1179 - หมู่บ้านเทียนจื่อ
1179 - หมู่บ้านเทียนจื่อ
ไม่นานหลังจากนั้นเย่ฟ่านก็กลับมามีสติอีกครั้ง เขาเทชาถ้วยที่สองลงไปและเริ่มลิ้มรสมัน ความรู้สึกนั้นเหมือนมีเต๋านับพันไหลอยู่ในปากสร้างความเคลิบเคลิ้มไม่รู้จบ
“คำนับเซียนผู้ยิ่งใหญ่”
เสียงอันไพเราะดังขึ้นที่ด้านหน้าประตู ฮั่วหลินเอ๋อก้าวเข้าประตูมาและแสดงความเคารพต่อเซียนแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนซวนอย่างนอบน้อม
ฮั่วหลินเอ๋อรวบผมสีฟ้าแวววาวของนางอย่างเรียบง่าย ท่วงท่าของนางเต็มไปด้วยความสง่าในขณะที่ก้าวไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้ม
“ในอดีตบิดาของข้าจะชงชาแห่งความรู้แจ้งด้วยน้ำจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ทุกวัน เมื่อดื่มชาเขามักจะมองท้องฟ้าอย่างเงียบๆ โดยไม่พูดอะไรตลอดทั้งคืน กลิ่นชาประเภทนี้หอมเย้ายวนใจอย่างยิ่ง”
คำพูดของฮั่วหลินเอ๋อแสดงออกอย่างชัดเจนว่าชาแห่งการรู้แจ้งนั้นเป็นสมบัติของตระกูลนาง และการที่เซียนแห่งเทียนซวนแย่งชิงมันมาถือเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
“หรูหราอย่างยิ่ง สามารถชงชาแห่งการรู้แจ้งในดินแดนต้องห้ามแห่งชีวิตได้ทุกวัน ดูเหมือนพฤติกรรมอันสุขสำราญนี้คงมาจากจักรพรรดิโบราณที่เป็นบิดาของเจ้านั่นเอง” ฉีลั่วพูดอะไรไม่ออก
“น่าเสียดายที่ต้นชาเก่าดูเหมือนจะแยกออกจากภูเขาอมตะไม่ได้ บิดาของข้าวางแผนที่จะปลูกมันไว้ที่ถ้ำโหวหลินแต่เมื่อถอนมันออกไปจากที่เดิมต้นชาก็มีทีท่าว่าจะเหี่ยวเฉาลงอย่างรวดเร็ว บิดาของข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากนำมันกลับมาปลูกไว้ที่เดิม” ฮั่วหลินเอ๋อกล่าว
เย่ฟ่านเกือบจะพ่นน้ำชาออกมาเมื่อเขาคิดว่าต้นชาเก่าแก่นั้นน่าสงสารเพียงใด จักรพรรดิอมตะใช้ลำต้นของมันทำโรงศพให้กับตัวเอง
ยิ่งไปกว่านั้นสุนัขสีดำตัวใหญ่เคยกล่าวไว้ว่าตอนที่มันเข้าไปในภูเขาอมตะเมื่อหลายปีก่อนจักรพรรดิอู่ซือก็ได้ถอนต้นชานี้ออกมาแล้ว สุดท้ายต้นชาก็เหี่ยวเฉาลงเขาจึงต้องปลูกมันไว้ที่เดิมอีกครั้ง
“จักรพรรดิโบราณได้ล่วงลับไปแล้ว ไม่มีใครในโลกนี้สามารถเป็นอมตะได้ มีเพียงชาแห่งความรู้แจ้งและยาเซียนไม่กี่ต้นในโลกนี้เท่านั้นที่สามารถดำรงชีวิตได้ตลอดไป” เซียนแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนซวนกล่าว
เมื่อได้ยินคำพูดนี้เย่ฟ่านก็ตกใจเป็นอย่างมาก เป็นความจริงที่ว่าในโลกนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตอมตะที่แท้จริง แม้แต่จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ก็ต้องแสวงหาโลกอื่นเพื่อค้นหาชีวิตอมตะ
มีเพียงยาเซียนไม่กี่ชนิดในโลกเท่านั้นที่ยังคงมีชีวิตอยู่อย่างไม่เสื่อมสลายแม้จะผ่านไปหลายล้านปีแล้วก็ตาม
เห็นได้ชัดว่าความเป็นอมตะของพวกมันได้หลอกหลอนจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่หลายคน นั่นเป็นเหตุผลให้พวกเขาต่างปรารถนาจะครอบครองยาเซียนให้เป็นสมบัติประจำตัว
“ให้ข้าดื่มหน่อยได้ไหม?” ฮั่วหลินเอ๋อมองกาน้ำชาด้วยความเศร้าโศกเล็กน้อย
“เมื่อก่อนบิดาของข้ามักจะชงชาประเภทนี้เสมอ แต่ข้ากลับไม่มีความสนใจที่จะดื่มมันด้วยซ้ำ แต่หลังจากที่บิดาของข้าล่วงลับไปแล้วข้ากลับอยากระลึกถึงท่านผ่านชาถ้วยนี้”
“คุณหนูเชิญนั่งลงก่อน หากเจ้าสะดวกใจ พอจะเล่าเรื่องจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์บิดาของเจ้าให้เราฟังได้หรือไม่!”
