[ตอนฟรี] ตอนที่ 170 : อย่าคิดว่าจะได้เป็นตัวเอกต่อหน้าข้า
ตอนนี้ ทุกท่วงท่าที่จวินเซียวเหยาเคลื่อนไหวล้วนเต็มไปด้วยพละกำลังถึง 3,700 ล้านจิน
นี่ยังไม่นับรวมพลังจากกายาเทพบรรพกาลอีก
พื้นที่มิติในดินแดนอมตะนั้นมีความเสถียรอย่างมาก ต่อให้จวินเซียวเหยามีพลังมากแค่ไหน มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะทำลายมิติโดยตรง
แต่สิบแดนเบื้องล่างนั้นต่างออกไป
ความเสถียรของมิติในทวีปสวรรค์เร้นลับนั้นห่างไกลจากดินแดนอมตะอยู่มากโข
ดังนั้น เมื่อจวินเซียวเหยาโจมตีออกไปเพียงฝ่ามือเดียว พื้นที่มิติจึงแตกสลาย และท้องฟ้าก็สั่นสะเทือน
เกิดรอยแยกมิติดำมืดแตกออกเป็นแนวยาวตามฝ่ามือของจวินเซียวเหยา มันถึงกับตัดผ่านความว่างเปล่า!
“เรื่องแบบนี้มันเป็นไปได้ยังไง!” เหล่าอัจฉริยะของแดนสวรรค์ตะวันออกต่างก็พูดไม่ออก
ในความคิดของพวกเขา มีเพียงคนที่บรรลุถึงเก้าขั้นปรมาจารย์เท่านั้นที่สามารถฉีกมิติได้ภายในกระบวนท่าเดียว
แต่ตอนนี้ ฉากที่ทำให้ขนลุกกลับเกิดขึ้นโดยชายหนุ่มเพียงคนเดียว
ที่สำคัญเลยก็คือ พวกเขาไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายผสานเต๋าในตัวจวินเซียวเหยาแม้แต่น้อย
นั่นหมายความว่าจวินเซียวเหยายังบรรลุไม่ถึงขอบเขตผสานเต๋านั่นเอง
แต่เขากลับทำลายพื้นที่มิติได้!
จวินเซียวเหยาได้ทำลายสามัญสำนึกของเหล่าอัจฉริยะแห่งแดนสวรรค์ตะวันออกโดยสมบูรณ์
“พลังของบุตรพระเจ้าน่ากลัวเกินไปแล้ว!”
ไม่ใช่แค่เหล่าอัจฉริยะพื้นเมืองเท่านั้น แม้แต่อัจฉริยะจากดินแดนอมตะก็ขนหัวลุกด้วยเหมือนกัน
พวกเขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าจวินเซียวเหยาจะแข็งแกร่งมากขนาดไหนหลังจากที่บรรลุถึงขอบเขตผสานเต๋า!
“เป็นไปไม่ได้!”
หลินเฟิงที่กำลังเสียสติและตกอยู่ในความบ้าคลั่งรู้สึกเย็นวาบในหัวใจทันที เมื่อเขาสัมผัสถึงฝ่ามืออันน่ากลัวของจวินเซียวเหยา
ราวกับถูกโยนลงทะเลสาบน้ำแข็งหมื่นปีท่ามกลางพายุหิมะ มันช่างหนาวเหน็บ หนาวเหน็บจนสั่นสะท้านออกมาจากภายใน
หลินเฟิงปลดปล่อยท่าไม้ตายออกมาและพยายามต่อต้านอย่างสุดกำลัง
แต่...
มันช่างไร้ประโยชน์!
ตูม!
เสียงระเบิดกึกก้องกังวานไปทั่วทั้งสวรรค์และโลก
จวินเซียวเหยาตบเพียงครั้งเดียวก็ทำให้หลินเฟิงร่วงลงไปกองกับพื้น พร้อมกับกระอักเลือดออกมา
ผืนดินโดยรอบแตกออกจนเป็นรอยร้าวเหมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่
ผู้บ่มเพาะนับหมื่นต่างพากันหยุดนิ่งราวกับรูปปั้น
ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ทุกคนล้วนเป็นสักขีพยานความแข็งแกร่งที่เพิ่มพูนของหลินเฟิง
ไม่ใช่แค่อัจฉริยะของแดนสวรรค์ตะวันออกเท่านั้น แม้แต่อัจฉริยะจากดินแดนอมตะ หลินเฟิงก็เอาชนะมาแล้วไม่น้อย
แต่ตอนนี้ จวินเซียวเหยากลับตบหลินเฟิงร่วงลงไปกองกับพื้นโดยไม่ใช้กระบวนท่าทักษะใดๆ
การบดขยี้ที่เด็ดขาดและรวดเร็วเช่นนี้ ช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก!
“นายน้อยแข็งแกร่งจริงๆ…” ดวงตาของน่าหลานลั่วซีเต็มไปด้วยความตื่นตาตื่นใจ
นางเคยประมือกับหลินเฟิงมาก่อน นางย่อมรู้ดีว่าหลินเฟิงแข็งแกร่งมากแค่ไหน
แต่คนที่แข็งแกร่งแบบเขากลับถูกจวินเซียวเหยาตบร่วงด้วยฝ่ามือเดียว
“ต่อหน้าบุตรพระเจ้าผู้นี้ อย่าคิดว่าจะได้เป็นตัวเอกของโลก เพราะแม้แต่โลกและสวรรค์ก็ยังต้องยอมสยบแทบเท้าข้า!”
