ตอนที่ 15 เจ้าแห่งภูตพรายทั้งมวล
มอร์เทรียสลากร่างที่สั่นเทาของเขาลงบันไดมายังชั้นใต้ดินของหอคอยแห่งสภาซิน ใบหน้าของเขาซีดขาวเหมือนคนป่วยใกล้ตาย เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก มีแต่เขาเท่านั้นที่รู้ว่ากำลังเผชิญกับความเจ็บปวดแบบไหนอยู่
ใต้เบื้องลึกของหอคอยในชั้นที่ลึกที่สุดเกือบหนึ่งพันเมตร มีบานประตูสีดำสนิทบานหนึ่ง ภายใต้ช่องบานประตูมีควันสีดำเล็ดลอดออกมาเป็นระยะ มันคือพลังแห่งความตาย
"อาจารย์ช่วยข้าด้วย!"
มอร์เทรียสผลักบานประตูเข้าไปเต็มแรง และล้มลงในห้องที่มืดสนิท
ทันใดนั้นแสงเทียนก็สว่างขึ้น ส่องให้เห็นเก้าอี้ตัวใหญ่กลางห้องที่คล้ายกับบัลลังก์ของกษัตริย์ บนเก้าอี้ตัวนั้นมีสิ่งมีชีวิตที่คล้ายมนุษย์สวมเสื้อคลุมสีดำปกปิดรูปร่างมิดชิดนั่งอยู่
เสื้อคลุมตัวนี้เป็นสีดำมืดยิ่งกว่าความดำมืดใดๆในโลก แสงใดที่ส่องมาที่มันจะหายสิ้นไปภายในพริบตาเดียว
ถ้าออสบอร์นอยู่ที่นี่ เขาที่ภูมิใจนักหนากับคาถาแห่งแสงของตนคงตกใจจนสิ้นสติ เมื่อรู้ว่าคาถาผู้ส่งสารแห่งเทลเพริออนและคาถาธาตุแสงใดๆก็ตามของเขา จะถูกกลืนกินทันทีเมื่อปะทะกับเสื้อคลุมตัวนี้
ผู้ที่มีสายตากว้างไกลจะรู้ทันทีว่ามันเป็นวัตถุเวทมนตร์ระดับที่สูงมาก สูงเกินกว่าวิทยาการใดๆในโลกนี้จะสร้างได้
"หืม? ใครทำอะไรเจ้า?"
ร่างบนเก้าอี้เอื้อมมือที่เป็นโครงกระดูกของมันออกไป แต่ไม่ได้คว้าร่างของมอร์เทรียส มันกับคว้าเอาวิญญาณของเขาออกมาแทน
วิญญาณโปร่งแสงที่มีรูปร่างเหมือนกับมอร์เทรียสทุกประการ ถูกมือโครงกระดูกดึงออกมาไว้เบื้องหน้าของมัน มันใช้สายตาใต้เสื้อคลุมมองไปยังวิญญาณของลูกศิษย์ที่ตอนนี้มีรอยฉีกขาดทั่วไปหมด
มอร์เทรียสหมดสติไปแล้ว ไม่อาจให้คำตอบแก่มันได้
เจ้าของมือโครงกระดูกควบแน่นพลังเวทมนตร์สีดำเบื้องหน้าเป็นเข็มเล่มหนึ่ง มันใช้มือกระดูกอีกข้างจับเข็มเล่มนั้นเอาไว้และค่อยๆเย็บร่างวิญญาณของมอร์เทรียสเข้าด้วยกัน
แต่เมื่อรอยเข็มแรกเจาะยึดลงบนวิญญาณของมอร์เทรียสมันก็ฉีกขาดอีกครั้งทันที ร่างบนเก้าอี้ถึงกับงุนงงไปครู่หนึ่ง
มันเลิกผ้าคลุมสีดำออกเผยให้เห็นหัวกะโหลกศรีษะของมนุษย์ ไม่มีเนื้อเยื่อใดอยู่บนนั้นเป็นกะโหลกสีขาวล้วนโดยสมบูรณ์
สายตาของมันจ้องมองขึ้นไปบนฝากฟ้าประหนึ่งว่าสามารถมองทะลุหอคอยหลายร้อยชั้นไปยังท้องฟ้าเบื้องบน
ตอนนี้ท้องฟ้าทั้งหมดเหนืออาณาจักรแห่งวอร์ล็อค กลับปลอดโปร่งไร้ก้อนเมฆแม้สักก้อนเดียว ดวงดาวแพรวพราวระยิบระยับทั่วท้องฟ้ายามค่ำประหนึ่งว่าพวกมันกำลังเฝ้ามองสถานที่นี้อยู่
"บัดซบ! มอร์เทรียสเจ้าไปทำอะไรมากันแน่ ทำไมดวงดาวพวกนี้ถึงสาบแช่งเจ้า!"
