บทที่ 118: ขุนนางระดับสูงผู้นี้เป็นตัวตนที่ส่งมาจากสวรรค์โดยแท้ เพียงคิดชั่วขณะก็ได้ผลงานชิ้นเอกที่อยู่ตราบนานชั่วฟ้า!
[เอาไปหนึ่งตอนก่อนนะครับ หลังสอบวันที่ 2 เจอกันยาวๆ เลย]
บทที่ 118: ขุนนางระดับสูงผู้นี้เป็นตัวตนที่ส่งมาจากสวรรค์โดยแท้ เพียงคิดชั่วขณะก็ได้ผลงานชิ้นเอกที่อยู่ตราบนานชั่วฟ้า!
“ภาพภูเขาแสงอุทัยฤดูใบไม้ร่วง นั่นมันงานของท่านอาจารย์หลิวจี๋เป้ย!”
“ท่านหลิวจี๋เป้ยเป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียงอย่างมากในด้านการจิตรกรรมภูมิทัศน์ ยิ่งเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับฤดูใบไม้ร่วงยิ่งวาดภาพได้วิจิตรศิลป์นัก! เพียงแค่ภาพวาดนี้ภาพเดียวหากขายก็คงมีมูลค่าอย่างน้อย 10,000 ตำลึง! ไม่ว่าเช่นไรก็ย่อมต้องมีผู้แข่งขันกันซื้อมันแน่นอน!”
“ทั้งยังมีเหล้าเกล็ดหิมะที่มีคุณภาพอันเป็นเลิศ เป็นเหล้าที่มีชื่อเสียงในหมู่เหล้าด้วยกัน ถูกลือกันหนาหูในหมู่ผู้ร่ำสุรา! เพียงแค่หนึ่งถังนี้ หากนำมันไปขายภายนอกก็ได้เงิน 5,000 ตำลึงอย่างง่ายดาย!”
“แม่นางซือเย่ว์ยินดีที่จะให้สมบัติทั้งสองนี้เป็นรางวัลจริงหรือ?”
“อีกทั้งยังมีโอกาสได้เห็นโฉมงามอย่างแม่นางซือเย่ว์ได้บรรเลงท่วงทำนองเสนาะหูอีก…”
…
เหล่าขุนนางที่มีความสามารถในห้องต่างตื่นเต้น พวกเขาคิดว่าการชุมนุมกันในคืนนี้จะไม่สูญเปล่าแน่นอน!
พวกเขากระตือรือร้นที่จะแสดงความสามารถของพวกเขาออกมา เพราะอาจจะเป็นผู้ได้รับรางวัลทั้งสามนี้!
ถ้าพวกเขาสามารถได้รับความโปรดปรานจากแม่นางซือเย่ว์ มันก็คงจะดีเป็นอย่างยิ่ง!
แม่นางซือเย่ว์รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เห็นปฏิกิริยาของทุกคนเป็นเช่นนี้
หากนางไม่ได้นำสมบัติที่แท้จริงออกมา นางคงจะไม่สามารถล่อลวงพวกเขาได้
“เริ่มการชุมนุมบทกวีกันเถิด!” แม่นางซือเย่ว์เงยหน้าขึ้น ชี้ไปที่ดวงจันทราสว่างไสวบนท้องฟ้าและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เช่นนั้นเอาดวงจันทร์บนท้องฟ้าเป็นแกนหลัก! หากบทกวีของขุนนางคนใดสามารถกระตุ้นหัวใจของสตรีผู้นี้ได้ รางวัลทั้งหมดจะถูกมอบให้!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนก็ชื่นใจเป็นอย่างมาก
เพราะดวงจันทร์เป็นเรื่องที่มักถูกยกให้มาขับแต่งบทกวีอยู่แล้ว
ขุนนางหรือโฉมงามคนใดกันที่ไม่เคยแต่งบทกวีที่เกี่ยวข้องกับจันทรา?
ทันใดนั้น บัณฑิตคนหนึ่งก็ยกมือขึ้นและกล่าวว่า “แม่นางซือเย่ว์ ขอข้าผู้นี้ก่อน!”
ซือเย่ว์ยิ้มและตอบไปว่า “เชิญท่านสวี!”
