Chapter 9: ไล่ล่าผีดิบในป่าราตรีนิรันดร์!
พื้นที่อันกว้างใหญ่ของป่าราตรีนิรันดร์ถูกแบ่งเป็นสองส่วนใหญ่ๆ -เขตชั้นในและเขตชั้นนอก โดยทั่วไปแล้ว เขตชั้นในจะเป็นเขตแดนของสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งซึ่งมีเลเวลสูงกว่า 10 ในขณะที่เขตชั้นนอกจะเป็นบ้านของสัตว์ที่มีเลเวลอยู่ระหว่าง 1-10
“สัตว์ร้าย” เป็นคำที่ใช้เรียกสัตว์กลายพันธุ์
สัตว์ร้ายที่อยู่ระหว่างเลเวล 1-10 นั้นในด้านความแข็งแกร่งจะถูกพิจารณาเท่ากับผู้ใช้สายเลือดเลเวล 1
ในขณะเดียวกัน สัตว์ร้ายเลเวล 11-20 นั้นเทียบได้กับผู้ใช้สายเลือดเลเวล 2 นอกจากนี้ ทุกๆ เลเวลของผู้ใช้สายเลือดนั้นยังมีแบ่งย่อยอีกสามขั้นได้แก่ ขั้นเริ่มต้น, ขั้นสูง, และขั้นสูงสุด วัลเพิ่งจะถูกปลุกสายเลือดของปีศาจเลือด จึงพิจารณาได้ว่าอยู่ขั้นเริ่มต้นของเลเวล 1
ในการมุ่งหน้าไปยังเมืองชาโด้วฟอล วัลจำเป็นที่จะต้องอ้อมไปตามเขตชั้นนอกของป่าราตรีนิรันดร์ เขาไม่ควรก้าวเข้าไปในเขตชั้นในที่ผู้ใช้สายเลือดเลเวล 1 มีโอกาสตายสูง
อย่างไรก็ตาม นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะปลอดภัยอย่างแน่นอน
มันมีบางครั้งที่สัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งจะออกมาจากเขตชั้นในเพื่อค้นหาเหยื่อที่เขตชั้นนอก
ดังนั้น เขาจะต้องคอยสอดส่องรอบข้างอยู่ตลอด
ถ้าเขาเจอกับสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่ง เขาก็เตรียมพร้อมที่จะหนีสุดตัว!
การปะทะกับสัตว์ร้ายเลเวล 11 หรือสูงกว่าในขณะที่เป็นผู้ใช้สายเลือดเลเวล 1 นั้นเป็นการต่อสู้ที่ไม่ยุติธรรมเอาซะเลย และการต่อสู้แบบนั้นก็เป็นสิ่งที่วัลไม่คิดจะสู้อย่างแน่นอน!
ต้นไม้สูงตระหง่านในป่าราตรีนิรันดร์นั้นไม่เคยพบเจอกับความโหดร้ายของขวานมาก่อน ดังนั้นมันจึงเติบโตขึ้นไปบนฟ้าพร้อมกับลำต้นที่ใหญ่โต กิ่งก้านของพวกมันเหมือนกับมือที่ยื่นออกและประสานเข้าด้วยกันจดทำให้เกินเป็นพุ่มไม้หนาอยู่เหนือศีรษะ
ในขณะที่เมฆเคลื่อนผ่าน หนึ่งในดวงจันทร์ที่ส่องแสงสีขาวหิมะก็ปรากฏขึ้น แต่กิ่งก้านหนาทึบก็ได้บดบังภาพอันน่าทึ่งนี้พร้อมกันกับแสงจันทร์ส่วนใหญ่
อย่างไรก็ตาม ด้วยช่องว่างเล็กๆ ระหว่างพุ่มไม้ แสงจันทร์อ่อนๆ บางส่วนก็สามารถส่องทะลุผ่านมาได้เผยให้เห็นแสงอันนิ่งสงบบนผืนป่า
ภายใต้แสงบางๆ นี้ วัลได้อาบกับแสงจันทร์อ่อน แสงที่ตกลงมากระทบเขานั้นราวกับน้ำตกสีเงินอันนุ่มนวล
