะไม่ใช่ความรู้สึกอย่างที่สิ่งมีชีวิตมี แต่ก็สามารถคิดได้ รักได้และเกลียดเป็น เพราะความเลือกที่รักมักที่ชังของดวงดาวนี้ ทำให้เกิดคำว่าโชคดี โชคร้าย บุตรแห่งโชคชะตาและผู้ล้มเหลวตลอดกาล ดังนั้นตราบใดที่มันยังแสดงคำทำนายที่ถือว่าเป็นจริง พวกมันก็สามารถบิดเบือนคำทำนายที่แสดงออกมาให้เราดูได้"

อันที่จริงหากคำทำนายเป็นไปอย่างถูกต้องมันควรแสดงภาพของออสบอร์นในของร่างพ่อมด ซึ่งถือว่าเป็นตัวตนปัจจุบันของเขา แต่เพราะผลพิเศษจากคำอวยพรแห่งดวงดาว(ระดับสูง) ที่แม้จะขัดขวางผู้ทรงพลังระดับตำนานเช่นออลล์ฟีเซียสไว้ไม่ได้ แต่ก็ไม่ยอมให้เขาได้คำทำนายที่แม่นยำเช่นกัน

อย่างไรคำทำนายก็ถือว่าอยู่ในขอบเขตของความจริง เพราะตัวตนในคำทำนายก็คือออสบอร์นคนเดียวกัน แต่เป็นออสบอร์นในชาติก่อน

ดวงดาวไม่เคยโกหก?!

"งั้นข้าควรทำเช่นไรดี?"

มอเทรียสสับสน

"เจ้าควรทำเช่นไรก็ทำเช่นนั้นอย่างไรเบาะแสนี้ก็ควรเป็นจริง ดวงดาวไม่อาจบิดเบือนมันไปได้ทั้งหมด คนที่เราตามหาควรอยู่ในป่าต้องห้าม ใกล้กับเหมืองอิกซอร์ เมื่อดูจากการตายของหนอนยักษ์แล้วเบาะแสนี้น่าเชื่อถือที่สุด แต่อย่างไรก็ไม่ควรประมาทเพราะเท่าที่ข้าดูจากการต่อต้านคำทำนายเมื่อครู่ พลังของเขาควรอยู่ในระดับสูง

ส่วนเคอราชอฟฟ์ เขาที่เสียจิตรวิญญาณส่วนหนึ่งในตัวหนอนยักษ์ไปย่อมผูกกรรมกับคนผู้นี้แล้ว ในอนาคตเคอราชอฟฟ์ไม่อาจก้าวหน้าได้หากไม่กำจัดปมในใจนี้ออกไป เขาต้องตามหาและสังหารคนผู้นี้แน่นอน เจ้าอย่าพึ่งแจ้งเบาะแสนี้แก่เขาข้าเกรงว่าเขาจะเพลี่ยงพล้ำ"

ออลล์ฟีเซียสไม่ลืมเอ่ยกำชับเรื่องเคอราชอฟฟ์กับมอร์เทรียส

"ตกลงท่านอาจารย์ ข้าจะรีบไปแจ้งมุขมนตรีที่เหลือเพื่อเรียกประชุมเร่งด่วน"

มอร์เทรียสโค้งคำนับเป็นการจากลาและกำลังจะหันหลังเดินออกไป แต่ออลล์ฟีเซียสพูดขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน

"หากเจ้าจะส่งใครไปตรวจสอบเรื่องนี้ เบอส์มัวส์ เหมาะสมที่สุด"

ประธานสภาแห่งซินก้มศรีษะเล็กน้อยเป็นเชิงว่าเข้าใจ ก่อนจะเดินหายเข้าไปในความมืดเบื้องหน้า ประตูห้องให้ดินกลับมาปิดลงอีกครั้ง

ในความทรงจำของเขาปรากฎร่างของวอร์ล็อคลึกลับใส่หน้ากากเหล็ก สวมมงกุฎโลหะสีดำ คลุมร่างทั้งร่างของตนเองด้วยผ้าห่อศพสีเทาขาดรุ่งริ่ง ในมือขวาถือดาบเงินที่ตัดทุกสิ่งในโลกได้ ใต้ร่างคือไวเวิร์นที่รูปร่างน่าเกลียดที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็น

วอร์ล็อคตนนี้คือ เบอส์มัวส์ หนึ่งในสามสิบเก้ามุขมนตรีแห่งวอร์ล็อค

เมื่อเห็นลูกศิษย์ของมันจากไปโครงกระดูกก็ลุกขึ้นจากบัลลังก์

ย้อนกลับไปในยุคดึกดำบรรพ์ สมัยที่มหาทวีปยังว่างเปล่า เผ่าพันธุ์เอลฟ์ถือกำเนิดขึ้นก่อน จากนั้นจึงเป็นออร์ค คนแคระและมนุษย์

เหล่าเทพแห่งดินแดนต้นกำเนิดปกครองเอกภพร่วมกัน พวกเขามีทั้งเทพที่ดีและเทพผู้ชั่วร้าย เทพทั้งสองฝ่ายทำสงครามกันตลอดเวลา พวกออร์คเองก็ถือกำเนิดขึ้นเพราะสงครามของเหล่าเทพด้วยเช่นกัน

แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อเทพผู้ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมาปรากฎตัวขึ้น กล่าวกันว่าพระองค์เสด็จมาจากนอกเอกภพ จากดินแดนอันยิ่งใหญ่ทรงพลัง

พระองค์มาพร้อมกับพลังที่แปลกประหลาด พลังแห่งความชั่วร้ายและความเสื่อมทรามทั้งมวล!