ร่างโครงกระดูกอุทานออกมาด้วยความตกใจ พลังแห่งดวงดาวเกิดจากกฎเกณฑ์ของเอกภพ เป็นพลังที่ผู้อยู่ในระดับเทพเจ้าหรือผู้มีสถานะพิเศษเท่านั้นจะพึงมี
ทักษะการอวยพรแห่งดวงดาวที่ชุดเซ็ทพ่อมดมอบให้นั้น แม้จะเป็นเพียงพลังระดับสูงก็จริง แต่คาถานี้พิเศษตรงที่มันยืมพลังจากดวงดาวมาปกป้องเป้าหมาย
หมายความว่าผู้ที่ใช้พลังนี้ไม่ต้องแข็งแกร่งมาก แต่ต้องมีสถานะพิเศษบางอย่าง
โชคดีที่ออสบอร์นไม่ต้องการสถานะพิเศษนั้น เพราะเขาสามารถเปิดใช้มันได้ด้วยผลจากชุดเซ็ทพ่อมดที่ได้รับมาจากระบบ
ร่างโครงกระดูกจับร่างวิญญาณของลูกศิษย์ไว้แน่นทั้งสองมือ มันใช้ดวงตากลวงโบ๋ที่มีแสงสีเขียวส่องสว่างอยู่ด้านในคล้ายเปลวเพลิง มองพินิจไปทั่วร่างของมอร์เทรียส
ในจุดที่ลึกที่สุดของวิญญาณมันเห็นประกายแสงสีเงินจางๆที่เคลื่อนไหวไปมา ทุกการเคลื่อนไหวของมันจะฉีกเอาวิญญาณของมอร์เทรียสให้ขาดออกจากกัน ทำเช่นนี้ตลอดเวลาไม่มีที่สิ้นสุด
ร่างโครงกระดูกตะโกนขึ้นทันที
"บังอาจ! แค่แสงเล็กๆเช่นเจ้าก็กล้าเล่นตลกต่อหน้าข้า!"
มันอ้าปากขึ้นที่ดำมืดออก ก่อนจะดูดเอาแสงสีเงินเล็กๆเส้นนั้นเข้าไป
แสงสีเงินไม่อาจต่อต้านได้เลย หากมันสามารถส่งเสียงได้เช่นมนุษย์ ตอนนี้มันคงกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด
เมื่อแสงสีเงินถูกดูดจนหมดสิ้น ร่างโครงกระดูกตัวนี้ก็ลงมือควบแน่นเข็มในอากาศขึ้นมาใหม่และใช้มันเย็บวิญญาณที่ฉีกขาดให้ติดกันอีกครั้ง
เมื่อไม่มีแสงสีเงินเส้นนั้นคอยขัดขวาง รอยเข็มทุกรอยก็สามารถยึดจับร่างวิญญาณเอาไว้ได้ จนเมื่อเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งวันเต็ม มันก็ผลักร่างวิญญาณที่สมบูรณ์ของมอร์เทรียสกลับเข้าไปในกายเนื้อของเขา
โครงกระดูกรออีกสิบกว่านาที มอร์เทรียสจึงตื่นขึ้น
"เล่ามาให้หมด"
มอร์เทรียสยันกายลุกขึ้่นจากพื้นและโค้งคำนับโครงกระดูกตรงหน้า โครงกระดูกนี้คือออลล์ฟีเซียส เจ้าแห่งภูตพรายทั้งมวล อาจารย์ของเขา
"เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปตอนที่สภาตัดสินใจร่วมมือกับพวกออร์คตามคำสั่งของท่าน พวกเราส่งวอร์ล็อคระดับสูงออกไปยังอาณาจักรออร์คแดนเหนือเพื่อช่วยพวกมันวางแผนทำสงคราม ขณะเดียวกันเราก็ส่งหนอนยักษ์ดึกดำบรรพ์ของเคอราชอฟฟ์ที่เป็นส่วนหนึ่งของแผนไปให้พวกมันยืมด้วย"
มาถึงตอนนี้มอร์เทรียสเงยหน้าขึ้นมองอาจารย์ของเขา เพื่อดูว่าผู้ทรงพลังตนนี้เข้าใจในสถานการณ์หรือไม่
"อืม ข้าเป็นคนมอบตัวอ่อนหนอนยักษ์ให้กับเคอรราชอฟฟ์เอง เล่าต่อไป"
มอร์เทรียสพยักหน้าและเล่าต่อทันที
