ตอนที่ 10 : พวกเขาอยากจะทำร้ายฉัน
ตอนที่ 10 : พวกเขาอยากจะทำร้ายฉัน
ดังสุภาษิตที่ว่า ผู้แข็งแกร่งย่อมต่อสู้กับผู้อ่อนแอ และจะทำให้คนโง่ต้องอับอาย
ในเวลานี้หลิวอ้ายหยวนซึ่งอยู่หน้าประตูก็ถือชะแลงเอาไว้ ในขณะที่ลู่หมิงถือหนังสติ๊กเอาไว้
เมื่อเผชิญหน้ากับคำขาดของลู่หมิง หลิวอ้ายหยวนจึงอ้าปากออกมา แต่เธอก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องระงับความโกรธของเธอเอาไว้
“คนบ้า! นายมันไม่ใช่ลูกผู้ชาย! ฉันขอให้นายไม่แข็งไปตลอดชีวิต!”
ในขณะที่ก่นด่าลู่หมิง หลิวอ้ายหยวนก็ถอยไปอย่างช้าๆ ลู่หมิงปิดหน้าต่าง ดึงประตูเหล็กลงมา เปิดช่องสังเกตการณ์ และมองดูการเคลื่อนไวของหลิวอ้ายหยวนอย่างใกล้ชิด
…
สิ่งที่เธอคิดว่าอยู่ในกำมือแล้วกลับได้มลายหายไป
ไม่ว่าใครก็ย่อมสามารถจินตนาการถึงอารมณ์ของหลิวอ้ายหยวนได้
หลิวอ้ายหยวนเดินกลับไปยังจุดรวมพลพร้อมด้วยหน้าผากที่บวมเป่งและสีหน้าแข็งทื่อ จากนั้นเธอก็เดินมาเจอลูกน้องทั้งสี่คนของเธอ
“แผนการล้มเหลว”
หลังจากพูดอย่างเศร้าโศก หลิวอ้ายหยวนก็พูดออกมาอีกด้วยความไม่พอใจ
“บ้านหลังนั้นคือเซฟเฮาส์ในอุดมคติเลย มันถูกเสริมความแข็งแกร่งโดยรวม และมีทั้งอาหาร น้ำ และกระทั่งอาวุธ”
หลิวอ้ายหยวนสนใจในบ้านของลู่หมิงมาก
“แต่ฉันก็ไม่สามารถทำให้เขาเปิดประตูได้ พวกเราไม่สามารถทำอะไรได้เลย…”
หลิวอ้ายหยวนกางมือของเธออย่างช่วยไม่ได้
ชายทั้งสี่พูดขึ้นมา
“ตอนนี้พวกเราพอหาอาหารและน้ำได้แล้ว และเนื่องจากพวกเรายังไม่สามารถจัดการกับบ้านหลังนั้นได้ งั้นก็กลับไปที่ชั้นสามก่อนเถอะ”
“พื้นที่ของชั้นสามเล็กเกินไป ฉันเกรงว่าฉันคงไม่สามารถอยู่ที่นั่นได้ ตอนนี้มันไม่มีอันตรายอะไรแถวนี้แล้ว ไปหาบ้านหลังอื่นที่อยู่แถวๆ นี้กันเถอะ หาที่ที่กว้างขึ้นสักหน่อย อย่างน้อยก็ให้มีห้องน้ำหน่อยเถอะ”
“ยังไงก็เถอะ ดูของที่ฉันเจอสิ ร่มเล็ก”
“พี่ชาย นายก็ละเอียดเกินไป…”
บทสนทนาของชายทั้งสี่เริ่มบิดเบี้ยวมากขึ้นเรื่อยๆ และค่อยๆ ไม่เกี่ยวข้องกับบ้านของลู่หมิง สิ่งนี้ทำให้หลิวอ้ายหยวนโมโหขึ้นมาอีกครั้ง!
“พวกนายมัวพูดบ้าอะไรเนี่ย? ทำไมพวกนายต้องคุยกันเรื่องร่มคันเล็กๆ อันนี้ด้วย? มันก็แค่ร่มไม่ใช่เหรอ?”
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้หลิวอ้ายหยวนก็ไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการ
เหยาเจิ้งและคนทั้งสามมองหน้ากันแบบทำอะไรไม่ถูก
“พวกเราจะทำอะไรได้ถ้าเขาไม่เปิดประตู?”
“ใช่แล้ว เธอเป็นคนบอกเองว่าบ้านหลังนั้นถูกเสริมความแข็งแรง พวกเราก็ไม่ได้มีเครื่องมืออะไรเลย เธอจะให้พวกเราทำยังไงถ้าเจ้าของบ้านไม่เปิดประตู?”
“ถ้าเธอถามฉัน โลกก็เป็นแบบนี้แหละ ซอมบี้พวกนั้นก็แข็งแกร่งพอๆ กับซุปเปอร์แมน ทำไมพวกเราไม่ไปหาที่หลบซ่อนและใช้ชีวิตให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ล่ะ?”
