บทที่ 34: [เนื้อเรื่องเสริม] จงกอบกู้โลก
ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay
บทที่ 34: [เนื้อเรื่องเสริม] จงกอบกู้โลก
“ข้ากำลังปลุกปั่นไปทั่วทั้งทวีป เจ้าเมืองคนใหม่ของพรมแดนสัตว์ประหลาดที่มาจากราชวงศ์ตระหนี่เงินที่มีอยู่ไงล่ะ”
จูปิเตอร์กล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“และเมื่อได้ยินข่าวนี้ พวกทหารรับจ้างก็จะเริ่มหลั่งไหลเข้ามา”
"อืม..."
เป็นเรื่องที่ไม่สมกับเป็นนางเลยที่ทำโดยไม่ได้ขอ
แต่หากมีข่าวลือว่าทางครอสโรดสัญญาจะให้เงินที่มากมาย คงสามารถดึงทหารรับจ้างจากทั่วทุกมุมทวีปได้
ซึ่งที่น่าสนใจคือ ในโลกของเกมก็ไม่ต่างกับตอนนี้เลย หากสวัสดิการของทหารรับจ้างดี โอกาสที่จะพบเจอพวกเขาก็จะมากขึ้นพอสมควร
’ตอนนี้คงทำได้แค่เพิ่มจำนวนค่าจ้าง เรื่องอื่นคงต้องดูกันไปก่อน’
แม้มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลในทันที แต่ข้าก็จำเป็นต้องคำนึงถึงเรื่องด้วย
จูปิเตอร์ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ สายตาของเธอกวาดไปทั่วสมาคมที่ว่างเปล่า
“ทว่ากว่าข่าวที่ข้าแพร่ออกไปจะเป็นผล คงสักหนึ่งสัปดาห์กระมัง”
ผลลัพธ์ไม่ได้เกิดขึ้นในทันที เป็นไปได้ว่าทหารรับจ้างใหม่จะไม่ปรากฏตัวจนกว่าจะถึงชั้นถัดไป
แผนข่าวของนางคือแผนระยะยาว ข้าพยักหน้าเห็นด้วย
“ข้าต้องพึ่งเจ้าแล้วจูปิเตอร์ จงกระจายเสียงเหล่านั้นไปทั่วเพื่อนำพาเหล่าผู้มาเยือนทั้งหลายเถิด”
"ได้อยู่แล้ว"
จูปิเตอร์เดินกลับเข้าไปในสมาคม โดยเลือกที่นั่งเป็นที่บาร์ นางเอนหลังสบายๆ จุดซิการ์ในมือ
“เช่นนั้นข้าจะอยู่แถวนี้สักพัก เพื่อกระจายข่าวให้ทั้งโลกได้รู้แล้วกัน~!”
"เจ้าอยากทำอะไรก็เชิญเถอะ..."
ข้าทิ้งจูปิเตอร์ไว้กับโลกของนาง จากนั้นจึงออกมาโดยไม่พูดอะไรอีก
นางเองก็มีวิธีการแสดงความจริงใจในแบบของนางเอง ถึงแม้ฐานะทหารรับจ้าง นางแค่ต้องทำงานมากเท่าที่ได้รับค่าจ้างเท่านั้น
ข้าขอชื่นชมนางเลย แม้ว่านางจะปฏิบัติต่อสมาคมเหมือนเป็นห้องนั่งเล่นส่วนตัวก็เถอะ...
***
หลังจากเดินวนรอบเมืองเสร็จ
ข้าจึงกลับไปที่คฤหาสน์ และมอบหมายงานหลายอย่างให้กับไอเดอร์
เรื่องใหญ่สุดคือการลงทุนกำลังคนและทรัพยากรทั้งหมดที่มีอยู่เพื่อแก้ไขกำแพงเมือง
“คำสั่งของท่านคือเจตจำนงของข้าขอรับ!”