เย่ฟ่านเทชาให้นางหนึ่งถ้วย เขาอยากรับรู้เรื่องราวของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ให้มากกว่านี้
“เกรงว่าเจ้าต้องผิดหวังแล้ว บิดาของข้ามีบุตรเพียงสองคนคือข้าและพี่ชาย พวกเราพี่น้องมีอายุห่างกันหนึ่งหมื่นสองพันปีและในช่วงที่เราเกิดขึ้นมาได้ไม่กี่ปีพวกเราก็ถูกท่านพ่อปิดผนึกไว้ในต้นกำเนิดสวรรค์
แต่ในช่วงเวลาสิบกว่าปีที่อาศัยอยู่ร่วมกันนั้นเรารู้เพียงว่าท่านพ่อมีความรักและความเมตตาไม่แตกต่างจากบิดาของคนทั่วไป น่าเสียดายที่เราไม่มีโอกาสสัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ของท่านในฐานะจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์แม้แต่ครั้งเดียว”
ฮั่วหลินเอ๋อยิ้มเบาๆ แล้วจิบชาอย่างเงียบๆ แน่นอนว่าสถานะของนางและเย่ฟ่านถือว่ายืนอยู่ในฝั่งตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง มันไม่มีทางที่นางจะบอกเล่าความลับของเผ่าพันธุ์โบราณให้เขารู้
เย่ฟ่านตกอยู่ในอาการงุนงง พี่น้องที่อายุห่างถึงหนึ่งหมื่นสองพันปี จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นมีชีวิตยืนยาวมากแค่ไหนกันแน่จึงสามารถให้กำเนิดทายาทที่อายุห่างกันถึงขนาดนั้นได้
หลังจากดื่มชาไปสักพักฮั่วหลินเอ๋อก็ยืนขึ้นและขอตัวกลับ ในขณะที่เย่ฟ่านและฉีฮั่วเดินทางร่วมกันเพื่อสนทนาความร่วมมือที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
พวกเขาเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ จนกระทั่งออกจากเมืองศักดิ์สิทธิ์เข้าสู่ภูเขาอันรกร้างและมีหมู่บ้านเล็กๆ ซึ่งผู้คนอาศัยอยู่เล็กน้อย
ในหมู่บ้านแห่งนี้ผู้คนอาศัยอยู่อย่างเรียบง่าย พวกเขาออกล่าสัตว์ในตอนกลางวันและกลับสู่หมู่บ้านในช่วงกลางคืน ชีวิตของพวกเขากลมกลืนไปกับธรรมชาติทำให้เย่ฟ่านสัมผัสได้ถึงความศักดิ์สิทธิ์บางอย่าง
“หมู่บ้านนี้ซ่อนตัวอยู่ในโลกใบเล็กซึ่งเซียนโบราณแห่งวังสวรรค์สร้างขึ้น” ฉีลั่วกล่าว
ในหมู่บ้านเทียนจื่อมีผู้คนอาศัยอยู่ประมาณสี่สิบหรือห้าสิบหลังคาเรือนและมีผู้คนเพียงสองร้อยคนเท่านั้น
เย่ฟ่านได้เตรียมใจมายาวนาน หากวังสวรรค์ยังมีความเจริญรุ่งเรืองเพียงพอมันคงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะทนแบกรับความแค้นหลายหมื่นปีแบบนี้
“จริงๆ แล้วเจ้าไม่จำเป็นต้องไปที่ลานพนันหินเทียนซวนเพื่อดื่มชา เจ้าไม่จำเป็นต้องทำให้ข้ากลัวแบบนั้น ข้าไม่มีวันทำอันตรายต่อเจ้า” ฉีลั่วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“ผู้อาวุโสฉีมีคนสามารถสังหารราชาผู้ยิ่งใหญ่แห่งวังพิภพได้แล้ว ในตอนนี้เขาร่ำร้องอยู่นอกภูเขาโดยต้องการให้ร่างศักดิ์สิทธิ์เซียนโบราณจ่ายด้วยยากิเลนม่วง” ชาวบ้านคนหนึ่งเข้ามารายงานข่าวอย่างนอบน้อม