ตลอดเวลาหลายแสนหลายล้านปี เหล่าเทพทั้งดีและชั่วต่างรวมตัวกันต้านทานเทพแห่งความเสื่อมทรามองค์นี้อย่างสุดกำลัง แต่ก็ทำได้เพียงคุมเชิงพระองค์ไว้นอกกำแพงเอกภพ เฝ้าระวังมิให้พระองค์เข้ามา

บัดนี้เวลาล่วงเลยมานานแล้ว เหล่าเทพอ่อนกำลังลงมาก แต่พระองค์กลับแข็งแกร่งขึ้น

เวลาที่เอกภพแห่งนี้จะล่มสลายใกล้เข้ามาแล้ว

ออลล์ฟีเซียสเดินมาด้านหลังบัลลังก์ มีถ้ำใต้ดินขนาดใหญ่มืดมิดอยู่ภายใน ก่อนจะหยุดอยู่หน้าโลงศพที่ปกคลุมไปด้วยลวดลายซับซ้อนสิบสามโลงเบื้องหน้า โลงศพริมสุดนั้นว่างเปล่าเพราะมันเป็นโลงของเขาเอง

"เหล่าพี่น้องของข้า ทนอีกไม่นานเท่านั้น เมื่อใดก็ตามที่เหล่าเทพจอมปลอมนั้นล้มลง เมื่อนั้นจะเป็นวันของเรา"

เจ้าแห่งภูตพรายก้มลงกระซิบกับโลงศพที่เหลือ เขาใช้มือลูบไปบนโลงเหมือนกับสัมผัสของรักที่สุดในชีวิต

ร่างโครงกระดูกเดินลึกเข้าไปในถ้ำ ในมุมที่ลึกที่สุดมืดมิดที่สุดเขาเห็นรูปปั้นสีแดงเหมือนเลือด รูปปั้นของดวงตาแนวตั้งดวงใหญ่ล้อมรอบไปด้วยรยางค์เนื้อสีเลือดซ้อนทับเป็นชั้นๆ

ไม่มีความสยดสยองใดในจักรวาลนี้จะเทียบได้ ไม่มีพลังของเทพองค์ใดจะต่อต้านได้ ผู้ที่เห็นมันจะก้มกราบ ผู้ที่สบตามันจะตาย ผู้ที่บูชามันจะบ้าคลั่ง

มันคือเทพนอกรีตโอลาชี พระผู้เป็นความเสื่อมทรามทั้งมวล เทพนอกเอกภพ!

โอลาชี พระผู้เป็นความเสื่อมทรามทั้งมวล

โอลาชี พระผู้เป็นความเสื่อมทรามทั้งมวล

ออลล์ฟีเซียส ก้าวมาเบื้องหน้าของเทพนอกรีตโอลาชี มันก้มกราบกรานไปกับพื้นและเอ่ยภาษาที่ซับซ้อนยากจะเข้าใจออกมา รูปปั้นดวงตามีแสงกระพริบวาบทีหนึ่ง ก่อนที่โครงกระดูกจะเอ่ยขึ้นเป็นภาษาของมันเอง

"นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ พระเจ้าแห่งพระเจ้าทั้งมวลข้ารับใช้ของท่านได้เริ่มดำเนินการตามคำสั่งของท่านแล้ว อีกไม่นานทั่วทั้งมหาทวีปจะเต็มไปด้วยสงคราม ความอดยาก โรคระบาดและความตาย แต่ข้าไม่อาจรับมือกับพลังของพวกข้ารับใช้เทพจอมปลอมแต่เพียงผู้เดียว

ได้โปรดมอบพลังให้แก่เหล่าพี่น้องของข้าให้พวกเขาได้ตื่นขึ้นอีกครั้ง และได้โปรดมอบพลังของท่านแก่เราเพื่อประกาศความยิ่งใหญ่ของท่านไปทั่วมหาทวีปด้วยเทอญ"

ดวงตากระพริบวาบอีกหนึ่งครั้งเป็นนัยว่ามันรับรู้แล้วก่อนจะกลับกลายเป็นรูปปั้นปกติ

ออลล์ฟีเซียสก้มคำนับไปที่รูปปั้นอีกครั้ง มันเป็นวอร์ล็อครุ่นแรกที่ได้รับคำสั่งจากโอลาชีโดยตรง ในรุ่นของพวกมันมีด้วยกันสิบสามคนแต่ละคนล้วนมีพลังในระดับตำนานอันยิ่งใหญ่