“ขอบคุณแม่นางซือเย่ว์!” สุภาพบุรุษผู้นั้นลุกขึ้นยืนทันทีด้วยความตื่นเต้น เขาส่ายศีรษะและท่องบทกวีอันน่าภาคภูมิใจของเขา จนได้รับเสียงปรบมือจากทั้งห้อง
จากนั้น บัณฑิตอีกคนก็นำบทกวีที่ซ่อนอยู่ของเขาออกมา
จากนั้นขุนนางคนที่สาม สี่ ห้าก็ได้นำเสนอผลงานของพวกเขาอย่างกระตือรือร้น
ทุกคนต่างเร่งรีบกันมาก
สำหรับบุคคลที่มีความสามารถเหล่านี้ ที่นี่คือเวทีของพวกเขาที่จะได้โอ้อวด!
ถ้าไม่ใช่ยามนี้ แล้วจะเป็นเมื่อไหร่กัน?
ซือเย่ว์ยิ้มและชื่นชมผลงานที่ยอดเยี่ยมของบัณฑิตและขุนนางหลายท่าน
จากนั้นสายตาของนางก็ชำเลืองมองไปยังทิศทางของหลินเป่ยฟานโดยไม่ได้ตั้งใจ
ทว่าอีกฝ่ายกลับยังคงสงบนิ่ง ดื่มและรับประทานอาหารโดยไม่มีความสนใจอย่างเห็นได้ชัด นางรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
ขุนนางผู้นี้จะอดใจไม่เข้าร่วมได้เช่นไรกัน?
หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ไม่ว่าจะมีฝีมือต่ำหรือสูง ผู้ที่มีความสามารถทั้งหมดก็ได้ขับบทกวีของพวกเขาออกมากันหมดแล้ว
“มีท่านใดที่ต้องการเสนอผลงานชิ้นเอกให้ทุกท่านประจักษ์อีกไหมเจ้าคะ?” ซือเย่ว์ถามพร้อมกับยิ้มออกมา
“ขุนนางระดับสูงหลินเป่ยฟานยังไม่ได้แต่งบทกวีเลยนะ!” คนผู้หนึ่งตะโกนออกมา
ซือเย่ว์รอเวลานี้อยู่แล้ว นางมองไปทางหลินเป่ยฟานและยิ้มเบาๆ “ข้าได้ยินมาก่อนหน้านี้ว่าท่านขุนนางระดับสูงคนใหม่ หลินเป่ยฟาน ผู้ได้รับคะแนนสูงสุดในการสอบจอหงวนมีความสามารถปานมาจากสวรรค์! ข้าตั้งหน้าตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อ ขอให้ท่านแต่งบทกวีด้วยเถิด!”
ตราบใดที่หลินเป่ยฟานแต่งบทกวี ไม่ว่าคุณภาพของมันจะดีหรือแย่ นางก็จะให้เขาเป็นผู้ชนะเลิศ!
เพราะมันจะเป็นโอกาสที่จะได้สัมผัสกับหลินเป่ยฟานอย่างใกล้ชิด จากนั้นนางจะได้แก้แค้น!
ทว่านางกลับต้องประหลาดใจ เนื่องจากหลินเป่ยฟานยิ้มกลับมาและโบกมือให้ “ขอบคุณที่แม่นางซือเย่ว์เชยชมเช่นนี้ แต่ข้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น!”
ซือเย่ว์รู้สึกสับสน “ทำไมเล่า?”
หลินเป่ยฟานตอบอย่างนอบน้อมว่า “ยามนี้เหล่าผู้มีความสามารถทุกท่านได้นำเสนอผลงานที่ยอดเยี่ยมของพวกเขาแล้ว ข้ารู้สึกไม่อาจไปเปรียบเทียบได้เลย เช่นนั้นข้าจึงไม่อยากต้องทำให้ตัวข้าต้องขายหน้าหรอก!”
ก่อนที่ซือเย่ว์จะพูด ขุนนางท่านอื่นที่ไม่อาจทนไหวก็กล่าวขึ้นมา
“ท่านขุนนางระดับสูง ท่านกล่าวอะไรกัน!”
“ในแง่ของความสามารถและความรู้ ผู้ใดในหมู่พวกเราสามารถเปรียบเทียบกับท่านได้?”
