Chapter 8: เอลดริช! และระบบค่าประสบการณ์จากการฆ่ามอนสเตอร์!
ในอดีตกาล เอลดริชเป็นดินแดนที่ไม่ได้ต่างไปจากโลก เต็มไปด้วยอาณาจักรที่เจริญรุ่งเรือง โบสถ์ที่คึกคักและวัฒนธรรมที่หลากหลาย ทุกคนเป็นคนปกติจนกระทั่งเกิดภัยพิบัติที่ไม่สามารถจินตนาการได้ซึ่งทำให้ทุกอย่างต้องยุ่งเหยิงไปหมด
ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมดหลังจากเหตุการณ์ใหญ่เหตุการณ์หนึ่ง
เมื่อหลายปีก่อนนานเกินกว่าจะนับได้ จู่ๆ ก็มีดวงจันทร์ที่ทอแสงสีแดงฉานปรากฏขึ้นท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ตั้งแต่นั้นมา โลกที่เคยเป็นอยู่ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ด้วยการปรากฏตัวของจันทร์สีเลือด กฎเกณฑ์ที่ใช้รักษาความสงบของโลกนี้ก็อยู่ในสภาพที่ไม่มั่นคง ผู้ที่จากโลกไปไม่ได้พักผ่อนอยู่แค่ในโรงอีก และลุกขึ้นมาจากหลุมศพของตัวเองด้วยความหิวกระหายต่อเหล่าผู้ที่ยังมีชีวิต พวกมันล่าทั้งมนุษย์และสัตว์อย่างเหี้ยมโหดไม่ต่างกัน ไม่ว่าพวกมันจะฆ่าและกินไปมากแค่ไหน ความหิวโหยของพวกมันก็ยังไม่ได้รับการเติมเต็ม และพวกมันมักจะตระเวนไปทั่วดินแดนเพื่อหาเหยื่อเพิ่มจนกระทั่งพวกมันหมดสภาพไปอีกครั้ง!
การปรากฏตัวของจันทร์สีเลือดนั้นไม่ได้นำมาแค่เหล่าคนตาย แต่ยังมีการปรากฏของดันเจี้ยนและปีศาจด้วย
ในการต่อกรกับภัยคุกคามที่โหดร้ายเหล่านี้ มนุษยชาติไม่มีโอกาสเลย ถิ่นฐานของมนุษย์ค่อยๆ หายไปแห่งแล้วแห่งเล่าในอัตราที่สูงจนน่าหวาดหวั่น
มนุษย์ดูเหมือนจะสูญพันธุ์
และในตอนนั้นเอง ปาฏิหาริย์ก็ปรากฏขึ้น
ผู้ใช้สายเลือดคนแรกปรากฏตัวขึ้นในเอลดริช
พลังของผู้ใช้สายเลือดคนแรกนั้นเกินกว่าจะทำความเข้าใจได้ เขาขจัดภัยคุกคามในเมืองของเขาเหมือนกับคนขายเนื้อที่กำลังแล่เนื้ออยู่
เขาป้องกันเมืองทั้งเมืองด้วยตัวคนเดียวจากการถูกรุกรานด้วยผีดิบ, สัตว์กลายพันธุ์, และปีศาจ!
เรื่องราวความกล้าหาญของเขาแผ่ขยายไปทั่ว และดึงดูดผู้คนให้มาหาเขา ผู้คนที่โหยหาการชี้นำและการคุ้มครองจากเขา
เขาเผยแผ่วิธีในการได้รับพลังสายเลือดโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
ผู้ใช้สายเลือดจะเกิดขึ้นเมื่อมนุษย์ดื่มยาพิเศษเข้าไป ซึ่งเป็นยาที่ปรุงมาจากเนื้อสดๆ, เลือดและอวัยต่างๆของปีศาจหรือสัตว์กลายพันธุ์ ขึ้นอยู่กับลักษณะเฉพาะของพวกมัน ผู้ใช้สายเลือดสามารถแบ่งประเภทได้หลากหลายรูปแบบเช่นนักรบ, นักเวท, นักบวช, และอื่นๆ
ผู้ใช้สายเลือดจะได้รับสมญานักรบถ้าพวกเขาเสริมความแข็งแกร่งของร่างกายให้โดดเด่น ในทำนองเดียวกัน พวกที่มีความสามารถในการฟื้นฟูพลังชีวิตหรือควบคุมเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์ได้ก็จะถือว่าเป็นนักบวช และในอีกด้านหนึ่งนักเวทก็คือผู้ใช้สายเลือดที่มีความสามารถในการควบคุมพลังธรรมชาติเช่นไฟ, น้ำ, ดิน, และอื่นๆ
ผู้ใช้สายเลือดจะถูกแบ่งเป็นลำดับขั้น ระบบที่ไล่เรียงจากต่ำสุดที่เลเวล 1 ไปจนถึงสูงสุดที่เลเวล 10 ซึ่งโครงสร้างนี้มีไว้เพื่อช่วยแยกแยะความสามารถและพลังของผู้ใช้สายเลือดแต่ละคน
เลเวลของผู้ใช้จะถูกกำหนดด้วยความแข็งแกร่ง, ทักษะ, และความเชี่ยวชาญเฉพาะของแต่ละคน -ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่งของนักรบ พลังรักษาของนักบวช, หรือการควบคุมธาตุของนักเวท ยกตัวอย่างเช่น นักรบเลเวล 1 อาจจะมีความพละกำลังมากกว่าคนธรรมดาเล็กน้อย ในขณะที่นักรบเลเวล 10 ก็จะเป็นยอดของพลังดิบที่สามารถแสดงความแข็งแกร่งที่เกินกว่าจะทำความเข้าใจได้ออกมา ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นพวกเขาสามารถทำลายภูเขาได้ และด้วยการเตะธรรมดาก็สามารถแยกทะเลได้ ในทำนองเดียวกันนักเวทย์เลเวล 1 อาจจะสามารถสร้างลูกบอลเพลิงหรือคลื่นน้ำเล็กๆ ได้ ในขณะที่เลเวล 10 จะสามารถปล่อยพลังธาตุที่สามารถสร้างหรือแปรสภาพพื้นที่ของโลกรอบตัวพวกเขาได้