ในยุคแรกเมื่อพ่อมดรุ่นที่หนึ่งปรากฎขึ้น โอราชีก็ส่งพวกมันมาที่นี่พร้อมกันเพื่อเป็นบันไดขั้นแรกในแผนการของมัน

เดิมที่ทั้งพ่อมดและวอร์ล็อคล้วนเป็นผู้รับใช้ของเทพเจ้า ผู้ปกครองสูงสุดที่พำนักอยู่ในดินแดนต้นกำเนิด แต่เมื่อพวกผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นขยายขอบเขตของสงครามลงมายังดินแดนเบื้องล่าง พวกข้ารับใช้พวกนี้จึงทำหน้าที่เป็นทัพหน้า

ตัวตนของพวกมันเป็นความลับ ไม่มีใครในมหาทวีปหรือในโลกต้นกำเนิดรู้ว่าพวกมันเกี่ยวข้องกับโอราชี ไม่เช่นนั้นพวกมันต้องถูกรุมล้อมจากทุกเผ่าพันธุ์และล่มสลายในที่สุด

โอราชีให้พวกมันคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติและถ่ายทอดระบบความรู้ของวอร์ล็อคให้ นี่นับเป็นครั้งแรกในมหาทวีปที่เวทมนตร์ถูกใช้ได้โดยคนธรรมดา ระบบความรู้ของพวกมันถ่ายทอดมาสู่วอร์ล็อครุ่นแล้วรุ่นเล่าจนเกิดเป็นอาณาจักรในปัจจุบัน

ในขณะที่พ่อมดที่อาศัยพลังของสายเลือดกลับอ่อนแอลง พ่อมดรุ่นแรกล้วนมีพลังในระดับตำนานหรืออาจสูงกว่า พวกเขาท่องไปทั่วมหาทวีปและรับหน้าที่กำจัดความชั่วร้ายในที่ต่างๆ วอร์ล็อคที่ยังทำตัวค้อมต่ำจึงสามารถอยู่รอดได้

แต่เอกภพนี้มีกฏเกณฑ์ของมัน คือไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า

เมื่อพ่อมดรุ่นแรกใกล้หมดอายุขัย พวกเขาจึงแต่งงานกับมนุษย์และมีทายาท พลังแห่งสายเลือดของพ่อมดค่อยๆลดลงตามความเจือจางของสายเลือด พวกเขามีทายาทอยู่มากมายก็จริงแต่ทายาททุกรุ่นกลับมีแต่อ่อนแอลง ระบบเวทมนตร์ที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นจึงเป็นไปอย่างอัตคัต

จนถึงรุ่นหนึ่งพ่อมดก็ร่ายได้แค่คาถาระดับต่ำเท่านั้น

และเมื่อสามร้อยปีก่อนพ่อมดก็ไม่ปรากฎในมหาทวีปอีกเลย

ต่างจากวอร์ล็อคพวกมันค่อยๆเติบโตจากอ่อนแอเป็นแข็งแกร่ง จากสิบกว่าคนเป็นหลายพันคน กว่าที่เผ่าพันธุ์อื่นๆจะรู้ตัวพวกมันก็แข็งแกร่งเกินจะจัดการแล้ว

อย่างไรก็ตามกฎเกณฑ์ที่ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ก็มีผลกับวอร์ล็อครุ่นแรกที่เป็นข้ารับใช้โดยตรงของโอลาชีเช่นกัน พวกมันกำลังสิ้นอายุขัย

ตอนท้ายที่สุดโอลาชีได้เมตตาพวกมัน เทพนอกรีตองค์นี้ ผู้สถาปนาระบบวอร์ล็อค ได้ใช้พลังของมันละเมิดกฎเกณฑ์ของเอกภพ เอาชนะกฎเกณฑ์อันทรงพลังที่สุดในเอกภพที่เรียกว่าความตายได้สำเร็จ

โอลาชีเปลี่ยนข้ารับใช้สิบสามคนเป็นอันเดด แต่มันไม่อาจส่งผ่านพลังมายังเอกภพชั้นในได้มากเกินไปไม่เช่นนั้นเหล่าเทพแห่งดินแดนต้นกำเนิดอาจรู้ตัว

ออลล์ซีเฟียสจึงเป็นคนเดียวที่ได้รับการเปลี่ยนเป็นอันเดดโดยสมบูรณ์ คือรักษาพลังเดิมและสติปัญญาของมันไว้ได้

แต่ไม่ใช่กับกับพี่น้องอีกสิบสองตนของมัน พวกนั้นต้องหลับไหล รอเวลาที่โอราชีพร้อมเพื่อปลุกพวกมันอีกครั้ง

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด