บทที่ 115: หลินเป่ยฟาน จงอย่ารังแกผู้ซื่อสัตย์!
ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay
บทที่ 115: หลินเป่ยฟาน จงอย่ารังแกผู้ซื่อสัตย์!
“เสนาบดีผู้นี้ขอคัดค้าน!”
เฉียนหยวนเซิน เสนาบดีกรมพระคลังลุกขึ้นยืนและกล่าวเสียงดังสนั่น เงินทุนที่ท่านหลินร้องขอนั้นมากเกินไป เมื่อได้รับการจัดสรรแล้ว มันอาจส่งผลกระทบต่อดุลการคลังของอาณาจักรอย่างไม่ต้องสงสัย มันจะมีผลกระทบอย่างกว้างขวางถึงขั้นสั่นคลอนรากฐานของอาณาจักร ข้าไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง!”
หลินเป่ยฟานยังคงกล่าวตอบไปอย่างเรียบนิ่ง “ท่านเฉียน เป็นความจริงที่เงินทุนที่ต้องการนั้นมหาศาลมาก! แต่ถ้าเราสามารถวิจัยและพัฒนาข้าวลูกผสมให้ผลผลิตสูงขึ้น มันก็จะแก้ปัญหาอาหารให้แก่ราษฎรหลายสิบล้านคน! มันจะช่วยให้ราษฎรสามารถใช้ชีวิตและทำงานอย่างเป็นสุข ทำให้ระบอบ ของอาณาจักรอู๋อันแสนยิ่งใหญ่มีเสถียรภาพมากขึ้น ประโยชน์ของมันจะคงอยู่ต่อไปอีกหลายชั่วอายุคน! เมื่อเทียบกับเงินทุนวิจัย 10 ล้านตำลึงแล้ว มันก็ไม่มากนักเลย!”
ใบหน้าของเฉียนหยวนเซินพลันกระตุก
เจ้ากล้าบอกว่า 10 ล้านตำลึงมันไม่มากงั้นเหรอ?
เจ้าไปโกงกินในกรมโยธายังไม่รู้จักพออีกงั้นเหรอ?
“หากการใช้จ่าย 10 ล้านตำลึงสามารถวิจัยและพัฒนาข้าวลูกผสมที่ให้ผลผลิตสูง แก้ปัญหาอาหารให้กับราษฎรหลายสิบล้านคนได้ มันก็คุ้มค่ามากจริงๆ! แต่ถ้ามันล้มเหลวล่ะ? จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามันล้มเหลวและ 10 ล้านตำลึงได้แต่ลงไปในท่อระบายน้ำ? ท่านสามารถแบกรับความรับผิดชอบนี้ได้หรือไม่ ท่านหลิน?” เฉียนหยวนเซินกล่าวตำหนิ
หลินเป่ยฟานยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ท่านเฉียน คำพูดของท่านรุนแรงเกินไปแล้ว! ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าข้าไม่สามารถวิจัยและพัฒนาบัลลูนบินได้ แต่ข้าก็ยังทำไม่สำเร็จงั้นเหรอ? เช่นนั้นการพัฒนาข้าวลูกผสมใยท่านคิดว่ามันจะไม่สำเร็จ?”
“สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้คืออดีตและยามนี้คือปัจจุบัน!” เฉียนหยวนเซินกล่าว “ท่านหลิน ท่านสามารถพัฒนาบัลลูนที่บินได้ เป็นการเพิ่มอำนาจให้อาณาจักรของเราอย่างยิ่งยวด ทั้งข้าและราษฎรทั้งอาณาจักรซาบซึ้งในการมีส่วนร่วมของท่าน!”
"แต่บัลลูนบินได้และข้าวลูกผสมเป็นเรื่องที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง! ตลอดประวัติศาสตร์ นักปราชญ์นับไม่ถ้วนได้ค้นคว้าปัญหาอาหาร แต่มีกี่คนที่ประสบความสำเร็จกัน? ไม่มีเลยสักคนเดียว! ท่านรับประกันได้หรือไม่ว่าท่านจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน?” เฉียนหยวนเซินแย้ง
“แน่นอนว่าข้าสามารถยืนยันได้!” หลินเป่ยฟานตะโกนออกมาอย่างมั่นใจ “ข้ายินดีที่จะทำข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร หากข้าล้มเหลวในการวิจัยและพัฒนาข้าวลูกผสมที่ให้ผลผลิตสูงภายในสองปี ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ใช้จะถูกส่งคืนไปยังคลังหลวงพร้อมคำนวณดอกเบี้ย!”