“เร็วขนาดนี้ ใครฆ่าปลาตัวใหญ่แบบนั้นได้?” เย่ฟ่านรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
“คนจากภูเขาเสิ่นคานเป็นคนทำ” ฉีลั่วกล่าว
นักพรตเสิ่นซึ่งเมามายตลอดทั้งปีทั้งชาติถูกเรียกกับภูเขาเสิ่นคานไปแล้ว และคราวนี้คนที่ลงมือสังหารเซียนเทียมขั้นสามของวังพิภพนั้นคือชายชราอีกคน
“สิ่งมีชีวิตโบราณจากภูเขาเสิ่นคานไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วยอำนาจของรังไหมศักดิ์สิทธิ์เกรงว่าในไม่ช้าพวกเขาจะต้องค้นหารังของพิภพและอเวจีจนเจอ” ฉีลั่วหัวเราะและกล่าวว่า “ยาเซียนของภูเขาเสิ่นคานหายสาบสูญไปหลายปีแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงลงมือแย่งชิงกับถ้ำโหวหลินเพื่อให้ได้ยาเซียนชิ้นใหม่ไปปลูกแทน”
“ชนเผ่าโบราณเพิ่งตื่นขึ้นมาในรอบล้านปี ท่านติดต่อพวกเขาด้วยวิธีไหน?”
“ในฐานะนักฆ่า หูตาของเจ้าต้องดีเป็นพิเศษ” ฉีลั่วกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
เมื่อเย่ฟ่านเห็นท่าทางเช่นนี้เขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก “ตอนที่ข้าอยู่ในเมืองศักดิ์สิทธิ์ ถ้าข้าแพ้คนเหล่านั้นท่านจะยืนดูอยู่ข้างๆ โดยไม่ทำอะไรหรือไม่?”
“สมมติฐานนี้ไม่สมเหตุสมผล เพราะเจ้าเป็นยอดฝีมือรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งของโลกมันไม่มีทางที่เจ้าจะพ่ายแพ้ให้กับผู้ใด” ฉีลั่วส่ายหน้า
“ดูเหมือนตำแหน่งของท่านในวังสวรรค์จะค่อนข้างสูง ท่านมีอำนาจในการมอบตำแหน่งสวรรค์ให้ข้าจริงๆ?” เย่ฟ่านชี้ให้เห็นถึงประเด็นสำคัญ
“ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดของวังสวรรค์ทุกรุ่นล้วนได้รับการขนานนามว่าสวรรค์ อย่างไรก็ตามคำว่าแข็งแกร่งที่สุดนั้นจะนับเฉพาะผู้ที่เข้าสู่อาณาจักรเซียนไปแล้ว” ฉีลั่วตอบอย่างจริงจัง
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่ฟ่านก็พยักหน้า จากนั้นเขาก็เล่าเหตุการณ์ที่เขาไปที่หน้าผาศักดิ์สิทธิ์และค้นพบซากศพของปรมาจารย์สวรรค์ เซียนผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นเสียชีวิตอย่างอนาถและซากศพของเขาดูเหมือนจะเต็มไปด้วยปราณอสูรอันเข้มข้น
ฉีลั่วนิ่งเงียบอยู่นานและกล่าวว่า “ร่างศักดิ์สิทธิ์ถูกปีศาจเข้าครอบงำทำให้เส้นผมของเขากลายเป็นสีเขียว ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องใช้รัศมีพลังของคัมภีร์สถาปนาเทพที่จักรพรรดิอู่ซือสร้างขึ้นเพื่อปราบปรามสิ่งชั่วร้ายที่อยู่ในร่างกาย ความตายของท่านบรรพชนนั้นเต็มไปด้วยความองอาจกล้าหาญไม่ได้ชั่วร้ายอย่างที่เจ้าคิด”
ทั้งสองพูดคุยกันเป็นเวลานาน และในที่สุดเย่ฟ่านก็หยิบคทาแห่งสวรรค์และคัมภีร์ผิวหนังมนุษย์ออกมา
ฉีลั่วรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากเมื่อเห็นสองสิ่งนี้ ร่างกายของเขาก็สั่นสะท้านไม่หยุด เขาก้าวไปข้างหน้าและคุกเข่าลงที่เบื้องหน้าของเย่ฟ่านเพื่อประคองคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์แห่งสวรรค์ขึ้นเหนือศีรษะ
