บทที่ 117: นางโลมอีกคนผู้จับจ้องหลินเป่ยฟาน!
ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay
บทที่ 117: นางโลมอีกคนผู้จับจ้องหลินเป่ยฟาน!
นับตั้งแต่มีการเปิดหอนางโลมซินเยว่ มันก็ได้กลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในนครหลวง นี่เป็นเพราะเหล่าสตรีของหอนางโลมซินเยว่นั้นโฉมงามเป็นพิเศษ มากด้วยเสน่ห์ของภูมิภาคตะวันตกที่ดึงดูดอย่างไม่อาจต้านทานได้
ในหมู่พวกนาง มีนางโลมระดับสูงผู้มีนามว่าซือเยว์ที่ไม่เคยเปิดเผยต่อหน้าสาธารณชนมาก่อน ทว่าเพียงได้ปรายตามองแวบเดียว มันก็เพียงพอที่จะทำให้ใครหลายคนวาดฝันถึงและหมายครอบครองกันแล้ว ดังนั้นผู้คนจำนวนมากจึงแห่กันไปที่หอนางโลมซินเยว่ จนมันได้แซงหน้าเรือนร้อยบุปผาอย่างรวดเร็ว มันได้กลายเป็นหอนางโลมที่ใหญ่ที่สุดในนครหลวงทันที
หลินเป่ยฟานเป็นขุนนางที่มีความสามารถและมักชอบเรื่องรักใคร่ เป็นธรรมที่เขาก็เคยได้ยินเรื่องนี้เช่นกัน ทว่าเมื่อได้รับมีภรรยาที่งดงามและล้อมรอบไปด้วยสตรีผู้มากเสน่ห์ ความสนใจในการไปหอนางโลมซินเยว่ก็ลดทอนลงไปมาก ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพิจารณาถึงตัวตนของเขาที่เป็นถึงผู้อำนวยการในสถาบันจักรพรรดิ มันคงจะไม่เหมาะสมสำหรับเขาที่จะไปเยี่ยมชมสถานที่ดังกล่าว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ไปที่นั่น
กิจวัตรประจำวันของเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง เข้าร่วมราชสำนักช่วงรุ่งสาง ไปที่สถาบันจักรพรรดิ หลังจากได้ข้อสรุปแล้วก็ไปดูห้องทดลองของทางกรมโยธา ในยามเย็น เขาจะกลับเรือนอย่างมีระเบียบวินัย
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปเช่นนี้ ทางด้านหอนางโลมซินเยว่ก็ได้รับความนิยมมากขึ้น ในยามนี้เอง ภายในห้องที่เงียบสงบของหอนางโลมซินเยว่ มีสตรีสวมผ้าคลุมสีอ่อนและสวมชุดสีม่วงอยู่ผู้หนึ่ง ถึงใบหน้าของนางจะไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน แต่เมื่อดูจากผิวกายที่เผยออกมาและรูปร่างที่สง่างามของนางแล้ว นางก็ต้องเป็นสตรีที่งดงามมากอย่างไม่ต้องสงสัย
สตรีในชุดสีม่วงเริ่มหมดความอดทน “นานมากแล้ว ทำไมขุนนางที่ชื่อว่าหลินถึงยังไม่มาอีก? ไม่ใช่มีการร่ำลือว่าเขาเป็นขุนนางที่มากความสามารถและชอบเรื่องรักใคร่ไม่ใช่เหรอ? เขาเพิ่งได้รับตำแหน่งขุนนางระดับสูงและนำอดีตนางโลมของนครหลวงอย่างหลี่ซือซือไปเป็นภรรยา รอบกายเขามีสตรีงามมากมาย ไฉนข้าถึงยังไม่ได้ยินข่าวอื่นใดจากเขาอีกกัน?”
ใต้เข่าของนาง มีสตรีอีกผู้หนึ่งมีเสน่ห์เช่นกัน แต่ค่อนข้างด้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับสตรีในชุดสีม่วง
“คุณหนู ข้าได้สอบถามเรื่องนี้มาแล้ว! หลินเป่ยฟานผู้เป็นขุนนางระดับสูงของอาณาจักรอู๋อันยิ่งใหญ่เป็นบุคคลที่มีความสามารถและมากด้วยเสน่ห์ แต่เขาก็ตรงไปตรงมามากเช่นกัน! เขาไปเยือนเรือนร้อยบุปผาเพียงครั้งเดียว ไม่เคยไปหอนางโลมที่ไหนอีกเลย! ในชีวิตประจำวันของเขา เขาไม่ได้หลงระเริงมาสถานที่เช่นนี้บ่อยนัก!”