“ก่อนหน้านี้ที่เรือนร้อยบุปผา ท่านแต่งบทกวีที่ได้รับชื่อเสียงในเมืองหลวงแล้วทำให้บัณฑิตนับไม่ถ้วนลังเลที่จะแสดงฝีมือของตนออกมาด้วยซ้ำ!”
“อีกทั้งในยอดเขาร้อยเมฆา ท่านยังทิ้งผลงานชิ้นเอกไว้สืบต่อหลายยุคหลายสมัย! บทกวีนั้นไม่มีตัวตน เต็มไปด้วยภาพกวีเหนือจินตนาการ กระทั่งรุ่นถัดไปก็คงมิมีผู้ใดสามารถแต่งได้ทัดเทียม!”
“โอกาสเช่นนี้หาได้ยากนัก ท่านขุนนางระดับสูง อย่าถ่อมตัวไปเลย ได้โปรดเสนอผลงานชิ้นเอกของท่านออกมาด้วย!”
“เราร้องขอให้ท่านแต่งบทกวี!”
…
ทุกคนตื่นเต้นมาก ราวกับว่าพวกเขากำลังจะได้เห็นสุดยอดดาวเด่นได้ออกมาแสดง
ในความเป็นจริง พรสวรรค์ของหลินเป่ยฟานเทียบเท่าได้กับยอดดาราในสมัยโบราณโดยแท้
ท่ามกลางความคาดหวังของทุกคน หลินเป่ยฟานก็ได้กล่าวอย่างนอบน้อมอีกครั้ง “ขอบคุณทุกท่านที่ชื่นชม แต่มันไม่จำเป็นเลย! ตัวข้าเป็นเพียงขุนนางธรรมดาๆ ที่ไม่อาจเทียบกับพวกท่านที่เชี่ยวชาญในด้านบทกวี ข้าคงไม่ทำให้ตนเองอับอายขายหน้าด้วยการยกผลงานดาษดื่นขึ้นมาหรอก!”
บัณฑิตที่มีความสามารถคนหนึ่งถามด้วยความสับสน “ท่านขุนนางระดับสูง ทำไมกันเล่า? ท่านไม่อยากได้รางวัลจากซือเย่ว์ในงานชุมนุมบทกวีครั้งนี้เลยเหรอ? ท่านไม่ต้องการมันเลยหรือ?”
หลินเป่ยฟานยิ้มอย่างแผ่วเบาและกล่าวตอบว่า “อันที่จริงข้าไม่ได้ต้องการมันเลย! ครอบครัวของข้ามีผลงานชิ้นเอกสองชิ้นของอาจารย์หลิวจี๋เป้ยแล้ว! นอกจากนี้ เรายังมีผลงานกว่า 50 ชิ้นที่สามารถเทียบกับงานภาพภูเขาฤดูใบไม้ผลิได้!”
ทุกคนถึงกับอุทานออกมา “ให้ตายเถอะ!”
ทั้งที่ผู้อื่นไม่สามารถหาได้แม้แต่ภาพเดียว แต่เจ้ากลับมีมากกว่า 50 ภาพเนี่ยนะ?
ร่ำรวยเกินไปแล้ว!
“แล้วเหล้าชั้นเลิศนี้เล่า? ท่านขุนนางระดับสูงไม่ชอบมันหรือ?” คนผู้หนึ่งถามออกมาอย่างไม่ลดละ
หลินเป่ยฟานส่ายศีรษะ “ไม่ใช่ว่าข้าไม่ชอบ แต่ครอบครัวของข้ามีเหล้าชั้นเลิศอยู่แล้ว! เรามีถังเหล้าเกล็ดหิมะชั้นเลิศ 30 ถังและเหล้าอื่นๆ อีกกว่า 200 ถังที่หายากไม่แพ้กัน!”
ทุกคนถึงกับอุทานออกมาอีกรั้ง “ให้ตายเถอะ!”
เหล้าคุณภาพสูงและหายากมากมาย!
ดวงตาของผู้รักเครื่องดื่มมึนเมาพลันเปลี่ยนเป็นสีแดง!
พวกเขาต้องการที่จะบุกไปขโมยให้รู้แล้วรู้รอด!