“ท่านหลิน แม้ว่าท่านจะมีความมุ่งมั่นและความสามารถ แต่คลังหลวงของเราก็ไม่มีเงินมากขนาดนั้น! เงินทั้งหมดในคลังได้รับการจัดสรรไปแล้ว ไม่มีทางที่จะบีบออกอีก 10 ล้านตำลึงได้เลย! ดังนั้นข้าจึง…”
เฉียนหยวนเซินก้มคำนับจักรพรรดินี “ขอคัดค้านข้อเรียกร้องของท่านหลิน!”
เสนาบดีเจ้ากรมครัวเรือน เกาเทียนเย่าลุกขึ้นยืนและกล่าวว่า “ข้าขอคัดค้านด้วย!”
เสนาบดีกรมโยธาหวังรุยซือก็ลุกขึ้นยืนและกล่าวว่า “ข้าขอคัดค้านด้วย!”
…
เหล่าขุนนางคนอื่นๆ ลุกขึ้นยืนและไม่มีใครเห็นด้วยเลย
กระทั่งจักรพรรดินีก็ไม่ได้ตกลงด้วย เพราะสิบล้านตำลึงเป็นจำนวนเงินที่มากเกินไปจริงๆ!
10 ล้านตำลึงคิดเป็น 1/10 ของคลังหลวง ซึ่งอาจสามารถใช้ในการดำเนินโครงการขนาดใหญ่หรือกระทั่งสามารถนำเงินไปเป็นทุนสงครามได้อีก มันไม่สามารถจัดสรรได้โดยง่ายเช่นนี้
หากเขาขอหนึ่งหรือสองล้าน นางอาจตอบตกลงอย่างไม่เต็มใจนัก
แต่ 10 ล้านตำลึงนั้นยอมรับไม่ได้!
“ท่านหลิน ท่านขอมากเกินไปแล้ว ลดจำนวนเงินลงหน่อยได้หรือไม่?” นางกล่าว
"เช่นนั้นก็ได้! ข้าเข้าใจความยากลำบากที่ฝ่าบาทและขุนนางทั้งหลายต้องเผชิญ ดังนั้นตอนนี้ข้าจะเอาเพียง 5 ล้านดีหรือไม่! ที่เหลืออีก 5 ล้าน ค่อยนำมาจ่ายข้าได้ในปีหน้า!” หลินเป่ยฟานกล่าวด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง
ทุกคนถึงกับโกรธและพูดไม่ออก!
มันต่างกันตรงไหนจากการขอ 10 ล้านกัน?
นี่เจ้าเข้าใจความยากลำบากของเราจริงหรือไม่?
ถ้าเจ้าเข้าใจจริงๆ เจ้าคงไม่ร้องขอเช่นนี้แล้ว
เจ้าคนผู้นี้ช่างเป็นคนที่น่ารังเกียจเสียนี่กระไร!
จักรพรรดินีกล่าวด้วยความไม่พอใจนัก “สิ่งที่ข้าจะบอกคือ ให้ขอหนึ่งหรือสองล้านเท่านั้น การขอสิบล้านไม่มีทางเลยที่จะให้ไปได้!”
“แต่ด้วยเงินน้อยกว่า 10 ล้าน มันก็เป็นไปไม่ได้เลยเช่นกันที่ข้าจะทำวิจัยได้!” หลินเป่ยฟานรู้สึกผิดหวังมาก
เขากำลังจะผลิตข้าวลูกผสมที่จะเป็นประโยชน์ต่ออาณาจักรและราษฎร!
ด้วยสุดยอดข้าวนี้ เราสามารถแก้ไขปัญหาอาหารสำหรับราษฎรหลายสิบล้านคนได้ทันที มันเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมมาก ต่อให้มีเงินจำนวนมากเท่าใดก็ไม่อาจซื้อมันมาได้!
คิดว่าขอเพียงหนึ่งหรือสองล้านมันจะยุติธรรมหรือ?
จงอย่ามารังแกคนซื่อสัตย์สิ!
เมื่อเห็นสีหน้าที่เศร้าโศกของหลินเป่ยฟาน จักรพรรดินีและเหล่าขุนนางก็ถึงกับพูดไม่ออก
ไฉนเขาถึงทำเหมือนโดนรังแกกันเล่า!
เพียงเพราะขอเงินไม่ได้หรือไงกัน?
จักรพรรดินีปวดเศียรยิ่ง “คลังหลวงของเราไม่มีเงินมากขนาดนั้นจริงๆ! เรามาพักการวิจัยข้าวลูกผสมไว้ชั่วคราวแล้วค่อยทำเถิด เจ้าไปเริ่มค้นคว้าอย่างอื่นได้หรือไม่? เช่นเรือเหล็กขนาดยักษ์ที่สามารถลอยอยู่เหนือน้ำได้!”