วัลเคลื่อนไหวไปตามป่าอย่างคล่องแคล่ว แต่ถึงกระนั้นฝีเท้าของเขาก็เงียบเชียบจนน่ากลัว
สิ่งนี้มันเป็นไปได้ก็เพราะเทคนิคที่เขาเคยเรียนรู้มาในชีวิตก่อน ชื่อของเทคนิคนี้ก็คือก้าวเงียบ
ในชีวิตก่อนของเขา เขานั้นโชคร้ายเกิดมาในครอบครัวที่ไม่ปกติ ในตอนที่ครอบครัวรู้ว่าเขาไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดและความกลัว พวกเขาก็ผลักไสเขาไปอยู่ในสันนิบาตเงา องค์กรที่โด่งดังระดับโลกที่ซึ่งผลิตนักฆ่าฝีมือดีออกมาเป็นจำนวนมาก ในตอนที่ถูกส่งไปนั้น เขายังเด็กมากอายุแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น
ด้วยความที่ถูกเลี้ยงดูในสภาพแวดล้อมที่ปกคลุมไปด้วยความมืด เขาจึงกลายเป็นหนึ่งในนั้นและได้เรียนรู้ศิลปะการลอบสังหารจากอาจารย์ของเขาและยังเป็นคนทรมานเขาด้วย เขาเชี่ยวชาญสิ่งที่ได้รับการสั่งสอนมาจนถึงจุดที่เขาก้าวข้ามแม้กระทั่งอาจารย์ของเขา หลังจากนั้น เขาก็ได้กลายเป็นผู้สร้างแทน
ด้วยการใช้ทักษะของเขา เขากำจัดสมาชิกของสันนิบาตทุกคนที่เข้ามาขวางหนทางสู่อำนาจของเขา จนกระทั่งได้กลายเป็นหัวหน้าของสันนิบาตและรักษาตำแหน่งของตัวเองในฐานะขุนศึกแห่งโลกใหม่!
ผืนป่านั้นกลาดเกลื่อนไปด้วยเศษใบไม้ที่ร่วงลงมาและซากพืชซากสัตว์ที่สลายตัว อย่างไรก็ตาม สำหรับคนอย่างเขา การเคลื่อนไหวโดยไม่มีเสียงในพื้นที่เช่นนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามอะไรเลยเหมือนกับการเดินเล่นในสวน เขาเคลื่อนตัวไปตามเขตชั้นนอกอย่างช่ำชองและไม่ลืมที่จะระมัดระวังไม่ให้ไปเหยียบเศษซากอินทรีย์ที่แห้งแล้ว
แกรก!
อย่างไรก็ตาม ความเงียบของป่าก็ถูกทำลายลงอย่างกะทันหันด้วยเสียงแกร๊ก จากการที่ใบไม้ถูกเหยียบอย่างแรง
ทันใดนั้นเอง มือของวัลก็ลดลงไปจับด้ามดาบ เสียงกระทบกันของส่วนคมดาบกับปลอกดาบที่ถูกชักออกมาได้ทลายความเงียบสงัดยามค่ำคืน
หลังจากนั้นจากม่านธรรมชาติของดงต้นไม้ กลุ่มผีดิบเลเวล 0 สี่ตัวก็เดินซวนเซออกมา ร่างกายที่เน่าเปื่อยของพวกมันถูกคลุมไว้ด้วยเศษผ้าขาดๆ และแขนขาของพวกมันก็ถูกบิดจนผิดเพี้ยน พวกมันคือตลกร้ายในร่างมนุษย์ ดวงตาไร้ชีวิตอันว่างเปล่าและร่างกายที่ผิดรูปผิดร่างของพวกมัน
กลิ่นเหม็นเน่าของพวกมันลอยโชยมาจากลมกรรโชกที่พัดมาอย่างกะทันหันตรงเข้ามาหาวัล
ในจังหวะต่อมา จมูกของวัลก็กระตุกด้วยความรังเกียจกับกลิ่นที่ตรงเข้ามาหาจมูกของเขา
กลิ่นของพวกผีดิบนั้นคล้ายกับกลิ่นหมูที่กลิ้งเกลือกอยู่ในความโสโครกของพวกมันมานับร้อยปี!