ไอเดอร์ได้รีบวิ่งออกไปยังตลาดทันที
เขาต้องขายหินอ่อนที่เพิ่งขุดเสร็จ ซื้อแรงงานและวัสดุมา เขาคงจะยุ่งสักพักใหญ่ ให้เขาได้ลิ้มรสความยากลำบากหน่อยแล้วกัน
ที่จริงเมืองยามนี้กำลังปั่นป่วน
ในหมู่ผู้คนที่คึกคัก คล้ายกับมีบรรยากาศพิกลบางอย่างแผ่ออกมา
“…”
ด้วยความที่มีคนมากมายอยู่ที่นี่ มันก็ทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจเสียเท่าไร
สถานที่แห่งนี้เป็นเมืองป้อมปราการ
แนวหน้าที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อรั้งฝูงสัตว์ประหลาดเอาไว้
หากเมืองกำลังเต็มไปด้วยผู้คน มันก็เป็นการส่งสัญญาณถึงการโจมตีที่กำลังจะมาถึงของพวกสัตว์ประหลาด
ด่านถัดไปอีกไม่นานก็จะเริ่มขึ้นแล้ว
***
ช่วงบ่ายในวันนั้น
ทางตะวันออกเฉียงใต้ของครอสโรด
ที่อยู่อาศัยของมาร์คกราฟแห่งตระกูลครอส
“มาร์คกราฟ!”
มันเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ แต่ทางใต้อบอุ่นผิดปกติ
เสื้อผ้าของข้าเปียกโชกไปด้วยเหงื่อจากการดึงรถเข็นที่เต็มไปด้วยสุรามาจนถึงที่นี่ เมื่อเช็ดเหงื่อบนหน้าผากด้วยหลังมือ ข้าก็ตะโกนออกมาอีกครั้ง
“มาร์คกราฟ! เจ้าอยู่บ้านหรือเปล่า?”
แอ๊ด!
ประตูคฤหาสน์เก่าๆ ได้ถูกเปิดออก ไม่นานนักสายตาอันไม่สบอารฒณ์ของชายสูงอายุก็มองลอดผ่านช่องว่าง
“ข้ากลับมาแล้ว คราวนี้ข้าก็เอาขนมมาด้วย”
ข้าบอกถึงสิ่งที่อยู่ในรถเข็นให้เขาฟัง
แฮมจากขาหลังของหมู ชีสและเหล้าอีกหลายขวด
ข้าเผยยิ้มออกมาเมื่อเห็นมาร์คกราฟที่น้ำลายไหล
“มาดื่มกันเถอะ”
ตัวข้าต้องเอาชนะใจชายชราคนนี้ ข้าต้องการทหารของตระกูลครอส
นี่เป็นเครื่องดื่มเพื่อธุรกิจ ไม่ใช่เพื่อความสนุก!
***
หลายวันผ่านไปในขณะที่ดำเนินกิจวัตรไปเช่นนี้
ข้าใช้เวลากลางวันดูแลการซ่อมแซมป้อมปราการ และเมื่อตกกลางคืนข้าก็เดินทางไปที่บ้านของมาร์คกราฟครอสเพื่อแบ่งปันเครื่องดื่ม
ความสัมพันธ์เราไม่ได้คืบหน้านัก ไม่มีการสนทนามากเท่าไร เพียงแค่การดื่มกันเท่านั้น
ถึงแนวป้องกันจะได้รับการเสริมแกร่งอย่างต่อเนื่อง แต่ในยามนี้ตับของข้ากำลังถูกโจมตีเสียแล้ว
ข้าสงสัยเหลือเกินว่าอวัยวะภายในของข้าจะทนได้อีกถึงยามใด
หลังจากสามวันที่เราดื่มกันไปอย่างเงียบๆ มาร์คกราฟแห่งตระกูลครอสก็ทำลายความเงียบนี้ลงไป
“ท่านมีคนที่ท่านรักอยู่หรือไม่?”
ด้วยคำถามที่ออกมาอย่างฉับพลันของเขา ทำให้ข้านั่งเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจจนเผลอดื่มไปครึ่งริมฝีปาก
ข้าตกตะลึงมาก ไม่ใช่เพราะเขาพูดออกมาเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะคำถามแบบนี้อีก
"ว่ายังไงนะ?"