“เขาไม่มาหาเรา เช่นนั้นเราจะหาทางแก้แค้นได้อย่างไร? เขาได้เปิดเผยกลอุบายของเรา ทำลายรากฐานที่เราพยายามสร้างมาอย่างหนัก! ข้าไม่สามารถทนต่อสุนัขตัวนี้และการกระทำของมันได้อีกแล้ว! เราบุกเข้าไปโจมตีคฤหาสน์ของตระกูลหลินเลยเถอะ!” หญิงสาวในชุดสีม่วงรู้สึกโกรธแค้นยิ่ง
หญิงสาวที่คุกเข่าอยู่ตกใจอย่างมากและกล่าวว่า"คุณหนู อย่าได้ตัดสินเช่นนั้นเลย! ว่ากันว่าภายในคฤหาสน์หลินมีพระชราที่ไม่อาจหยั่งรู้ความสามารถได้คอยปกปักษ์อยู่! หลินเป่ยฟานเองก็ได้รับการปกป้องจากยอดฝีมือรุ่นเยาว์สองคนด้วยเช่นกัน! ยิ่งไปกว่านั้น ตัวตนของเราในนครหลวงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ถ้าเราเปิดเผยตัวออกมา มันจะเป็นการทำลายตนเอง! ดังนั้นคุณหนู เราทำได้เพียงพึ่งพาแผนการ ไม่ควรเผชิญหน้าโดยตรง!”
สตรีในชุดสีม่วงโบกมืออย่างเฉยเมยและกล่าวว่า “ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าเพียงรู้สึกหงุดหงิดและระบายออกมาชั่วครู่เท่านั้น ข้าในฐานะคุณหนูจะไม่เสี่ยงชีวิตของข้าและทุกคนเพื่อเรื่องนี้โดยเด็ดขาด! ข้าจะตายก่อนที่จะบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของเราได้อย่างไรกัน?”
“คุณหนูช่างปราดเปรื่องนัก!” สตรีอีกคนก้มหน้าลง
“ทว่าการรอเช่นนี้ไม่ใช่ทางออก!”
สตรีในชุดสีม่วงตกอยู่ในห้วงภวังค์ ก่อนจะกล่าวว่า “ทำไมเราไม่จัดงานโคมไฟและประกวดบทกวีเล่า เชิญบุคคลที่มีความสามารถทั้งหมดในนครหลวงให้มากัน! ด้วยเทศกาลที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ คนที่มีนามว่าหลินที่ว่าคงไม่มามิได้แน่!”
“คุณหญิง มันช่างเป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมควรค่าแก่การลองยิ่ง!”
ด้วยเหตุนี้ คำเชิญจากหอนางโลมซินเยว่จึงถูกส่งไปยังเรือนของบุคคลที่มีความสามารถหลายคนอย่างรวดเร็ว
เมื่อได้รับคำเชิญ บุคคลเหล่านี้ต่างก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“นี่คือคำเชิญจากแม่นางซือเย่ว์!”
“ถ้าข้าสามารถเป็นผู้ชนะของการประกวดกวีได้ ข้าอาจมีโอกาสได้สนทนาอย่างลึกซึ้งกับแม่นางซือเย่ว์ภายใต้แสงจันทร์ทราและเชยชมความงดงามของนาง!”
“นี่มันวิเศษนัก! ข้าในฐานะสุภาพบุรุษจะเข้าร่วมการชุมนุมบทกวีครั้งนี้อย่างแน่นอน!”
…
งานจุดโคมไฟและการชุมนุมบทกวีนี้กลายเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ในนครหลวงอย่างรวดเร็ว คำเชิญเองก็ถูกส่งไปยังคฤหาสน์หลินเป็นธรรมดา
หลินเป่ยฟานชำเลืองมองมันอย่างเฉยเมยและกล่าวว่า “ข้าจะไม่ไป”
“ท่านจะไม่ไปงานเลี้ยงสนุกๆ แบบนี้ได้ยังไงกัน?” ท่านหญิงน้อยที่นั่งอยู่ข้างๆ เขารู้สึกตื่นเต้นและก็อุทานออกมาว่า “หลินเป่ยฟาน ลองคิดดูสิ บุคคลที่มีความสามารถและสตรีโฉมงามทั้งหมดของเมืองหลวงจะรวมตัวกันแต่งบทกวี เพลิดเพลินไปกับเหล้า แสงจันทร์และโคมไฟ ไม่ใช่ว่านั่นมันยอดเยี่ยมมากเลยหรือ? ในฐานะขุนนางระดับสูงที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ ทั้งยังมีชื่อเสียงในด้านความสามารถมากมายเช่นนี้ เจ้าจะพลาดไปได้อย่างไร?”