“ทั้งหมดนี้ได้รับพระราชทานจากฝ่าบาท!” หลินเป่ยฟานกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้ม “แท้จริงแล้ว ตัวข้าไม่ได้ต้องการมันมากนัก แต่การปฏิเสธคำสั่งของจักรพรรดิเป็นการไม่เชื่อฟัง ดังนั้นข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับพวกมันโดยดี! ทว่าเพราะพื้นที่มีจำกัด จึงยังมีอีกหลายถังที่ข้ายังไม่ได้นำกลับมา!”
ทุกคนถึงกับอุทานออกมาอีกครั้ง “ให้ตายเถอะ!”
มีมากกว่านั้นอีกเหรอ?
มีจำนวนมากเกินไปจนเก็บไว้ในพระราชวังเนี่ยนะ?
ทุกคนถึงกับอิจฉาตาร้อน!
ไม่น่าแปลกใจที่เขาไม่สนใจของรางวัลในคืนนี้ ปรากฎว่าเรือนของเขาเต็มไปด้วยสมบัติมากมายอยู่แล้ว!
ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด แต่คำพูดของเขาทำให้พวกเขารู้สึกโกรธมาก!
กระทั่งซือเย่ว์ที่ยืนอยู่บนเวทีก็ยังเต็มไปด้วยความอิจฉา
ตัวนางผู้เป็นคุณหนูนั้นด้อยกว่าขุนนางระดับห้าอีกเหรอ?
ความภาคภูมิใจที่นางเคยมีแทบจะหายไปหมดสิ้นแล้ว!
“ท่านขุนนางระดับสูง ถึงท่านอาจไม่สนใจรางวัลเหล่านี้ แต่ท่านสามารถเพิกเฉยต่อโอกาสพิเศษเช่นนี้ได้หรือ? ท่านไม่ต้องการเชยชมโฉมงามซือเย่ว์หรือ?” มีคนผู้หนึ่งถามขึ้นมา
หลินเป่ยฟานชำเลืองมองไปทางซ้ายของเขาที่ซึ่งหลี่ซือซือผู้สง่างามนั่งอยู่ จากนั้นก็หันไปทางขวาของเขาที่มีท่านหญิงน้อยสุดแสนน่ารักและมีเสน่ห์อย่างโม่ยุนหยิง ด้านข้างก็มีโม่หรูซวงผู้องอาจ เขากะพริบตาปริบๆ และกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าข้าคงไม่ต้องการ”
หลังจากจ้องมองไปตามหลินเป่ยฟาน ทุกคนก็สังเกตเห็นสตรีโฉมงามที่น่าทึ่งทั้งสามทันที แต่ละคนล้วนมีเสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์ของพวกนาง
พวกเขาถูกครอบงำด้วยความิจฉาริษยา ใบหน้าของพวกเขาบิดเบี้ยวเกินกว่าจะรับรู้ได้!
ในขณะที่ผู้อื่นไม่อาจมีโฉมงามมาครองสักคนเดียว แต่เขากลับรวบทีเดียวสามคนเนี่ยนะ?
นี่มันคล้ายกับจะกดพวกเขาให้จมน้ำตายชัดๆ!
ในยามนี้เอง หลินเป่ยฟานก็ยกถ้วยเหล้าขึ้นและกล่าวว่า “อีกทั้งตัวข้ายังไม่ต้องการทำให้ตนเองขายหน้า! เพราะตัวข้าไร้ซึ่งฝีมือจริงๆ!”
ทุกคนพูดไม่ออกและผิดหวังยิ่ง!
ขายหน้าหรือ?
เห็นได้ชัดว่าเจ้ากำลังโอ้อวดอยู่!
อย่าคิดว่าเราไม่รู้!
ไอ้เจ้าคนน่ารังเกียจ!
“เจ้าขุนนางสุนัขผู้นี้!” ซือเย่ว์กัดฟันแน่นภายในใจ
ชายบ้าคนนี้เคยเปิดเผยกลอุบายของนางมาก่อน ทำให้ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้ของนางสูญเปล่า
ยามนี้เขายังได้ทำลายการชุมนุมบทกวีที่นางพยายามอย่างหนักเพื่อจัดขึ้นมา!
ที่สำคัญที่สุดคือ ถ้าเขาไม่แต่งบทกวี แล้วนางจะหาโอกาสอื่นได้เช่นไร?
ถ้าอย่างนั้นความพยายามทั้งหมดก็จะสูญเปล่า!