“นอกจากนี้พวกเรายังมีอ้ายหยวนอยู่ มาสนุกกันไปเรื่อยๆ แทนที่จะปล่อยให้ซอมบี้กัดจนตายกันดีกว่า เพราะถ้าเป็นแบบนั้น ฉันก็ขอยอมตายบนเตียงดีกว่า”
“เห็นด้วยๆ”
“ไม่!!”
หลิวอ้ายหยวนโพล่งออกมาในทันใด
เธอพูดออกมาอย่างเย็นชาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำด้วยความโกรธ “ในเมื่อฉันไม่ได้มัน คนอื่นก็จะไม่ได้มันไปด้วยเหมือนกัน”
ในขณะที่เธอพูด เธอก็มองไปรอบๆ และเห็นโถงงานศพข้างถนนและประทัดที่ดับสนิทไปแล้วอย่างรวดเร็ว
หลิวอ้ายหยวนเดินเข้าไป ในขณะที่เธอเดินไปนั้น เธอก็กัดฟันและสบถ “แกกล้าบอกว่าฉันปลอมได้ยังไง! ฉันต้องเห็นแกถูกซอมบี้กัดจนตายให้ได้!!”
ข้างหลังเธอ เหยาเจิ้งและคนอื่นๆ ก็มองหน้ากัน ราวกับว่าพวกเขาก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกันกับหลิวอ้ายหยวนที่กำลังโมโห
…
หลังจากได้ประทัดมาแล้ว หลิวอ้ายหยวนก็ได้ระบายความโกรธของเธอออกมา
“ติดประทัดไว้นอกบ้านของมัน! ล่อซอมบี้กลับมา! มันกล้าดียังไงถึงไม่เปิดประตูให้ฉัน! มันกล้าดียังไงถึงบอกว่าฉันปลอม! มันกล้าดียังไงมาทำให้ใบหน้าของฉันเจ็บ! ฉันจะต้องฆ่ามันให้ได้!”
ความแค้นของเธอรุนแรงมาก
อย่างไรก็ตาม เธอก็ได้ยินเสียงดังมาจากทางด้านหลังในทันใด
“คำถามคือใครจะเป็นคนจุดประทัดล่ะ?”
นี่ถือเป็นคำถามที่ดี
ชนวนประทัดไม่ได้ยาวมาก
เมื่อรวมกับประสาทสัมผัสทางการได้ยินที่ยอดเยี่ยมและสมรรถภาพทางร่างกายอันมหาศาลของซอมบี้ มันก็มีโอกาสสูงที่คนที่จุดประทัดจะถูกซอมบี้ล้อมเอาไว้ และมันก็อันตรายมาก
เห็นได้ชัดว่าเหยาเจิ้งและชายอีกสามคนไม่อยากรับหน้าที่นี้ที่อาจจะฆ่าพวกเขาได้ หลิวอ้ายหยวนกลอกตาและสบัดผมเพื่อโปรยเสน่ห์
“ใครที่รับหน้าที่นี้จะได้เป็นอัศวินของฉัน วันนี้ ไม่สิ ฉันจะมอบรางวัลให้กับคนๆ นั้นในอนาคต…”
ชายทั้งสี่หัวเราะออกมาเสียงดัง แต่สีหน้าของพวกเขาก็ค่อยๆ แปลกไป
“อัศวินเหรอ? ยังไงพวกเราก็ได้เป็นอัศวินของเธออยู่ดีแม้ว่าพวกเราจะไม่ไป~~”
“อ้ายหยวน ฟังฉันนะ ความแค้นไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่าไรเลย ในโลกนี้ที่แม้แต่กองทัพยังไม่สามารถเอาชนะซอมบี้ได้ มันก็ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าความสุขอีกแล้ว”
“ว่าแต่อ้ายหยวน เธอพูดไว้ก่อนหน้านี้ไม่ใช่เหรอว่าจะให้พวกเราได้เล่นสนุกแบบที่พวกเราไม่เคยเล่นมาก่อน? รีบไปกันเถอะ พวกเราได้เตรียมสถานที่และร่มอันเล็กไว้แล้ว”
ในขณะที่พวกเขาพูด เหยาเจิ้งและชายทั้งสามก็เดินเข้ามาหาหลิวอ้ายหยวน
แม้ว่าหลิวอ้ายหยวนจะไม่ได้ฉลาดแบบที่เธอคิด แต่เธอก็รู้ดีว่ามีอะไรแปลกๆ
รอยยิ้มปลอมๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ หลิวอ้ายหยวนพูดออกมาเบาๆ ว่า “พี่ๆ ช่วยฉันแก้แค้นก่อนนะ หลังจากนั้นพวกเราค่อยไปสนุกกัน…”
เหยาเจิ้ง “ฮ่าๆ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเธอซะหน่อย”
หลิวอ้ายหยวนไม่ทันได้คิดเรื่องนี้ เมื่อตอนที่หวังเซิงตวาดใส่เธอในบ้าน มันก็ไม่มีผู้ชายคนไหนคิดที่จะออกหน้าแทนเธอเลย
มันก็เห็นได้ชัดแล้วว่ามิตรภาพระหว่างพวกเขาไม่ได้มั่นคงเท่าไร
เหยาเจิ้งปิดปากของหลิวอ้ายหยวนเอาไว้ ส่วนคนอื่นๆ ก็ยกขาของเธอและพวกเขาก็หายเข้าไปในร้านค้าเล็กๆ ที่ปลายถนนอย่างรวดเร็ว
เหยาเจิ้งและคนอื่นๆ ไม่รู้เลยว่าลู่หมิงที่อยู่บนชั้นสองนั้นได้มองเห็นทุกอย่างอย่างชัดเจน
…
ลู่หมิงไม่รู้วิธีอ่านปาก ดังนั้นเขาจึงไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างหลิวอ้ายหยวนและคนพวกนั้น
อย่างไรก็ตาม ลู่หมิงก็เห็นหลิวอ้ายหยวนหยิบประทัดขึ้นมาเต็มๆ ตา!