หลินเป่ยฟานเย้ยหยัน “ท่านหญิงน้อย ท่านวางแผนอะไรอยู่กันแน่? หากท่านไม่กล่าวมาตามตรง ข้าก็จะไม่พาท่านไปโดยเด็ดขาด!”
“ข้าได้ยินมาว่าหอนางโลมซินเยว่มีอาหารเลิศรสมากมายจากภูมิภาคตะวันตก ข้าอยากไปลองดู!” ท่านหญิงน้อยเลียริมฝีปากของนาง
หลินเป่ยฟานถึงกับเงียบกริบกับคำพูดของนางไปอีกครา
หลี่ซือซือยิ้มและกล่าวว่า “ท่านสามี ทำไมเราไม่ไปด้วยกันล่ะ! เพราะการชุมนุมที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้หาได้ยากนัก! ยิ่งไปกว่านั้น มันยังกล่าวว่าสามารถเชิญครอบครัวของผู้ที่รับเชิญไปที่นั่นได้!”
"อืม งั้นก็ไปกันเถิด”
ด้วยเหตุนี้ ในเย็นวันนั้น หลินเป่ยฟานจึงนำทั้งครอบครัวของเขาออกเดินทาง สถานที่จัดงานไม่ใช่หอนางโลมซินเยว่ แต่เป็นโรงเตี๊ยมว่านเย่ว์ เพราะมีพื้นที่กว้างขวางและสวยงาม เหมาะแก่การจัดชุมนุมครั้งยิ่งใหญ่เช่นนี้
หลังจากมาถึงโรงเตี๊ยมว่านเย่ว์ พวกเขาก็เห็นคนหนุ่มสาวที่มีความสามารถหลายคน แถมเขาเองก็ได้พบสหายร่วมงานเก่าของพวกเขาหลายคนเช่น ขุนนางขั้นสองและขั้นสาม รวมถึงผู้ที่ประสบความสำเร็จมากมาย
ทว่าภายไปเพียงสองสามเดือน ระยะห่างระหว่างเขากับพวกเขาก็เพิ่มมากขึ้น หลินเป่ยฟานได้รับการเลื่อนตำแหน่งสามระดับและได้กลายเป็นขุนนางระดับห้า เขาเป็นที่ชื่นชอบของจักรพรรดินีและได้ไปพูดคุยในราชสำนัก
แต่อีกหลายคนยังคงดิ้นรนในชั้นล่าง คอยสั่งสมประสบการณ์เพื่ออนาคต
เมื่อพวกเขาเห็นหลินเป่ยฟานมาถึง พวกเขาก็ต้องทักทายเขาในฐานะผู้อาวุโสด้วยความเคารพ
“สหายข้า วันนี้เป็นการรวมตัวของบุคคลที่มีความสามารถ ไม่จำเป็นต้องมีพิธีการเช่นนี้ ผ่อนคลายเถิด!” หลินเป่ยฟานยิ้มออกมา
“ท่านหลินกล่าวถูกอย่างยิ่ง!” ทุกคนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
หลังจากแลกเปลี่ยนพูดคุยกันแล้ว พวกเขาก็แยกกันไปคนละทาง
ขณะที่พวกเขาเดินไปรอบๆ พวกเขาก็พบกับบุคคลที่มีความสามารถมากมาย แต่หลินเป่ยฟานเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในหมู่พวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
ด้วยรูปลักษณ์ที่หล่อเหลา ความสามารถอันมากมาย ชื่อเสียงอันมหาศาล และสตรีที่เรียงรายรอบตัวเขา หลินเป่ยฟานก็ดึงดูดความสนใจไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนก็ตาม
ในขณะนี้เอง หลินเป่ยฟานก็มีความรู้สึกว่าการชุมนุมบทกวีครั้งนี้คล้ายกับถูกจัดขึ้นมาเพื่อเขา
“ท่านขุนนางระดับสูง ที่นั่งของท่านอยู่ทางนั้น โปรดตามข้ามาเถิด” สตรีโฉมงามผู้หนึ่งเดินมาเพื่อนำทางเขา
“ขอบคุณที่ช่วยเหลือ” หลินเป่ยฟานพยักหน้า
จากนั้นเขาก็พาทุกคนไปยังตำหนักแห่งหนึ่ง
ตำหนักแห่งนี้ถือได้ว่าเป็นพื้นที่พิเศษ สงวนไว้สำหรับแขกที่พิเศษมากเท่านั้นเท่านั้น
ทุกคนนั่งลงทีละคน ท่านหญิงน้อยเมื่อเห็นอาหารมากมายกองตรงหน้าก็อดไม่ได้จนต้องลงไปนั่งรับประทานทันที
ในขณะเดียวกัน ภายในห้องพัก
สตรีในชุดม่วงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ลั่วเซีย บุรุษคนนั้นที่ชื่อหลินมาถึงหรือยัง?”