หลินเป่ยฟานพยักหน้า “นั่นก็ได้เช่นกัน แต่ข้าคงต้องของบประมาณ 5 ล้านตำลึง!”
“บัดซบอะไรอีก!” จักรพรรดินีอุทาน
“บัดซบแท้!” เหล่าขุนนางอุทานอย่างพร้อมเพรียงกัน
ทุกคนมองหลินเป่ยฟานด้วยความโกรธ
นี่เจ้ายังกล้าขออีก 5 ล้านตำลึงงั้นเหรอ!
“ท่านหลิน ท่านใช้เงินเพียง 2 ล้านตำลึงในการวิจัยก่อนหน้านี้เพื่อพัฒนาบัลลูนลมร้อน ทำไมท่านถึงต้องการเงิน 5 ล้านตำลึงเพื่อเรือเหล็กกัน?” ใบหน้าของเสนาบดีกรมโยธาหวังรุยซือถึงกับกระตุก
ถึงเขาจะโลภมากเพียงใด เขาก็ไม่เคยขอเงินจำนวนมากขนาดนี้มาก่อน
“ท่านหวัง ท่านคงไม่รู้อะไรเลยสินะ!”
หลินเป่ยฟานได้แต่หัวเราะออกมา “บัลลูนลมร้อนแท้จริงแล้วผลิตได้ค่อนข้างง่ายมาก! เราสามารถผลิตบัลลูนได้ 20 ลูกในเวลาน้อยกว่าหนึ่งเดือน ความท้าทายหลักของมันคือการวิจัยและพัฒนา”
“แต่เรือเหล็กนั้นแตกต่างออกไป!”
“ก่อนอื่นในการสร้างเรือเหล็ก เราต้องใช้เหล็กจำนวนมาก! อย่างที่เรารู้กันดีว่าเหล็กเป็นวัสดุที่มีค่ามาก! ถ้าข้าต้องการสร้างเรือ ข้าต้องซื้อเหล็กจำนวนมาก ซึ่งต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล จากนั้นการก่อสร้างเรือเหล็กก็ต้องใช้แรงงานจำนวนมาก ซึ่งต้องใช้เงินจำนวนมากเช่นกัน!”
“ดังนั้นการสร้างเรือเหล็กจึงมีราคาสูงกว่าบัลลูนลมร้อนมากถึงห้าล้าน นี่เป็นเพียงค่าใช้จ่ายขั้นต่ำเท่านั้น!”
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเพราะคำพูดของเขามันสมเหตุสมผลยิ่ง ทว่าพวกเขาก็ยังคงรู้สึกว่าอีกฝ่ายมีแรงจูงใจแอบแฝง
จักรพรรดินีมองไปที่ใบหน้าของเหล่าขุนนางและคิดในใจว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องสงสัยหรอก เขามีแรงจูงใจแอบแฝงอย่างแน่นอน!”
ครั้งที่แล้วด้วยงบประมาณการวิจัย 2 ล้าน เขาได้ยักยอกเงิน 1.99 ล้านตำลึง
ด้วยงบประมาณ 5 ล้านตำลึงนี้ เขาคงสามารถยักยอกเงินได้อย่างน้อย 4.9 ล้านตำลึงแน่
เจ้าพวกสุนัขจิ้งจอกเฒ่าอย่างพวกเจ้ายังคงไร้เดียงสามากเมื่อเทียบกับเขา
เสนาบดีกรมพระคลังเฉียนหยวนเซินแค่นเสียงออกมาแะลกล่าวกับจักรพรรดินีโดยตรงว่า “ฝ่าบาท 5 ล้านยังเป็นจำนวนเงินที่มากเกินไป คลังหลวงของเราไม่มีเงินมากขนาดนั้นเลย ได้โปรดพิจารณาอย่างรอบคอบด้วย!”
“ท่านเฉียน เช่นนั้นท่านคิดว่ามันควรเป็นจำนวนเงินเท่าใด? ข้าอาจสามารถปรับเปลี่ยนบางอย่างได้” หลินเป่ยฟานกล่าว
“อย่างมากก็ 2 ล้าน ไม่มีมากกว่านี้อีกแล้ว!” เฉียนหยวนเซินกล่าว
หลินเป่ยฟานถอนหายใจอย่างผิดหวังเล็กน้อย “เช่นนั้นก็สองล้าน! แม้ว่ามันจะเป็นเงินที่น้อยกว่าพอสมควร แต่ข้าก็อาจพอใช้วิจัยอะไรได้บ้าง!”