มันยากที่จะทานทนจริงๆ
ถ้าเขาไม่ได้บกพร่องทางการแสดงออกและสามารถรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดและความกลัว และเต็มไปด้วยอารมณ์ต่างๆ เหมือนคนทั่วไปก็คงจะสำรอกออกมาเหมือนกับคนอื่นๆ ถ้าพวกเขามาอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเขา
ต้องขอบคุณที่เขาไม่ใช่คนปกติ! ไม่เช่นนั้น เขาก็คงจะไม่สามารถทนกับกลิ่นที่โหดร้ายนี้ได้!
ฮื่ออ! ฮึ่มมม!
ผีดิบร้องครวญครางในขณะที่เดินเข้ามาหาวัลด้วยความเร็วระดับหอยทาก
การเคลื่อนไหวที่เชื่องช้าและรูปแบบการเคลื่อนไหวที่เฉพาะเจาะจงคือสิ่งที่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าพวกมันเป็นผีดิบเลเวล 0
ผีดิบ หรือศพเดินได้ตามที่คนพื้นเมืองของเอลดริชเรียกกันโดยทั่วไปนั้นจะถูกจัดอันดับไว้จากเลเวล 0 ถึง 10
ผีดิบเลเวล 0 มีภัยคุกคามน้อยที่สุด มีความสามารถต่ำกว่าคนธรรมดาและมีสติปัญญาที่จำกัด
ผีดิบเลเวล 1 มีความเร็วพอๆ กับมนุษย์แต่ไม่ฉลาด
ผีดิบเลเวล 2 มีความแข็งแกร่งทางร่างกายมากกว่า อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับประเภทของผีดิบ พวกมันอาจจะเร็วกว่า, แข็งแกร่งกว่า, หรืออึดกว่ามนุษย์ทั่วไปและแม้กระทั่งผู้ใช้สายเลือดเลเวล 1
ผีดิบที่มีเลเวลมากกว่า 2 นั้นถูกรายงานว่ามีพลังเหนือธรรมชาติ พวกมันเป็นศัตรูที่ไม่สามารถดูถูกได้ อย่างไรก็ตาม ผีดิบที่แข็งแกร่งเหล่านี้แทบจะไม่เคยถูกพบในดินแดนแถบนี้
ในเอลดริช ผีดิบเลเวล 0 คือมอนสเตอร์ที่ฆ่าง่ายที่สุด แม้กระทั่งพวกปกติก็ยังสามารถฆ่าพวกมันได้ถ้าพวกเขาไม่ได้แสดงความขี้ขลาดหรือถูกครอบงำด้วยความรังเกียจ วัลเคยศึกษาในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงที่สุดในป้อมปราการไอรอนสไปร์ เขาใส่ใจตลอดช่วงระยะเวลาที่อยู่ในโรงเรียน เขาจำรูปแบบการโจมตีของพวกมันได้อย่างละเอียดและรู้ถึงวิธีจัดการพวกมันอย่างมีประสิทธิภาพ
ร่างกายของผีดิบเลเวล 0 นั้นจะอยู่ในสภาพเสื่อมโทรมในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของพวกมันนั้นเข้าขั้นน่าสมเพชเพราะขาของพวกมันใกล้จะเน่าจนหลุดออกมา และดูเหมือนพร้อมที่จะล้มลงไปเพราะน้ำหนักตัวได้ทุกเมื่อ
ด้วยการจับด้ามดาบเอาไว้แน่น วัลเฝ้ารอให้พวกมันเข้ามาใกล้เขา
มือที่เหมือนกับกรงเล็บของพวกมันยื่นออกมาด้วยความหิวกระหายในเลือดเนื้อของเขา แต่ด้วยการตวัดดาบที่รวดเร็วของเขามือของพวกมันได้ถูกตัดออก
ฉับ!