ซือเย่ว์รู้สึกว่านางต้องพยายามทำบางอย่าง ดังนั้นนางจึงเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงขมขื่น “ท่านหลิน มันคงจะน่าเสียดายถ้าท่านไม่แต่งบทกวีทั้งที่เราทุกคนมารวมตัวกันที่นี่ มันจะไม่น่าเสียดายหรอกเหรอ?”
หลินเป่ยฟานส่ายศีรษะของเขาตอบไป "ไม่เลย! เรามีทั้งเหล้าชั้นเลิศและของอร่อยมากมาย ตัวข้าไม่รู้สึกเสียดายสักนิดเดียว!”
มุมปากของซือเย่ว์ถึงกับกระตุก “สิ่งที่ข้าหมายถึงคือผู้อื่นจะรู้สึกเสียดายต่างหาก!”
หลินเป่ยฟานส่ายศีรษะอีกครั้งที่ “ไม่มีทางหรอก! ทุกคนมาที่นี่เพื่อเจ้า หาใช่เพื่อข้า! หากแม่นางซือเย่ว์เปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของเจ้าออกมาต่อหน้าทุกคน พวกเขาจะต้องพอใจอย่างแน่นอน!”
“ท่านขุนนางระดับสูง กล่าวได้ดี!”
“ท่านได้กล่าวถึงความคิดของเราทุกคนออกมาเลย!”
“ข้าขอชื่นชมท่าน!”
…
เสียงยินดีได้ดังขึ้นมาเต็มไปทั่วทั้งห้อง
หลินเป่ยฟานยิ้มและประสานมือของเขาพร้อมกับกล่าวว่า “ขอบคุณทุกท่าน! เป็นพวกท่านต่างหากที่ข้าควรขอบคุณ!”
ซือเย่ว์กำมือของนางแน่น นางต้องการต่อยชายคนนี้ที่ทำให้นางหงุดหงิดยิ่งนัก
ทำไมเขาไม่ทำตัวตามปกติ?
ชายผู้นี้รับมือยากยิ่ง!
ท้ายที่สุดแล้ว ก็เป็นหลี่ซือซือที่ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป นางยิ้มและเกลี้ยกล่อม “ท่านสามี ในเมื่อทุกคนกระตือรือร้นมากเช่นนี้ ทำไมไม่แต่งบทกวีเสียหน่อยล่ะ? อันที่จริงข้าก็อยากสดับฟังเช่นเดียวกัน!”
“เจ้าตัววายร้าย แต่งบทกวีสิ! ใช้พรสวรรค์ของเจ้าเพื่อสร้างความประทับใจให้พวกเขาเสีย!” ท่านหญิงน้อยโบกหมัดเล็กๆ ของนาง
"ท่านหลิน เชิญเลย!” โม่หรูซวงยิ้มอย่างอ่อนโยน
ในยามนั้นเอง ซือเย่ว์ก็รู้สึกขอบคุณหลี่ซือซือและทั้งสองนาง
มันยากจริงๆ ที่นางจะเผชิญหน้ากับชายผู้นี้ตามลำพัง!
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลินเป่ยฟานก็กล่าวว่า “หากเป็นเช่นนี้ก็ยากที่จะปฏิเสธ ถ้าอย่างนั้นข้าผู้นี้จะแต่งบทกวีเอง!”
"เอาเลย!" ทั้งห้องตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพรียง
ซือเย่ว์ตื่นเต้นมากจนนางอยากจะร้องไห้ “ท่านหลิน เชิญเลย!”
ท่ามกลางความคาดหวังของทุกคน หลินเป่ยฟานก็ยกถ้วยเหล้าขึ้น ไหว้พระจันทร์ที่สว่างไสวบนท้องฟ้าและท่องเสียงดัง
จันทร์สกาวเช่นนี้มีเมื่อใด?
ยกสุราปุจฉานภาใส
ไม่ทราบว่าในวังสวรรค์
คืนนี้ฟ้าปีอะไรไม่รู้คราว
ใคร่โดยสารลมลับกลับสวรรค์ วังพระจันทร์สูงแท้กลัวแพ้หนาว
จึงฟ้อนร่ายรำหรูคู่เงาพราว
สวรรค์วาวฤาจะเท่าเนาผไท?