หลังจากที่วาเลเรียสผู้ใช้สายเลือดคนแรกได้เผยแพร่วิธีการกลายเป็นผู้ใช้สายเลือดให้เป็นที่ทราบโดยทั่วกัน, ผู้ใช้สายเลือดก็เพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ และสมดุลพลังในการต่อกรกับฝันร้ายของเอลดริชก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ เพื่อความเป็นอยู่ของมนุษยชาติ
ด้วยการปรากฏตัวของผู้ใช้สายเลือดมากมาย ป้อมปราการสุดท้ายของมนุษยชาติ อาณาจักรวาเลเรียสก็ถูกก่อตั้งขึ้น ตอนแรก มันถูกตั้งชื่อว่าวาเลเรียสเพื่อเป็นเกียรติให้แก่ผู้ใช้สายเลือดคนแรก ชื่อของวัลเองก็ได้แรงบันดาลใจมาจากเขา เพราะโจชัวมองเห็นศักยภาพเดียวกับผู้ใช้สายเลือดคนแรกในตัววัล
ตามกาลเวลาที่ผ่านไป อาณาจักรก็ได้ถูกส่งต่อกันไปหลากหลายรุ่น
ทุกๆ ครั้งที่เปลี่ยนผู้ปกครองมันก็จะได้รับชื่อใหม่
ซึ่งผู้ปกครองในตอนนี้ก็คือวิคตอเรีย ดังนั้นตอนนี้อาณาจักรจึงถูกรับรู้ในชื่ออาณาจักรวิคตอเรีย
แต่เดิมนั้น อาณาจักรมีอยู่แค่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ แต่ด้วยความที่ภัยคุกคามของละแวกใกล้เคียงถูกกำจัด เขตชั้นในจึงถูกก่อตั้งขึ้น
หลังจากนั้น ขุนนางของเขตชั้นในและขุนนางผู้มั่งคั่งและราชวงศ์ของเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ก็ร่วมมือกันจัดตั้งฐานที่มั่นที่มั่นคงต่างๆ เพื่อให้การคุ้มครองแก่เหล่าคนนอก และในตอนที่จำนวนของฐานที่มั่นเหล่านี้เพิ่มขึ้นมาจนเกินร้อย เขตชั้นนอกก็ถูกตั้งขึ้นมา
ไกลออกไปจากฐานที่มั่นของเขตชั้นนอกยังมีพื้นที่กว้างใหญ่กระจัดกระจายไปด้วยเศษซากอารยธรรมเก่าของมนุษย์ที่รายล้อมไปด้วยผีดิบ
ใกล้กับฐานที่มั่นไอรอนสไปร์ มีเค้าลางของหนึ่งในเศษซากอารยธรรมที่ว่านั้นซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อเมืองชาโด้วฟอลหลงเหลืออยู่
เมฆหนาครึ้มส่อถึงลางร้ายปกคลุมท้องฟ้า บดบังดวงจันทร์จนมองไม่เห็น
หลังจากแอบออกมาจากป้อมปราการที่แข็งแกร่งไอรอนสไปร์ ชายหนุ่มคนหนึ่งได้มุ่งหน้าไปยังซากปรักหักพังที่เคยเป็นเมืองชาโด้วฟอล ผมสีดำขลับของเขาเข้ากันได้กับดวงตาสีดำ เสริมความโดดเด่นให้ความหล่อเหลาของเขา เขาสวมเสื้อคลุมสีดำ ดาบถูกเก็บเอาไว้ในฝักผูกไว้ข้างลำตัว และส่วนด้ามก็ยื่นออกมาสังเกตได้ถึงการเตรียมพร้อม
แน่นอนว่าชายผู้นี้เป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากวัล วี ไวท์มอร์
ว่าแต่เขาไปที่เมืองชาโด้วฟอลทำไม?
เขากำลังจะไปล่าผีดิบที่นั่น!!
เขาได้ค้นพบมาว่าระบบปีศาจนั้นจะมอบค่าประสบการณ์ให้จากการเอาชนะศัตรูได้ ซึ่งข้อมูลนี้เขาก็ได้รู้มาโดยไม่ได้ตั้งใจจากการเผลอเดินเหยียบมดและจบชีวิตเล็กๆ ของมันในขณะที่เขากำลังเดินกลับห้องหลังจากที่คุยกับพ่อจบ
สำหรับการฆ่ามดหนึ่งตัว เขาได้รับรางวัลเป็นค่าประสบการณ์แค่ 0.0001 แต้ม
การฆ่ามดนั้นดูเหมือนจะแทบไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย
ดังนั้น เพื่อให้ได้ค่าประสบการณ์ไวขึ้น เขากำลังจะไปเมืองชาโด้วฟอลเพื่อล่าผีดิบ!
‘ฆ่าผีดิบหนึ่งตัวจะได้ค่าประสบการณ์เท่าไหร่กันนะ?’ วัลคิดในขณะที่เขาเดินเข้าไปในป่าที่คั่นกลางระหว่างฐานที่มั่นไอรอนสไปร์และซากเมืองชาโด้วฟอล