มือมากมายร่วงลงไปกับพื้นพร้อมๆ กัน
ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวทำให้เหล่าผีดิบสูญเสียมือของพวกมันไป
เมื่อสูญเสียมือไปแล้ว ผีดิบเลเวล 0 มักจะมีพฤติกรรมในการกระโจนเข้าหาเหยื่อ ซึ่งวัลก็รู้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นเพราะเขาเคยเรียนรู้เรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับผีดิบในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงของป้อมปราการไอรอนสไปร์
เขาพึ่งจะเรียนจบจากโรงเรียนมาได้หนึ่งเดือนก่อนที่จะอายุครบ 16 ดังนั้นความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องที่เขาเรียนมายังสดใหม่อยู่
ผีดิบพุ่งเข้าใส่เขาด้วยความเร็วที่น่าประหลาดใจ พวกมันเคลื่อนไหวเร็วกว่าตอนที่ยังมีมือประมาณ 20 เท่าได้ การโจมตีนี้มักจะใช้ได้กับพวกโง่ที่ลดการป้องกันลงเพราะคิดว่าสิ่งที่เคลื่อนไหวช้าพอๆ กับหอยทากคงไม่กระโจนเข้าใส่พวกเขาด้วยความโหดร้ายเหมือนเสือ
อย่างไรก็ตาม วัลประเมินเอาไว้แล้ว
เขาขยับออกด้านข้างหลบการโจมตีของพวกมันได้อย่างสบายๆ
จากนั้นเขาก็สวนกลับ!
ด้วยการฟันที่ทรงพลังหนึ่งครั้งผีดิบสองตัวได้ถูกตัดหัวในทันที ก่อนที่หัวของพวกมันจะมีโอกาสสัมผัสกับพื้น วัลทำการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วใส่อีกสองตัวที่เหลือด้วยการเหวี่ยงดาบของเขาอีกครั้ง ดาบของเขาตัดผ่านเนื้อเน่าๆ ของพวกมันได้อย่างง่ายดายราวกับว่ามันคือมีดร้อนๆ ที่ตัดผ่านเนย และผีดิบอีกสองตัวก็ถูกตัดหัว
ฉัวะ!
ร่างของพวกมันทรุดลงกับพื้น แต่ส่วนหัวที่ถูกตัดซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายพวกมันยังทำงานอยู่ ฟันที่ทั้งดำและผุพังของพวกมันขยับพะงาบๆ พยายามที่จะลากตัวเองไปหาวัล
ในโลกนี้ ผีดิบไม่ตายจากการถูกตัดหัว กุญแจไปสู่ความตายของพวกมันก็คือการทำลายสมอง!
ฉึก!
เกมจิ้มแทงที่โหดร้ายเริ่มต้นขึ้นในตอนที่วัลใช้ดาบเสียบหัวของผีดิบตัวแล้วตัวเล่า จากรูที่เขาเจาะหัวของพวกมันด้วยความช่วยเหลือของดาบ เลือดสีดำก็พวยพุ่งออกมาทุกทิศทางเหมือนกับน้ำพุร้อนเล็กๆ แต่วัลก็ได้ทำให้แน่ใจว่าของเหลวที่น่ารังเกียจเหล่านี้จะไม่โดนตัวเขาแม้แต่หยดเดียวด้วยความสามารถเฉพาะตัวของเขาในการควบคุมเลือด
ครู่ต่อมา หัวก็หยุดขยับอันเป็นผลมาจากการถูกแทงซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทันใดนั้นเอง ระบบก็แสดงแจ้งเตือนขึ้นมาเบื้องหน้าเขา
[ติ้ง! ท่านกำจัดข้ารับใช้เลเวล 0 ของปีศาจศพได้ ท่านได้รับค่าประสบการณ์ +10]
ดวงตาของวัลเบิกกว้างกับการเปิดเผยที่คาดไม่ถึงจากแจ้งเตือนของระบบ ความเชื่อโดยทั่วไปของประชาชนในอาณาจักรวิคตอเรียก็คือว่าเหตุการณ์อันน่าสยดสยองที่คนตายกลายเป็นผีดิบนั้นคือปรากฏการณ์ธรรมชาติที่อุบัติขึ้นมาหลังจากการปรากฏขึ้นของดวงจันทร์สีเลือด
อย่างไรก็ตาม การแจ้งเตือนนี้ระบุเป็นอื่น
มันพิจารณาว่าตัวตนของผีดิบนั้นเป็นผลงานของปีศาจที่รู้จักในชื่อปีศาจศพ!