"แผนการณ์ดำเนินไปอย่างราบรื่น จนเราสามารถเจาะทะลุใต้พื้นดินไปโผล่ที่เหมืองอิกซอร์ได้ พวกออร์คยึดเหมืองได้สำเร็จ นั่นเป็นข่าวล่าสุดที่เราได้รับ
แต่เมื่อครึ่งเดือนก่อนเคอราชอฟฟ์ก็รู้สึกได้ว่าสัตว์เลี้ยงของเขาตายแล้ว เคอราชอฟฟ์โกรธมากเขาต้องการคำอธิบายกับข้า ข้าเลยใช้ลูกแก้วทำนายช่วยเขาหาสาเหตุการตายของหนอนยักษ์
อ้อ ก่อนหน้านั้นเคอราชอฟฟ์บอกข้าว่า ในช่วงวินาทีก่อนตายหนอนยักษ์รู้สึกเจ็บปวดทรมานจากพลังแห่งแสงอย่างมาก คาดว่าคนที่สังหารหนอนยักษ์ควรมีพลังเวทย์ธาตุแสงที่แข็งแกร่ง
ข้าเองก็อยากรู้เช่นกันว่าคนๆนั้นคือใคร เลยลงมือทำนายด้วยตนเอง และก็เป็นอย่างที่ท่านเห็นข้าถูกพลังตีกลับ ลูกแก้วทำนายแตกกระจาย และวิญญาณของข้าก็ฉีกขาดนับแต่นั้น"
ประธานสภาแห่งซินมีสีหน้าเศร้าสร้อย นี่เป็นการพ่ายแพ้อย่างหมดรูปในรอบหลายพันปี โครงกระดูกขยับปากของมันก่อนที่คำพูดจะดังออกมา
"หนอนยักษ์นั่นมีพลังชีวิตที่แข็งแกร่งมาก เวทย์ธาตุแสงที่สังหารมันได้ควรอยู่ในระดับกลางเป็นอย่างน้อย และถ้ามีสื่ออย่างไม้เท้าวิเศษหรือของวิเศษอื่นร่วมด้วย มันก็ต้องตายอย่างแน่นอน
แต่ในมหาทวีปตอนนี้ คนที่ทำเช่นนั้นได้ นับได้ด้วยมือข้างเดียว และตัวตนพวกนั้นไม่เคยออกจากกระดองเต่าของพวกมัน ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่ยอมให้เจ้าส่งหนอนยักษ์ไป
เอาเถิดศิษย์ข้า เรามาทำนายอันอีกครั้ง ข้าจะลงมือเอง"
มอร์เทรียสได้ยินดังนั้นก็ดีใจมาก เขารีบเดินไปด้านข้างของห้องใต้ดินและหยิบลูกแก้วทำนายของอาจารย์ขึ้นมา ก่อนจะนำไว้บนโต๊ะข้างเก้าอี้ของโครงกระดูก
ออลล์ฟีเซียส เจ้าแห่งภูตพรายทั้งมวล วางมือลงบนลูกแก้วทำนายเขาไม่ต้องการสื่อกลางใดๆเช่นมอร์เทรียส พลังด้านการทำนายของเขาสูงกว่ามอร์เทรียสมาก
มันเป็นการทำนายของผู้ทรงพลังระดับตำนาน!
ตอนนั้นเองลูกแก้วก็เริ่มขุ่นมัว ควันสีเทาเหมือนควันไฟหมุนวนไปมาด้านใน มีประกายแสงสีเขียวเล็กๆลอยระยิบระยับอยู่ร่วมกับมัน
เมื่อควันสีเทาและประกายแสงสีเขียวเริ่มหยุดนิ่ง แสงสีเงินก็เจิดจ้าออกมา ออลล์ฟีเซียสแค่นเสียงขึ้นจมูกก่อนจะพูดกับลูกแก้วตรงหน้าเขา
"หึ ลูกเล่นพื้นๆ ต่อให้ดวงดาวอยากปกป้องเจ้า ก็ไม่อาจทำได้ต่อหน้าข้า ออลล์ฟีเซียสผู้นี้"
มันใช้นิ้วชี้โครงกระดูกจิ้มลงไปบนลูกแก้ว ประกายแสงสีเขียวพุ่งตรงลงไปด้านในจนแสงสีเงินค่อยๆหรี่ลงและถูกกลืนหายไป
ลูกแก้วที่กลับมาหยุดนิ่งเริ่มเปร่งแสงสีเขียวจ้าไปทั่วห้องใต้ดิน คำทำนายใกล้ออกมาแล้ว
สายตาของมอร์เทรียสและออลล์ฟีเซียส ต่างจ้องมองไปยังทิศทางเดียวกันนั่นคือที่ที่ลูกแก้วตั้งอยู่
ในที่สุดภาพหนึ่งก็ปรากฎขึ้น!