เฉียนหยวนเซินรู้สึกเสียใจมากในทันที เพราะรู้สึกเหมือนเขาให้อีกฝ่ายมากเกินไป!
เจ้าสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตัวนี้!
“ท่านหลิน อย่าเพิ่งตื่นเต้นออกนอกหน้าไป!”
เฉียนหยวนเซินหัวเราะออกมา “มาทำความเข้าใจกันตั้งแต่ต้นเถิด หากท่านใช้เงินจากคลังหลวง ซึ่งเกี่ยวข้องกับเงินที่ใช้วางรากฐานของอาณาจักร มันก็ไม่อาจยอมรับความล้มเหลวได้โดยเด็ดขาด! หากท่านใช้เงินจำนวนนี้และไม่สามารถผลิตอะไรได้เลย ท่านควรรับผิดชอบยังไง?”
“ถ้าอย่างนั้นเราก็มากำหนดวงเงินเป็นสามเดือนกันเถิด!” หลินเป่ยฟานกล่าวออกมาอย่างกล้าหาญ
“หากภายในสามเดือน ข้ายังไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ต้องการได้ ข้าจะคืนเงิน 2 ล้านไปยังคลังหลวงตามที่สัญญาไว้!”
"เช่นนั้นก็ยอมรับ! ตกลง! ฝ่าบาทและขุนนางทุกท่าน โปรดเป็นพยานด้วย” เฉียนหยวนเซินกล่าว
ด้วยเหตุนี้ หลินเป่ยฟานจึงสามารถขูดเงินจากคลังหลวงได้เพียง 2 ล้านตำลึง แม้ว่ามันจะน้อยมาก แต่เงินก็ยังเป็นเงิน
ยามนี้เขาปรารถนาที่จะก้าวขึ้นไปอีกระดับ ซึ่งมันคงต้องใช้เงินจำนวนมาก เขาทำได้เพียงแสวงหาแหล่งเงินทุนใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง
เนื่องจากความสำเร็จก่อนหน้านี้ของเขาในการค้นคว้าสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์ที่บินได้ ตอนนี้หลินเป่ยฟานจึงได้รับความสนใจอย่างมาก ทำให้มีแหล่งเงินทุนมากมายรอเขาอยู่ ทุกคนอยากรู้อยากเห็นว่าเขาจะคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ที่แปลกใหม่อะไรขึ้นมา
ทว่าดูเหมือนหลินเป่ยฟานจะไม่สนใจสายตาของผู้อื่นเลย เขายังคงใช้ชีวิตอย่างไร้กังวลและมีความสุขเช่นเดิม
ในนครหลวง ทุกอย่างดูสงบและคึกคักเช่นเคย มีท่วงทำนองและการร่ายรำไปมาตามท้อง
แต่แท้จริงแล้ว มันกลับมีความโกลาหลมากมายซ่อนอยู่ภายใน
เกิดเหตุการณ์วุ่นวายในทางเจียงตะวันออก
จู่ๆ ก็ได้ปรากฏลัทธิปีศาจที่เรียกขานตนว่านิกายเทียนอี้เกิดขึ้น พวกเขาก่อปัญหาและหลอกลวงมวลชน ในช่วงเวลาสั้นๆ พวกเขาสามารถรวบรวมราษฎรทั่วไปหลายหมื่นคนและก่อให้เกิดการกบฏ ซึ่งเป็นภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นกับผู้มีอำนาจของทั้งอาณาจักร
ในระหว่างการประชุมราชสำนัก จักรพรรดินีรู้สึกโกรธยิ่ง
“ลัทธิปีศาจที่โผล่ออกมาจากไหนไม่รู้กล้าคุกคามเรา! ทว่าท่านลุงของข้ากลับมองมันเป็นเรื่องตลก หากไม่ขจัดมันให้พ้นทาง สถานการณ์การเมืองก็คงไม่มั่นคงอย่างไม่ต้องสงสัย! ท่านเสนาบดีทั้งหลาย พวกท่านมีกลยุทธ์ดีๆ หรือไม่?”
“ฝ่าบาท ลัทธิปีศาจเช่นนี้สามารถกำจัดได้ด้วยการส่งกองกำลังไป!”
นายพลอาวุโสคนหนึ่งก้าวออกมาข้างหน้าและพูดด้วยความเคารพ “ได้โปรดให้ทหารแก่ข้า 100,000 นาย ข้าจะบดขยี้นิกายเทียนอี้และจับปีศาจทั้งหมดมาคุกเข่าต่อท่าน! เราไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องลัทธิเล็กๆ เช่นนี้เลย!”