วัลรู้สึกแปลกใจกับการเปิดเผยที่น่าทึ่งนี้
เขาเองก็เคยใช้ชีวิตด้วยความเข้าใจที่ว่าจันทร์สีเลือดเป็นต้นเหตุในการเกิดขึ้นของผีดิบ
‘มันถือเป็นความโง่ของฉันจริงๆ ที่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินมาจากปากของคนที่ถูกเรียกว่าผู้เชี่ยวชาญ’
แนวคิดที่ว่าตัวตนที่ถูกเรียกว่าปีศาจศพอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ทำให้เขาตั้งคำถามกับทุกอย่างที่เขารู้เกี่ยวกับโลกหลังหายนะที่เขาอาศัยอยู่ การเปิดเผยความจริงอันน่าตกใจนี้ได้เพิ่มความซับซ้อนทั้งหมดของปริศนาในเอลดริชและสิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับมันไปสู่ระดับใหม่
ริมฝีปากของวัลขยับเผยให้เห็นรอยยิ้มเล็กๆ บนหน้าของเขา
‘การสำรวจปริศนาของโลกแปลกๆ นี้คงจะน่าสนใจน่าดู’
นี่คือสาเหตุที่ทำให้เขาได้รับจุดประสงค์ใหม่ในชีวิต!
การจะไปถึงเลเวล 2 ต้องการค่าประสบการณ์ 10 วัลมีมากกว่านั้นเล็กน้อยประมาณ 0.001 แต้ม
ดังนั้นเขาจึงเลเวลขึ้น
[ติ้ง! ขอแสดงความยินดีด้วย! ท่านได้เลเวลอัพ ท่านพัฒนาจากเลเวล 1 ไปถึงเลเวล 2 ท่านจะได้รับแต้มสถานะ +2 และอัพเกรดพลังสายเลือดของปีศาจเลือดในตัวท่านเล็กน้อย]
[เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่ท่านเลเวลอัพ ท่านจะได้รับรางวัลเสริมเป็นแต้มสถานะเพิ่มเติม]
เขาได้รับแต้มสถานะมาระดับหนึ่ง พวกมันคือทรัพยากรที่มีค่าซึ่งเขาสามารถใช้เสริมความสามารถของเขาได้ในทันที อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขาตัดสินใจที่จะเก็บพวกมันเอาไว้ก่อนเพื่อใช้ในสถานการณ์ที่เหมาะสม
ถึงอย่างไร การใช้พวกมันในช่วงเวลาที่เหมาะสมก็ดีกว่าการใช้แบบสุ่มๆ
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเขาได้เผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งในอนาคต เขาก็จะสามารถจัดสรรแต้มเหล่านี้โดยอิงตามจุดแข็งของอีกฝ่ายได้ ถ้าความเร็วคือจุดแข็งของศัตรู เขาก็จะเพิ่มความว่องไวโดยใช้แต้มสถานะ ถ้าพวกมันมีความแข็งแกร่งที่น่าเหลือเชื่อ เขาก็จะลงแต้มไปกับพละกำลังของตัวเอง เป็นต้น
ในขณะที่จ้องมองหน้าต่างสถานะของเขา เขาก็สังเกตเห็นข้อความใหม่เพิ่มขึ้นมา
[ความคืบหน้าในปัจจุบันของพลังสายเลือดปีศาจเลือดเลเวล 1 สู่เลเวลถัดไป: 20/100%]
แค่เลเวลเพิ่มครั้งเดียว พลังสายเลือดเลเวล 1 ของเขาก็มีค่าประสบการณ์คืบหน้าไปถึง 20% เขาสันนิษฐานว่าถ้าเลเวลเพิ่มอีกสี่ครั้ง สายเลือดของเขาก็จะเลื่อนไปสู่เลเวล 2 และเปลี่ยนให้เขาเป็นผู้ใช้สายเลือดเลเวล 2
รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจเผยออกมาบนหน้าในขณะที่เขาพึมพำ “เยี่ยม”