“คุณหนู เขามาถึงแล้ว!” ลั่วเซียตอบ
"ดีมาก! ยอดเยี่ยมเหลือเกิน!" สตรีในชุดสีม่วงรู้สึกยินดีมาก "เขาอยู่ที่ใด?"
“เขาอยู่ในตำหนักถัดจากสวนประดับ!” ลั่วเซียตอบ
หน้าต่างห้องถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา สตรีในชุดสีม่วงมองไปในทิศทางที่สาวใช้ของนางกล่าว
นางเห็นใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มผู้นั้นในทันทีจนถึงกับพึมพำว่า “เขาดูดีทีเดียว!”
ความเกลียดชังของนางที่มีต่อเขาลดน้อยลงโดยไม่รู้ตัว!
ในเวลาเดียวกัน หลินเป่ยฟานก็รู้สึกถึงสายตาที่กำลังจ้องมองมา
ด้วยสัญชาตญาณของเขา เขามองไปที่ห้องที่หน้าต่างและเห็นสตรีลึกลับคนหนึ่ง ใบหน้าของนางถูกปกคลุมไปด้วยผ้าคลุมสีม่วง เขามองเห็นเพียงดวงตาของนางที่มีสีดำอมม่วงลึกล้ำและน่าหลงใหล มันทั้งดูมีเสน่ห์และปนเปไปด้วยอารมณ์มากมาย
เพียงชั่วพริบตา หญิงสาวก็ปิดหน้าต่างและเขาก็มองไม่เห็นนางอีกต่อไป
สตรีที่น่าทึ่งเช่นนี้หายากที่จะเจอ!
“หรือว่านางจะเป็นสตรีที่มีนามว่าซือเย่ว์?” หลินเป่ยฟานคาดเดา
เมื่อถึงเวลา พระจันทร์ก็ขึ้นเหนือกิ่งก้านไม้
แขกทุกคนมาถึงแล้ว ได้มีการจุดโคมไฟ รินเหล้าชั้นดีและนำอาหารเลิศรสมา ทำให้บรรยากาศคึกคักยิ่ง
ท่ามกลางความคาดหวังอย่างใจจดใจจ่อ ในที่สุดนางโลมของหอนางโลมซินเยว่ แม่นางซือเย่ว์ก็ปรากฏตัวขึ้น
นางสวมชุดราตรีสีม่วง มีผมสีดำยาวสลวยลงมา ท่าทางการเดินของนางงดงามยิ่ง
แม้ว่าครึ่งหนึ่งของใบหน้านางจะถูกปกคลุมด้วยผ้าคลุมสีม่วง แต่ผิวกายที่สวยงามของนางก็ยังคงมองเห็นได้
ดวงตาของนางมีเสน่ห์เป็นพิเศษ สีม่วงยิ่งขับกล่อมความมีเสน่ห์ของมันออกมาอย่างน่าประหลาดใจ
“แม่นางซือเย่ว์มาถึงแล้ว!”
"งดงามเหลือเกิน!"
“ทุกย่างก้าวของนางให้ความรู้สึกเหมือนดอกบัวที่กำลังเบ่งบานอยู่ใต้ฝ่าเท้าของนาง!”
“นางเป็นเหมือนเทพธิดาที่ลงมาจากดวงจันทร์ชัดๆ!”
…
ทุกคนกล่าวออกมาด้วยความประหลาดใจ หลายคนคล้ายกับตกอยู่ในห้วงภวังค์ไปแล้ว
พวกเขาไม่สามารถควบคุมความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขาได้ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบนางกับอดีตนางโลมอย่างหลี่ซือซือ แต่ทั้งสองนัน้มีความงดงามแตกต่างกัน ตัวซือเย่ว์มีเสน่ห์ประหลาดน่าดึงดูดใจยิ่ง
“ท่านสามี ท่านคิดเช่นไรกับแม่นางซือเย่ว์หรือ?” หลี่ซือซือถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
ท่านหญิงน้องและโม่หรูซวงที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็อดไม่ได้ที่จะยกหูขึ้นรอฟัง
หลินเป่ยฟานชำเลืองมองนาง กระทั่งสตรีผู้โฉมงามก็คงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาสินะ
หลินเป่ยฟานกระแอมไอและกล่างว่า “นางดูดีทีเดียว!”