“ในที่สุดสมบัติศักดิ์สิทธิ์แห่งบรรพชนก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง…” ชายชราร่ำไห้ด้วยความเศร้าโศก
“โอ้ ข้าตื่นเต้นจนเสียกริยาเกินไป น้องชายได้โปรดอย่าหัวเราะ ฮ่าๆๆ...” ฉีลั่วหัวเราะอย่างเก้อเขิน ท่าทางของเขาทำให้เย่ฟ่านอับจนปัญญาเล็กน้อย ดูเหมือนชายชราคนนี้จะมีจิตใจอ่อนไหวอย่างยิ่ง
“อาวุธนี้ดูเหมือนจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าอาวุธระดับเซียนที่ข้าเคยเห็น”
เย่ฟ่านระงับจิตสังหารที่ออกมาจากคฑาก่อนจะสะบัดอาวุธศักดิ์สิทธิ์ไปมาเล็กน้อย
“เจ้าไม่จำเป็นต้องแสดงให้ข้าเห็น ของชิ้นนี้ไม่สามารถกวัดแกว่งอย่างวุ่นวายได้ นี่คือครึ่งก้าวอาวุธเต๋าสุดขั้ว พลังของมันจะผกผันไปตามผู้ครอบครอง หากถูกใช้ออกด้วยมือของเสมือนจักรพรรดิพลังของมันแทบจะเทียบกับอาวุธเต๋าสุดขั้วได้เลย” ฉีลั่วกล่าวด้วยความตื่นเต้น
เย่ฟ่านรู้มานานแล้วว่านี่เป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังอย่างมาก น่าเสียดายที่มันถูกปิดผนึกไว้และไม่สามารถแสดงพลังออกมาได้อย่างเต็มที่
“ในอดีตวังสวรรค์ครอบครองอาวุธศักดิ์สิทธิ์มากมายนับไม่ถ้วนแต่พวกมันสูญหายไประหว่างการปล้นชิงของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น คทานี้มีความหมายพิเศษหากฐานการบ่มเพาะของเจ้าต่ำกว่าระดับเซียนเจ้าจะไม่สามารถปลดปล่อยพลังของมันออกมาได้แม้แต่น้อย” ฉีลั่วเต็มไปด้วยความภาคภูมิ จากนั้นจึงลดเสียงลงและกล่าวว่า
“หม้อทองคำมืดที่มีลวดลายมังกรเป็นสมบัติลับแห่งสวรรค์พิภพที่ถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับคฑาของเรา ความลับที่ซุกซ่อนอยู่ในอาวุธทั้งสองเพียงพอที่จะทำให้จิตใจของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่สั่นสะเทือนได้เลย”
ในท้ายที่สุดฉีลั่วก็ถือคัมภีร์ผิวหนังมนุษย์และกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน
“เจ้ารู้ไหม นี่ไม่เพียงบันทึกส่วนที่สำคัญที่สุดของคัมภีร์แห่งวังสวรรค์เท่านั้น แต่มันยังเป็นอาวุธสังหารที่ทรงพลังที่สุดอีกด้วย”
“มันเป็นอาวุธหรือ?” เย่ฟ่านรู้สึกประหลาดใจ
“หลังจากที่บรรพชนครอบครองชีวิตที่สองแล้ว เขาได้ใช้ผิวหนังจากร่างกายเดิมซึ่งอยู่ในระดับเสมือนจักรพรรดิสร้างคัมภีร์เล่มนี้ขึ้น!”
เย่ฟ่านสูดลมหายใจอย่างหนาวเหน็บ ตามตำนานกล่าวไว้ว่าปรมาจารย์แห่งสวรรค์ได้รับประทานยาเซียนเข้าไปหนึ่งต้นและทำให้เขาสร้างชีวิตที่สองได้สำเร็จ ในชีวิตที่สองนี้เองที่เขาสามารถสัมผัสได้ถึงแม่น้ำแห่งกาลเวลา!
เป็นไปได้ไหมว่าผิวหนังมนุษย์นี้คือสมบัติที่เขาสร้างขึ้นหลังจากที่เขามองเห็นแม่น้ำแห่งกาลเวลาแล้ว?
……