“ข้าถามว่าท่านมีคนที่รักหรือไม่”
“…”
ขณะที่ข้าตัวแข็งทื่อไม่สามารถตอบได้ มาร์คกราฟแห่งตระกูลครอสก็หัวเราะเบาๆ
“ดูเหมือนว่าจะไม่มีสินะ”
"อืม ถูกต้องแล้ว"
แม้ว่าจะมี มันก็เป็นเรื่องของข้า ข้าไม่คิดจะบอกมันกับเขาอีกแล้ว
“พิจารณาให้ดีสิ ไม่มีสักคนเลยจริงๆ หรือ?”
"หืม..."
ความดื้อรั้นของมาร์คกราฟครอสกระตุ้นให้ข้าคิด คนที่ข้ารักหรือ?
ย้อนกลับไปที่โลก ก่อนที่ข้าจะเริ่มถ่ายทอดสดเกม…ข้าอยู่คนเดียว
ข้าไม่เคยรู้จักความรักจากใครและไม่เคยให้มัน ข้ามีตัวตนอยู่คนเดียวมาโดยตลอด
จากนั้นข้าก็เริ่มถ่ายทอดสดเกม และเมื่อผู้ชมของข้าเพิ่มขึ้น ข้าก็เริ่มได้รับความรักจากผู้ชมจำนวนนับไม่ถ้วน...
– เรารักคุณ พี่ชายที่ติดเกมกาก! (หัวใจเต้นระรัว)
– ฉันควรโดเนทให้เท่าไรถึงส่ายก้นให้ดู? ขอเริ่มต้นด้วย 100,000 วอนแล้วกัน ^^ 7
– ถ้าทำภารกิจล้มเหลวต้องถอดเสื้อผ้าเพื่อเป็นการขอโทษ ㅋㅋ รีบเข้าเลย
“…”
ขณะที่ข้านึกถึงคำพูดทะลึ่งมากมายในแชทจาเหล่าแฟนตัวปลอม หน้าของข้าก็ขาวซีด
ไม่สิเฮ้ย นั่นเป็นการแสดงออก ’ความรัก (?)' ฝ่ายเดียวต่างหาก พวกมันไม่ใช่คนที่ข้าสนใจสักหน่อย
แต่ต่อให้จะคิดมากเพียงใด ข้าก็ไม่สามารถคิดออกเลยสักคน ข้าจึงได้แต่ส่ายศีรษะไปมา
“ไม่มีเลย”
“ท่านนี้ใช้ชีวิตได้ยากลำบากเสียจริงนะองค์ชาย”
พอได้ยินการตัดสินแปลกๆ จากอีกฝ่าย เจ้าเองก็ใช้ชีวิตแปลกๆ เองเหมือนกันไม่ใช่หรือไง!
“แล้วคนที่วันๆ เอาแต่นั่งดื่มผู้เดียวในบ้านยังมีหน้ามาพูดได้อีกเหรอ?”
"ฮ่า ฮ่า ฮ่า..."
มาร์คกราฟหัวเราะเบาๆ ด้วยความขมขื่น ข้าได้แต่แค่นเสียงออกมา
“มาร์คกราฟ เช่นนั้นเจ้ามีคนที่เจ้ารักหรือไม่?”
"มีสิ"
มาร์คกราฟตอบกลับโดยไม่ลังเล
"ภรรยาของข้า คนเดียวที่ข้ารักจนหมดหัวใจ…”
เขามองไปยังใบหน้าของตาแก่ชราผู้กร่ำศึก หน้าตาของเขากลับอ่อนไหวจนแปลกพิกล
แต่คำพูดต่อไปของเขาทำให้ข้าถึงกับพูดไม่ออก
“นางจากไปเมื่อสามปีก่อน”
“…”
“นางถูกสัตว์ประหลาดขย้ำในสวนผลไม้ที่นี่ ทั้งหมดที่ข้าสามารถให้แก่นางได้คืองานศพที่มีเพียงโลงศพว่างเปล่า”
ความเงียบได้แผ่ขจรไป
ข้าเองก็พูดอะไรไม่ออก ส่วนมาร์คกราฟดื่มเหล้าในแก้วของเขาและรินแก้วใหม่ให้ตนเอง
เมื่อเติมแก้วแล้ว มาร์คกราฟก็เริ่มพูดอีกครั้ง เสียงของเขาดังก้องอย่างเชื่องช้า
“มีความโชคร้ายที่ส่งต่อกันมาหลายชั่วอายุคนให้กับผู้ปกครองดินแดนแห่งนี้ บางคนเรียกมันว่าคำสาป”
“คำสาป?”