เขาท่องบทกวีของซูซือ "ท่วงทำนองแห่งวารี: ยามจันทร์สกาว" อย่างเข้าจังหวะ
ทุกคนที่ฟังต่างก็รู้สึกประหลาดใจในทันที!
“ประโยค ‘จันทร์สกาวเช่นนี้มีเมื่อใด? ยกสุราปุจฉานภาใส!’ ช่างปราดเปรื่องยิ่ง เพียงวรรคนี้วรรคเดียวก็เหนือกวีทั้งหมดของผู้คนในยุคสมัยนี้แล้ว!” บัณฑิตของการสอบในปีนี้ก็ลุกขึ้นยืนและปรบมือให้ “สง่างามและประเสริฐยิ่ง ทั้งน่าประทับใจและสร้างแรงบันดาลใจนัก! เพียงแค่วรรคนี้มันก็แทบสามารถเอาชนะทุกผู้คนที่นี่ได้แล้ว!”
บัณฑิตผู้สอบได้ที่สองก็ยิ้มและลุกขึ้นยืน "ข้าชอบวรรคสุดท้ายจากท่านหลินมาก 'ปรารถนาวาดหวังตั้งใจไว้ แม้กายไกลห่างกันไปพันลี้!’ ความรู้สึกและคำนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ข้าคิดถึงบ้านเกิดและสหายร่วมแดนเท่านั้น แต่ยังทำให้ข้าน้ำตาไหลด้วย!”
“บทกวีทั้งหมดไหลลื่นและมีเสน่ห์ยากเปรียบเปรย! สมกับเป็นผู้ที่ปานลงมาจากสรวงสวรรค์ คงมีเพียงสิ่งมีชีวิตบนฟากฟ้าเท่านั้นที่สามารถสร้างบทกวีที่งดงามเช่นนี้ได้!” บัณฑิตอีกคนหนึ่งอุทานออกมา
“บทกวีนี้มีค่าเป็นเงินนับพันตำลึง! ขออวยพรแก่บทกวีเลิศล้ำปานอมตะ!” ทุกคนยกถ้วยเหล้าขึ้น
…
บทกวีนี้เอาชนะทุกคนที่อยู่ที่นี่ได้อย่างไม่ต้องสงสัย!
กระทั่งซือเย่ว์ที่ยืนอยู่บนเวทีก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า นางรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก
“ข้าไม่ได้คิดเลยว่าชายผู้นี้จะมีความสามารถมากนัก! ทั้งที่แต่งออกมาแบบทีเล่น แต่เขากลับสามารถสร้างบทกวีที่มิอาจมีผู้ใดเหนือกว่าได้! น่าเสียดายที่เขาเป็นขุนนางทุจริตที่ทำลายแผนของข้า เหอะ!”
ในใจของนาง นางกำลังวางแผนอย่างมีความสุขว่าจะจัดการกับหลินเป่ยฟานเช่นไรดี
ทว่าเมื่อพิจารณาถึงความงดงามของบทกวีนี้แล้ว นางก็จะยอมผ่อนปรนให้เขาหน่อยแล้วกัน
“ข้าว่าแล้วเชียว ขุนนางส่วนใหญ่มักจะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับผู้อื่นเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว นั่นเป็นเหตุผลที่ท่านลังเลที่จะพูดออกมาสินะ! เพราะท่านรู้อยู่แล้วว่าไม่อาจมีผู้ใดต่อกรด้านบทกวีกับเขาได้ใช่ไหม?” ช่างเป็นอะไรที่น่าขันนัก
ทุกคนต่างพยักหน้าด้วยความชื่นชม
“ไม่ต้องสงสัยเลว่าผู้ได้รับชัยชนะเลิศไปย่อมต้องเป็นเขาอย่างไม่ต้องสงสัย! นอกเหนือจากขุนนางสูงอย่างท่านหลินแล้ว ข้าก็ไม่ขอยอมรับว่าผู้ใดชนะอีก!” บัณฑิตผู้หนึ่งประกาศออกมา
“ผู้ชนะบทกวีสมควรเป็นเขา!”
“แม่นางซือเย่ว์ ได้โปรดประกาศผลโดยเร็ว เรารอไม่ไหวแล้ว!”
“คงไม่มีผู้ใดเหนือกว่าเขาได้อีกหรอก!”