Chapter 16: โดนจับ!
เมื่อเข้ามาถึงฐานที่มั่นแล้ว วัลก็สังเกตเห็นเต็นท์มากมายนับไม่ถ้วนตั้งอยู่รอบๆ ฐาน บ้านชั่วคราวเหล่านี้เป็นของพวกผู้ลี้ภัยที่ต้องการเข้ามาอาศัยในป้อมปราการแต่ไม่สามารถอาศัยข้างในได้เนื่องจากกฎระเบียบที่เข้มงวด นอกจากนี้ ถ้าใครถูกจับได้ว่าทำผิดกฎหมายในป้อมปราการก็จะถูกโยนออกมา และการตรวจตราก็มีอยู่เป็นประจำ ดังนั้นการลักลอบเข้าไปจึงไม่มีประโยชน์เลย
ด้วยการแต่งกายที่ดำทะมึนทั้งตัว ใบหน้าที่ถูกบดบังด้วยฮู้ดของเสื้อกันลม วัลจึงดูเป็นบุคคลที่น่าเกรงกลัว เหล่าเด็กๆ ที่วิ่งเล่นอยู่ในพื้นที่สลัมพยายามหลบเลี่ยงเขาอย่างชาญฉลาด
อย่างไรก็ตาม มีอันธพาลตัวโตคนหนึ่งจ้องมองเสื้อกันลมของวัล และลุกขึ้นมาด้วยความตั้งใจจะปล้นชิง แต่ว่าเขาก็ถูกหยุดเอาไว้ด้วยอันธพาลที่มีประสบการณ์มากกว่า
“ทำไมล่ะ?”
คำตอบของอันธพาลมากประสบการณ์นั้นเข้าใจได้ง่ายๆ ถ้ารักชีวิตตัวเองก็อย่าไปกวนเขา ใครก็ตามที่สามารถเดินเที่ยวเตร่ข้างนอกท่ามกลางฝูงผีดิบยามค่ำคืนและกลับมาทั้งที่มีชีวิตอยู่ได้นั้นไม่ใช่คนที่ควรไปล้อเล่นด้วย
จมูกที่ประสาทไวของเขาได้กลิ่นของผีดิบฟุ้งมาจากตัววัล นี่คือสาเหตุที่เขาสามารถบอกได้ว่าวัลพึ่งกลับมาจากดินแดนแห่งความตาย
มันยังเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงกว่าดวงอาทิตย์จะขึ้น ในตอนกลางคืนนั้น คงไม่มีคนสติดีที่ไหนกล้าออกห่างจากการคุ้มครองของป้อมปราการ แต่ว่าวัลทำมัน ซึ่งนี่ทำให้เขาดูเป็นอย่างไรล่ะ? มันทำให้เขาดูเป็นคนที่อันตรายมากๆ!
“ขอบใจนะที่ช่วยชีวิตของข้าเอาไว้”
หลังจากได้ฟังเรื่องราวแล้ว อันธพาลที่ลุกขึ้นหมายจะปล้นวัลก็กลับไปนั่งลง
วัลมองอันธพาลกลุ่มนั้นด้วยสายตาที่เฉยเมย ทำเอาพวกเขาสั่นสะท้านไปถึงสันหลัง แต่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นอีก ถ้าไอ้บ้าพวกนี้กล้าหาเรื่องเขา เขาก็คงจะฆ่าทิ้งซะ แต่ในเมื่อพวกเขาไม่ทำ เขาก็จะไว้ชีวิต
เขาหันกลับไปและมุ่งหน้าสู่ยังประตูฐานที่มั่น ในตอนที่เขาออกไปเมืองชาโด้วฟอล วัลได้ข้ามกำแพงออกไปเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับกุม แต่การที่เขากลับเข้าไปผ่านประตูหลักนั้นคงไม่มีใครคัดค้านอะไร
ยามที่ทำหน้าที่ได้หยุดเขาเอาไว้
ยามคนนั้นพิจารณาดูวัลแล้วถาม “บอกชื่อของเจ้าและจุดประสงค์มา”
เพื่อเป็นการตอบสนอง วัลลดฮู้ดลงเผยให้เห็นใบหน้าของเขา และการรับรู้ก็แสดงออกบนหน้าของยามคนนั้นในทันที