“ฝ่าบาท ไม่ควรกระทำการเช่นนั้น!” เจ้าหน้าที่ระดับต้นผู้หนึ่งกล่าวขึ้นมาอย่างกระวนกระวาย
เขาเป็นตัวแทนจากเจียงตะวันออกและมารายงานเรื่องนี้
“ทำไมถึงไม่ควรทำเช่นนั้น?” จักรพรรดินีกล่าวถาม
“เพราะผู้นำของนิกายเทียนอี้เป็นที่เคารพนับถือในฐานะมารดาศักดิ์สิทธิ์ที่มีความเมตตา คล้ายกับเป็นผู้มาโปรดเหล่าสรรพสัตว์ทั้งปวง! พวกเขามีความสามารถในการหลอกลวงผู้อื่น สามารถทำให้สามัญชนทำตามคำสั่งของพวกเขาได้ พวกสามัญชนที่ไม่รู้เรื่องก็เชื่อฟังคำสั่งของพวกเขา”
“หากเป็นเช่นนี้ อาจเกิดความขัดแย้งกับประชาชนแถบนั่น ทั้งอาจไม่ได้เกิดเพียงครั้งเดียว!”
เจ้าหน้าที่ระดับต้นเช็ดเหงื่อเย็นเหยียบออกจากใบหน้าของเขา "ถ้าเราส่งกองกำลังไปปราบปรามพวกเขา ก็ย่อมจะนำไปสู่การนองเลือดขนาดใหญ่และการสูญเสียอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้! ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาทั้งหมดเป็นยอดฝีมือ พวกเขาคงหนีไปตั้งแต่การปะทะกันครั้งแรก!”
“ดังนั้นแล้วฝ่าบาท ไม่ควรกระทำการเช่นนั้น!”
คนโดยรอบต่างประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยิน “เป็นเช่นนั้นเอง! พวกมันช่างไร้หัวใจนัก!”
กระทั่งจักรพรรดินีอย่างนางก็จนปัญญาแล้ว “ขุนนางทั้งหลาย พวกท่านมีวิธีแก้ปัญหาที่เหมาะสมหรือไม่?”
ทว่าสถานการณ์นั้นยุ่งยากมาก จนไม่มีใครกล้าพูดออกมา
“เราจะส่งยอดฝีมือชั้นยอดไปลอบสังหารสมาชิกของนิกายเทียนอี้ดีหรือไม่?” ขุนนางชราผู้หนึ่งเสนอ
“นั่นเป็นวิธีที่ใช้การได้ แต่มันก็ยากมากเช่นกัน!” เจ้าหน้าที่ระดับต้นพูดอีกครั้ง
“ฝ่ายตรงข้ามมียอดฝีมือขอบเขตต้นกำเนิดหลายคน ดังนั้นเราจึงต้องส่งยอดฝีมือขอบเขตต้นกำเนิดมากกว่าสิบคนไป ทั้งยังต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว! มิฉะนั้นเมื่อพวกเขาตัดสินใจที่จะหลบหนี เราคงจะไม่สามารถหยุดพวกเขาได้! เราต้องป้องกันไม่ให้พวกเขาแทรกซึมเข้าไปในหมู่สามัญชนด้วย…”
ทุกคนพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ความร้ายแรงของผู้มีวรยุทธ์ขอบเขตต้นกำเนิดเพียงคนเดียวนั้นก็มากมายมหาศาลแล้ว!
ด้วยการโบกมือเพียงเล็กน้อย พวกเขาสามารถจัดการคนได้นับสิบนับร้อยชีวิต!
ยุทธวิธีการลอบสังหารย่อมไร้ประโยชน์!
ทุกคนไตร่ตรองวิธีแก้ปัญหาที่เป็นไปได้ รวมถึงจักรพรรดินีด้วย
จากนั้นนางก็มองไปโดยรอบ เหล่าขุนนางมากมายต่างทำเป็นครุ่นคิด แต่แท้จริงแล้วเพียงแสร้งทำ
เจ้าพวกสารเลว!
พวกเจ้าเอาแต่ห่วงผลประโยชน์ของตนเอง พอเป็นเรื่องส่วนรวมกลับนิ่งเฉยเช่นนี้!
พวกเจ้ามันไร้ค่าสิ้นดี!
อย่างน้อยก็ช่วยทำเป็นคิดมากกว่านี้ไม่ได้หรือไง?
ดังนั้นจักรพรรดินีจึงได้เรียกคนผู้หนึ่งขึ้นมา “ท่านหลิน ท่านมีข้อเสนอแนะอะไรบ้างหรือไม่?”