“ช่วงเวลาที่ท่านต้องเลือกระหว่างเมืองนี้กับคนที่คุณท่านก็อาจจะกำลังมาถึง”
น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่ง ราวกับว่าเขากำลังเล่าเรื่องเทพนิยายแปลกๆ แทนที่จะเป็นคำสาปอันน่าสะพรึงกลัว
“ไม่มีข้อยกเว้น บรรพบุรุษนับไม่ถ้วน ตั้งแต่ปู่ของข้าและบิดาของข้า ไม่มีผู้ใดสามารถรอดพ้นจากคำสาปไปได้”
“…”
“และแล้วช่วงเวลาของข้าก็ได้มาถึง”
มาร์คกราฟยกมือที่สั่นสะท้านของเขาขึ้นมาที่ริมฝีปากของเขาและจิบเครื่องดื่ม
“ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา การโจมตีของสัตว์ประหลาดมีน้อยลงมาก เมืองนี้สงบสุข แต่ข้อเสียคือผลกำไรที่ลดลง สถานการณ์ทางการเงินของเมืองย่ำแย่ลง ข้าจึงต้องหาวิธีใหม่ในการสร้างรายได้”
เขาเริ่มบรรยาย ’ช่วงเวลา’ ในอดีตของเขา
“นั่นคือตอนที่ภรรยาของข้าให้คำแนะนำมา ’มาเพาะปลูกดินแดนทางใต้ของป้อมกันเถอะ'”
“นอกป้อมปราการเหรอ?”
“ดินแดนทางเหนือของเส้นนั้นต่างก็เต็มไปด้วยสงคราม ทำให้ดินแดนแห้งแล้งทางใต้ย่อมสงบสุขกว่ามาก พวกสัตว์ประหลาดมาโผล่ที่นั่นได้ยาก อีกทั้งการปนเปื้อนเวทย์มนตร์ของดินแดนนั้นก็น้อยที่สุด มันเลยดูเหมาะแก่การเพาะปลูกยิ่ง”
“…”
“ดังนั้นข้าจึงขยายพื้นที่เพาะปลูกไปทางทิศใต้ ผู้ลี้ภัยเริ่มอพยพมายังดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ หลั่งไหลเข้ามาและพวกสัตว์ประหลาดก็ปรากฏเป็นครั้งคราว แต่ทว่าก็ถูกขับไล่ออกไปอย่างง่ายดาย สักพักทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดี”
มาร์คกราฟพยายามกลืนเครื่องดื่มในมือของเขา
“สวนผลไม้แห่งนี้ตั้งอยู่ทางใต้สุดของชายขอบ ด้วยความที่เป็นภรรยาของเจ้าเมือง นางจึงมาผู้นำในการปลูกพืชพรรณและหว่านเมล็ดในพื้นที่ส่วนที่อันตรายที่สุดนี้”
มาร์คกราฟจ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง มองไปยังสวนผลไม้
“ข้านึกถึงรสชาติขององุ่นที่นางวางไว้ในปากของข้าด้วยมือที่เปื้อนดินของนาง ผลไม้ที่เก็บเกี่ยวที่นี่ในช่วงปีแรกไม่มีอะไรให้ดูมากนัก แต่มันกลับมีรสหวานที่สุดเท่าที่ข้าเคยลิ้มรสมา”
“…”
“ชั่วขณะหนึ่ง ข้าก็ได้เก็บความหวังนี้เอาไว้ บางทีเราอาจจะไม่ต้องล่าสัตว์ประหลาดอีกต่อไป บางทีเราอาจทำมาหากินด้วยการไถพรวนดินและเก็บเกี่ยวผลไม้ บางทีวันคืนที่เงียบสงบเหล่านี้อาจคงอยู่ได้”
รอยยิ้มอันขมขื่นพาดผ่านใบหน้าที่ร่วงโรยของมาร์คกราฟแห่งตระกูลครอส
“แน่นอนว่ามันย่อมไม่จบเช่นนั้น”
อึก อึก
เมื่อกระดกเหล้าออกจากแก้วในคราวเดียว มาร์คกราฟก็ยังคงเล่าเรื่องต่อไป เสียงของเขาเงียบกริบลง
“มันเป็นช่วงปีที่สองของการเพาะปลูก เราได้รับการแจ้งเตือนว่าสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่หลายร้อยตัวได้ทะลวงฐานแนวหน้าและกำลังเข้ามาใกล้เมือง ข้ารีบกลับไปที่เมือง ภรรยาของข้าดูแลสวนผลไม้ โบกมือให้ข้าเพื่อที่จะบอกให้ข้ากลับมาปลอดภัย”
มาร์คกราฟจ้องมองเข้าไปในแก้วที่ว่างเปล่าของเขา
“เมื่อไปถึงเมือง ข้าก็พบว่าพวกมันแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม สัตว์ประหลาดจำนวนหนึ่งได้แยกออกจากกองกำลังหลักและโจมตีพื้นที่เพาะปลูก”
“…”
“กองกำลังหลักของสัตว์ประหลาดได้พุ่งเข้าโจมตีเมือง เช่นนั้นข้าจึงต้องเผชิญหน้ากับการตัดสินใจ ข้าจะช่วยภรรยาของข้าที่ส่วนเพาะปลูก หรือปกป้องพลเมืองนับหมื่นภายในเมือง?”