“นายท่านวัล ยินดีต้อนรับกลับครับ” ยามพูดพร้อมกับก้าวหลบออกไปด้านข้างอนุญาตให้เขาเข้าเมืองในทันที
วัลถูกพากลับเข้าไปในฐานที่มั่น มันไม่ใช่งานเลี้ยงต้อนรับแต่เป็นกลุ่มคนเล็กๆ จากกองกำลังส่วนตัวของตระกูลไวท์มอร์ พวกเขาจับตัววัลแน่นและพาเขากลับไปด้วยท่าทีที่ค่อนข้างจะรุนแรง บ่งบอกถึงความตึงเครียดและความหนักหน่วงของสถานการณ์ในตอนนี้
ซึ่งเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังความเร่งด่วนนี้ก็ถูกเปิดเผยในเวลาไม่นาน พ่อของเขา โจชัว ไวท์มอร์ ได้ส่งผู้ใช้สายเลือดในตระกูลออกไปค้นหาเขาหลังจากที่รู้ว่าเขาหายไป
เห็นได้ชัดว่า เขาสงสัยว่าวัลอาจจะพยายามหนีจากความรับผิดชอบของเขา ซึ่งก็นำไปสู่พ่อบ้านประจำตระกูล เรจินัลด์ ที่คอยเฝ้าดูเขาในยามราตรีที่มืดมิดนี้
การที่วัลหายตัวไปจากห้องของเขาได้นำไปสู่การออกค้นหาเต็มกำลังทั้งภายในและภายนอกป้อมปราการ
“นายน้อย ครั้งนี้ท่านไปแหย่รังแตนเข้าแล้วครับ นายท่านโจชัวไม่พอใจเป็นอย่างมาก” เรจินัลด์แจ้งเขาอย่างจริงจัง
“ไม่ต้องกังวลไป เรจินัลด์ ความโกรธของพ่อจะทุเลาลงเร็วๆ นี้ล่ะ” วัลตอบกลับด้วยความเยือกเย็นที่ไม่สั่นคลอน
เมื่อไปถึงคฤหาสน์ วัลก็ถูกพาไปยังห้องทำงานที่โจชัวรออยู่ สายตาที่เข้มงวดของเขาแฝงไปด้วยคำถามที่ไม่จำเป็นต้องพูดก็รู้
“แกหายไปไหนมา?” เขาถาม เสียงของเขาดังก้องในห้องที่เงียบสงัด
“ข้าไปที่ป่าราตรีนิรันดร์ เพื่อทดสอบพลังที่ได้มาใหม่” วัลตอบกลับอย่างใจเย็น
วัลกล้าที่จะเปิดเผยความจริงที่ว่าเขากลายเป็นผู้ใช้สายเลือดเพราะเขาได้เพิ่มค่าสถานะไปถึงจุดที่เขาสามารถหลอกให้พ่อของเขาเชื่อได้ว่าเขาปลุกพลังสายเลือดของไวท์มอร์ให้ตื่นขึ้นได้แล้ว
สายเลือดไวท์มอร์ในระยะแรกเริ่มช่วง 1-3 นั้นจะเพิ่มแค่ความแข็งแกร่งทางร่างกายเท่านั้น ซึ่งการเพิ่มพูนก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพของสายเลือด ยิ่งคุณภาพสูง ก็จะยิ่งเป็นคนที่แข็งแกร่ง และโอกาสที่พวกเขาจะไม่ตกสู่ความเสื่อมทรามจากยาที่จำเป็นในการไปสู่เลเวล 4 ก็จะเพิ่มมากยิ่งขึ้น และเมื่อคนๆ หนึ่งไปถึงระดับนั้นได้ด้วยสายเลือดไวท์มอร์ พวกเขาก็จะได้พัฒนาลักษณะเฉพาะสำหรับไวท์มอร์
คำประกาศนี้ทำเอาโจชัวถึงกับพูดไม่ออก เขาอ้าปากค้าง ซึ่งมันกว้างพอที่จะให้แมลงวันบินเข้าไปในปากของเขา
เขาพูดตะกุกตะกัก “นี่เจ้า...เจ้าถูกปลุกเป็นผู้ใช้สายเลือดแล้ว? แต่นั่นมันเป็นไปไม่ได้สักหน่อย...”