ในเวลานั้น หน้าผากของลู่หมิงก็หลั่งเหงื่อเย็นออกมา
ลู่หมิงบ่น
“เธอจะเอาประทัดมาทำอะไร? ระเบิดประตูเหรอ! ต้องใช่แน่ๆ เธอคิดจะระเบิดประตูของฉัน!”
แม้ว่าประทัดจะไม่สามารถทำลายประตูได้ แต่พวกมันก็ยังสามารถล่อซอมบี้กลับมาได้! เมื่อประตูเต็มไปด้วยซอมบี้ ผลที่ตามมาก็ไม่อาจจะจินตนาการได้เลย!
“นังตัวดี! คนสารเลว! คิดจะทำร้ายฉันงั้นเหรอ!”
“พวกมันคิดจะฆ่าฉันแน่ๆ!!”
“ฉันจะต้องตายแน่ๆ…”
ยิ่งเขาคิด หัวใจของลู่หมิงก็ยิ่งเต้นระรัว
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาคิดถึงการเตรียมการของเขา ลู่หมิงก็ค่อยๆ ใจเย็นลง
เมื่อมองไปยังถนนที่ว่างเปล่าด้านนอก ลู่หมิงก็ค่อยๆ กำหมัดของเขา
“มนุษย์นั้นไร้เขี้ยวเล็บ แต่เสือนั้นมีเขี้ยวเล็บ!”
“เห็นได้ชัดว่าฉันเป็นแค่คนธรรมดา ฉันไม่เคยคิดทำร้ายคนอื่นเลย ฉันแค่อยากอยู่ในบ้านอย่างเงียบๆ ฉันไม่เคยไปยั่วโมโหใครเลย! แต่ตอนนี้พวกนายกลับคิดทำร้ายฉันเหรอ! ทำไมกัน?!”
“ไม่ได้แล้ว ฉันจะรออยู่เฉยๆ ไม่ได้! โจมตีก่อนย่อมได้เปรียบ ส่วนคนที่โจมตีทีหลังย่อมเสียเปรียบ! ฉันต้องฆ่าพวกมันก่อน!”
หลังจากพึมพำออกมาแล้ว ลู่หมิงก็เดินไปหยิบหน้าไม้ หนังสติ๊ก มีดมาเชเต้ และมีดสั้นทันที
เมื่อมองไปยังคมมีด สายตาของลู่หมิงก็จริงจังขึ้นมา
“ฉันต้องฆ่าพวกมันให้ได้ก่อนที่พวกมันจะมาฆ่าฉัน! ต้องลงมือให้เร็วที่สุด!”
“มันไม่ผิดกฎหมาย มันเป็นการป้องกันตัวที่สมเหตุสมผล!”
เขาถึงภาพถนนใกล้ๆ สภาพถนน ประตูลับ และจุดซ่อนตัว
หลังจากยืนยันแล้วว่าถ้ามีซอมบี้กลุ่มเล็กๆ ปรากฏตัวขึ้น เขาก็มีโอกาสสูงที่จะรอดมาได้ ลู่หมิงก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ
“ฉันต้องฆ่าพวกมันก่อน ไม่งั้นจะเป็นฉันเองที่ตาย!”
“การดับไฟตั้งแต่ต้นลมย่อมคุ้มค่าที่ฉันจะเสี่ยงออกไป!”
เขาหันไปและเดินลงบันได
บรรยากาศที่หนาวเหน็บบังเกิดขึ้นมา
“ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก”
ตัวล็อคทั้งห้าเปิดออกและลู่หมิงก็ดันประตูเปิดออกไปอย่างเงียบๆ
เมื่อมองไปยังถนนด้านนอกที่ย้อมไปด้วยเลือด สายตาของลู่หมิงก็ดูแน่วแน่มาก