ดวงตาที่แก่ชราของมาร์คกราฟแห่งตระกูลครอสได้มองมาที่ข้า
“ท่านคิดว่าข้าเลือกอะไร?”
“เจ้าเลือกเมือง”
"ถูกต้อง อย่างที่ตระกูลของเราทำมาหลายชั่วอายุคน เพราะทั้งหน้าที่และหลักการ ข้าจึงเลือกเมืองนี้”
“…”
“ข้าผนึกประตูเมืองและขับไล่สัตว์ประหลาด หลังจากผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงของการต่อสู้ เราก็สามารถขับไล่พวกมันกลับไปได้ แต่เมื่อข้ากลับไปยังเขตเพาะปลูก…”
มาร์คกราฟแห่งตระกูลครอสได้ปฏิบัติตามหน้าที่ของเขาอย่างซื่อสัตย์
“ทุกอย่างถูกทำลาย ทุกคนที่นี่ได้ถูกฆ่าตายไปหมด เพียงสัตว์ประหลาดไม่กี่ตัว แต่มันกลับสังหารผู้คนนับร้อยชีวิต สวนผลไม้แห่งนี้และภรรยาของข้าก็มีชะตากรรมเดียวกัน”
ในยามนั้น เขาสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดไป
“ปัญหาอยู่ที่ใด การป้องกันที่หละหลวม? หรือการขยับขยายเมืองที่มากเกินไป? ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดพลาดของข้าเอง แต่สิ่งที่ทำให้ข้าเจ็บปวดมากที่สุดคือ…คือช่วงเวลาที่ข้าได้เลือกเมืองมากกว่าภรรยาของข้าเอง”
อึก อึก
มาร์คกราฟแห่งตระกูลครอสได้เติมแก้วของเขาและดื่มขึ้นไปอีก เขาทำมันวนซ้ำไปมา
“ลูกสาวของข้าก็หาว่าข้ามันบ้า นางไม่มีทางเข้าใจว่าทำไมข้าถึงเลือกเมืองนี้มากกว่าแม่ของนาง ไม่กี่วันต่อมา ลูกสาวของข้าก็จากที่นี่ไป”
“…”
“ท้ายที่สุด นี่ก็คือผลลัพธ์ของชีวิตที่ข้าใช้เพื่อปกป้องสถานที่แห่งนี้ ภรรยาของข้าตายไป ลูกสาวของข้าก็จากไปแล้ว มีเพียงข้าอยู่ที่นี่อย่างโดดเดี่ยว”
ข้าทำได้เพียงสังเกตมือที่สั่นไหวและอ่อนแอของชายชรา อารมณ์ที่ผสมปนเปกันทำให้ดวงตาของข้าขุ่นมัว
“…ซึ่งมันเป็นเพียงเครื่องเตือนใจหนึ่งเท่านั้น องค์ชาย”
ฟุบ
มาร์คกราฟแห่งตระกูลครอสได้วางแก้วลงบนโต๊ะพร้อมกับถอนหายใจออกมา
“ท่านรู้ใช่ไหมว่าพวกเขาเรียกเมืองแห่งนี้ว่าอะไร?”