“เมื่อเปรียบนางกับข้าแล้วเป็นเช่นไรบ้าง?” หลี่ซือซือถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
หลินเป่ยฟานตอบอย่างไม่พอใจนัก “นั่นไม่ใช่คำถามที่จงใจเกินไปหน่อยหรือ? ข้าจะเปรียบเทียบเจ้ากับผู้อื่นได้เช่นไร?”
ดวงตาของหลี่ซือซือพลันเปลี่ยนไป
หลินเป่ยฟานพลันกล่าวต่อ “เจ้าทั้งสวยและชาญฉลาด ในขณะเดียวกัน เจ้าก็ทั้งงดงามและเขลา! เจ้าช่างเบาปัญญายิ่งที่หลงรักข้าสุดหัวใจเพียงพบพานกันครั้งเดียว ข้าไม่เคยเห็นสตรีที่เบาปัญญามากเช่นเจ้ามาก่อน แต่ถึงกระนั้น ข้าก็รักเจ้าผู้หัวทึบผู้นี้เป็นที่สุด”
“ท่านสามี ท่านใจร้ายนัก!” หลี่ซือซือกล่าวด้วยน้ำตาในดวงตาของนาง พร้อมกับยิ้มออกมาขณะที่นางเอนตัวไปทางหลินเป่ยฟาน
ท่านหญิงน้อยและโม่หรูซวงต่างก็รู้สึกอิจฉาอยู่ในอก
หลินเป่ยฟานยิ้มอย่างแผ่วเบาและเอื้อมมือเล็กๆ ของหลี่ซือซือไปจับใต้โต๊ะ
แต่เขาก็ตระหนักได้ว่ามือนี้เล็กและอวบเล็กน้อย ไม่บอบบางเท่าของหลี่ซือซือเลย หัวใจของเขาเต้นผิดจังหวะไป เขาจับมือผิดคนหรือเปล่า?
เขาหันศีรษะเล็กน้อยและเห็นใบหน้าแดงก่ำของท่านหญิงน้อยที่จ้องมองมาทางตัวเขาอย่างคาดโทษ
มีเพียงมือเดียวบนโต๊ะ ส่วนมืออีกข้างได้หายไปแล้ว
หลินเป่ยฟานถึงกับเงียบกริบไป
ในยามนี้เอง สตรีในชุดสีม่วงที่ยืนอยู่บนเวทีก็แนะนำตัวเองว่า “ยินดีต้อนรับสุภาพแขกทั้งหลายที่ได้รับเชิญเข้าสู่การชุมนุมบทกวีและการจุดโคมไฟที่ข้าเป็นเจ้าภาพ! เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบพวกท่านทุกคน ข้ามีนามว่าซือเย่ว์และข้าก็รู้สึกยินดียิ่ง!”
"สวัสดีแม่นางซือเย่ว์!” มีคนตะโกนออกมาในทันที
"ขอบคุณท่านมาก!" ซือเย่ว์โค้งคำนับเล็กน้อย
“ข้าเป็นผู้มาใหม่ในนครหลวงแห่งนี้ จึงไม่คุ้นเคยกับวิถีชีวิตของที่นี่ ข้าหวังว่าจะได้เป็นสหายกับบุคคลที่มีความสามารถทั้งหลายผ่านการชุมนุมบทกวีและชื่นชมโคมลอยไปพร้อมกัน!” ซือเย่ว์ยิ้ม เสียงของนางกระจ่างใสและน่ารื่นรมย์ “เพื่อทำให้การชุมนุมมีชีวิตชีวาขึ้น ข้าจึงได้เตรียมของขวัญไว้แล้ว!”
หลังจากพูดเช่นนั้น นางก็ปรบมือทันที สาวใช้คนหนึ่งพลันนำสมบัติล้ำค่ามาส่งมอบให้
“นี่คือภาพภูเขาแสงอุทัยฤดูใบไม้ร่วง!”
“ส่วนนี้คือเหล้าเกล็ดหิมะอันแสนล้ำค่า!”
ซือเย่ว์ยิ้มและกล่าวว่า “ตราบใดที่แขกผู้ใดเป็นผู้ชนะของการประกวดบทกวี ข้าจะมอบของรางวัลสองอย่างนี้ให้แก่ท่านผู้นั้น! นอกจากนี้ข้าก็ยินดีที่จะเปิดเผยใบหน้าของข้าให้เชยชม ทั้งยังบรรเลงท่วงทำนองด้วยมือของข้าเอง!”
คนโดยรอบที่อยู่ที่นี่พลันโกลาหลทันที!