วัลตอบกลับด้วยวิธีการที่เป็นเอกลักษณ์
ด้วยการหยิบเหล็กแข็งทับกระดาษขึ้นมาจากโต๊ะ วัลก็ออกแรงอย่างสบายๆ และวัตถุที่มีสถานะเป็นของแข็งนั้นก็ถูกบีบจนยับยู่ยี่คามือของเขาราวกับว่ามันทำมาจากแผ่นฟอยล์บางๆ จากนั้นเขาก็โยนมันกลับไปที่โต๊ะพร้อมกับเสียงดังตึง
“ท่านพ่อยังคิดว่าเป็นไปไม่ได้อยู่รึเปล่า?” เขาถามด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ
โจชัวมองเหล็กที่มีรูปร่างบิดเบี้ยว จากนั้นก็หันกลับมามองลูกชายของเขาพยายามทำความเข้าใจกับความจริงที่เขาพึ่งได้เห็น
สติของเขาฟุ้งซ่านในขณะที่เขาพยายามทำความเข้าใจกับการเปิดเผยนี้ ซึ่งก็มีเพียงความคิดเดียวที่แล่นเข้ามาในหัวของเขา
‘ข้าทำพังแล้ว!’
‘ข้าทำพังครั้งใหญ่เลย!’
โจชัวได้ส่งคำตอบไปให้ราชินีแล้ว เขาประกาศไปแล้วว่าจะส่งลูกชายคนที่สอง วัล วี ไวท์มอร์ ไปยังชายแดนทางเหนือ และนี่ก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากการสลักคำสัญญาเอาไว้บนแผ่นหิน ซึ่งมันก็ได้เกิดขึ้นก่อนที่วัลจะถูกมอบหมายงานที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้เสียอีก คำสัญญาใดก็ตามเมื่อให้ปฏิญาณต่อผู้ปกครองประเทศไปแล้วมันคงไม่สามารถถอดถอนได้ เพราะการถอดถอนก็ไม่ได้ต่างอะไรไปกับการคิดทรยศ มันเป็นกฎที่ไม่ได้พูดกันในอาณาจักร ไม่ว่าความเสื่อมเสียใดก็ตามคนเรานั้นสามารถอดทนได้นอกเสียจากความแปดเปื้อนจากการเป็นคนทรยศ ผู้ใดที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำการที่ชั่วร้ายนี้จะต้องเผชิญหน้ากับผลที่ตามมาอันเลวร้ายที่สุดอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ บางทีอาจจะต้องพบกับจุดจบก่อนวัยอันควรด้วยซ้ำ
โจชัวไม่มีความคิดที่จะเสี่ยงเจอกับผลที่ตามมาอันโหดร้ายนี้เพียงเพื่อวัล แต่ถึงกระนั้น ระลอกความเสียใจก็ค่อยๆ ซึมซับผ่านภายนอกที่แข็งกระด้างของเขาด้วยความคิดที่ว่าอาจจะต้องสละทรัพย์สินที่มีค่าเช่นนี้
ความสามารถในการขยี้เหล็กได้อย่างสบายๆ นั้น เป็นการแสดงสั้นๆ หลังการตื่นขึ้นของสายเลือดไวท์มอร์ และถือเป็นการประกาศถึงอนาคตที่สดใสของวัล ด้วยการให้ความอยู่รอดจากความเป็นจริงอันโหดร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ เขาจะถูกกำหนดให้เป็นผู้ใช้สายเลือดเลเวล 4 โดยไร้ซึ่งอุปสรรค ตราบใดที่เขาสามารถรักษายาที่จำเป็นในการเติมเต็มการวิวัฒนาการของสายเลือดไวท์มอร์เอาไว้ได้
นี่หมายความว่าโจชัวได้โยนเครื่องมือที่มีค่ามากๆ ทิ้งไปเสียแล้ว ช่างเป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่จริงๆ !