“เมืองแห่งหลุมศพใช่ไหม?”
"ถูกต้อง เมืองเฮงซวยที่สร้างขึ้นบนความตายนี้จะบังคับให้ท่านต้องเลือกด้วย”
มาร์คกราฟแห่งตระกูลครอสอสยกนิ้วชี้ตรงมาที่ข้า
“จะมีสักครั้งที่ท่านต้องเสียสละสิ่งที่ท่านรักที่สุดเพื่อปกป้องเมืองนี้”
“…”
มันไม่ได้รู้สึกเหมือนคำสาป แต่เหมือนคำทำนายมากกว่า
เหมือนกับเป็นคำทำนายถึงอนาคตที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงไปได้
“ครอบครัวของเราต้องแบกรับการเสียสละนั้น ปู่ของข้า บิดาของข้าและตอนนี้ก็ข้า แต่…ว่าไม่มีอีกแล้ว”
มาร์คกราฟหลับตาแน่น
“ข้าปฏิเสธที่จะส่งต่อความรับผิดชอบที่ถูกสาปนี้ให้แก่ลูกสาวของข้า”
"ข้าเข้าใจแล้ว..."
เช่นนั้นเรื่องราวทุกอย่างก็สมเหตุสมผล
ข้าค่อยๆ พยักหน้า
“มาร์เกรฟ เจ้าสละตำแหน่งเพื่อหลีกเลี่ยงการส่งต่อตำแหน่งให้แก่ลูกสาวของเจ้าสินะ”
"ถูกต้องแล้ว"
มาร์คกราฟแห่งตระกูลครอสยอมรับอย่างใจเย็น
“ข้าปรารถนาให้ลูกสาวของข้าหนีออกจากดินแดนต้องคำสาปนี้ ห่างออกจากหน้าที่อันเลวร้าย เพื่อไปมีชีวิตที่แสนสงบสุขและสนุกสนาน”
ตัวแท๊งค์ระดับ SSR เอวาเจลีน ครอส
ตัวละครที่ข้าคลั่งไคล้ต้องการหามาร่วมทีม แต่มาร์คกราฟแห่งตระกูลครอสกลับมุ่งมั่นอย่างมากที่จะให้นางถอยห่างจากป้อมปราการของที่นี่
“องค์ชาย ท่านขอความช่วยเหลือจากข้าในการปกป้องเมืองใช่หรือไม่?”
มาร์คกราฟแห่งตระกูลครอสกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า
“ข้าปกป้องเมืองมามากพอแล้ว ถึงกับต้องแลกไปด้วยสิ่งสำคัญที่สุดของข้า”
“…”
“ข้าขอพอเพียงแค่นี้”
ในดวงตาของมาร์คกราฟแห่งตระกูลครอสที่สะท้อนอยู่ในแก้ว มันไม่มีความภาคภูมิใจใดๆ ของชายคนหนึ่งที่ปกป้องป้อมปราการมาตลอดชีวิตของเขา
“ข้ายินดีที่จะสูดลมหายใจเฮือกสุดท้ายในสวนผลไม้ที่นี่ ไม่ใช่บนยอดป้อมปราการนั่น”
มันมีเพียงความเสียใจของชายผู้หนึ่งที่ไม่สามารถยืนเคียงข้างภรรยาได้ในช่วงเวลาสุดท้ายของนาง
“นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมข้าถึงไม่อยากช่วย เห็นแก่ที่ท่านมาอยู่กับตาแก่อย่างข้า ข้าก็จึงบอกความจริงตามตรงไป”
“…”
“เช่นนั้นก็ไปตามทางของท่านเถิด เมื่อเวลานั้นของท่านมาถึง…จงเลือกอย่างชาญฉลาด”
มาร์คกราฟแห่งตระกูลครอสยกแก้วของเขาขึ้นพร้อมกับขนมปังปิ้ง เขาหัวเราะออกมาอย่างขมขื่นขณะที่เขาเทขวดที่เหลือลงในแก้วเปล่าของเขา
“เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจอย่างที่ข้าเป็นอยู่”