จวินเซียวเหยายืนมือไพล่หลังอยู่กลางอากาศ ชุดของเขาโบกสะบัดไปมา
เขาก้มมองหลินเฟิงราวกับเทพเจ้าที่กำลังมองดูมดปลวกตัวน้อยๆ
“เจ้า…แค่ก…”
หลินเฟิงนอนอยู่บนพื้นราวกับคางคกถูกเหยียบ ทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือด กระดูกที่หักหลายซี่ และไอออกมาเป็นเลือดไม่หยุด
หลินเฟิงได้รับโชคชะตามามากมายในการเสริมพลังให้กับร่างกายของตัวเอง บวกกับการสนับสนุนจากแก่นแท้พิภพ เขาจึงรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด
ไม่อย่างนั้น เขาคงจะโดนจวินเซียวเหยาตบตายอย่างแน่นอน
“บัดซบ…” ดวงตาของหลินเฟิงแทบจะถลนออกมา
เขาคิดว่าตัวเองเป็นตัวเอกของโลกใบนี้
แต่ตอนนี้กลับมีบุคคลผู้ทรงอำนาจที่สามารถเหยียบย่ำสวรรค์และโลกเอาไว้ใต้ฝ่าเท้าได้ปรากฏตัว
มันทำให้เขาพบว่าแท้จริงแล้ว เขายังคงเป็นไอ้ขี้แพ้เหมือนแต่ก่อนอยู่ดี
นี่เป็นสิ่งที่หลินเฟิงไม่อาจยอมรับได้ ช่องว่างนี้มันกว้างใหญ่เหลือเกิน
“ไม่ ข้ายังมีโอกาสอยู่ ถ้าข้าสามารถรวบรวมแก่นแท้พิภพชิ้นอื่นได้ ข้าจะต้องเหนือกว่าเขาอย่างแน่นอน!” หลินเฟิงที่หน้าเปื้อนเลือดดูดุร้าย
แก่นแท้พิภพที่เขาได้มาเป็นแค่ส่วนเล็กๆ เท่านั้น
ถึงแม้จะเป็นแค่ส่วนเล็กๆ แต่มันกลับทำให้เขากลายเป็นสัตว์ประหลาดขนาดนี้ได้
หลินเฟิงเชื่อว่าหากเขาสามารถรวบรวมแก่นแท้พิภพได้ทั้งหมด
การก้าวข้ามจวินเซียวเหยา หรือแม้แต่ฆ่าเขานั้นย่อมไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน!
“รอก่อนเถอะ ข้าจะฆ่าเจ้าให้ได้!”
หางตาของหลินเฟิงกระตุกอย่างบ้าคลั่ง ทันใดนั้นเขาก็หยิบยันต์ทะลุมิติออกมา มันก่อตัวเป็นพลังแห่งมิติที่โอบล้อมรอบตัวเขา และเตรียมพร้อมที่จะหนีลึกเข้าไปในช่องว่างมิติ
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสิบผู้ท้าทายสวรรค์ และเป็นตัวเอกแห่งโชคชะตาของทวีปสวรรค์เร้นลับ
เขาจึงได้รับโชคและสมบัติมามากมายในปีที่ผ่านมา
ยันต์ทะลุมิติชิ้นนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น
“คิดจะหนีไปดื้อๆ งั้นหรอ?” จวินเซียวเหยาเหยียดมือออกไปโดยตรง เขาแหวกมิติออกและจับตัวหลินเฟิงไว้
พุฟ!
จากส่วนลึกของช่องว่างมิติ เสียงตะโกนที่แฝงไปด้วยความใจสลายดังออกมา
“อ๊ากกก...เวรเอ๊ยย!”
เสียงนั้นมีทั้งความโกรธ มีทั้งเสียงกระอักเลือด และสุดท้ายมันก็เงียบหายไป
จวินเซียวเหยาถอนฝ่ามือพลังปราณกลับมา ในมือของเขามีลูกบอลที่ดูเหมือนปรอทสีสันสดใสกลิ้งอยู่
“นี่มัน….”
เมื่อสัมผัสถึงความลึกลับของวัตถุสีสันสดใสนี้ จวินเซียวเหยาก็แสดงสีหน้าประหลาดใจ
แก่นแท้พิภพ!
มวลของวัตถุนี้อัดแน่นไปด้วยพลังแห่งโลก
ใครๆ ก็สัมผัสถึงมันได้
“นั่นมันแก่นแท้พิภพของทวีปสวรรค์เร้นลับงั้นหรือ!”
ดวงตาของอัจฉริยะบางคนจากดินแดนอมตะเบิกกว้าง
นั่นมันแก่นแท้พิภพนะ!
ในดินแดนอมตะแทบจะหาของดีๆ แบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว มันมีค่ามากกว่าโอสถอมตะหรือศิลาปราณอมตะเสียอีก
นอกจากนี้ แก่นแท้พิภพยังสามารถใช้เป็นเมล็ดพันธุ์อมตะได้อีกด้วย มูลค่าของมันจึงมิอาจประเมินได้
โดยสรุปแล้ว แก่นแท้พิภพคือสิ่งที่ทุกคนล้วนปรารถนา
แม้แต่จ้าวเทวะยังต้องหวั่นไหว!
“หืม?” จวินเซียวเหยาขมวดคิ้วและมองไปรอบๆ
เพียงแค่มองก็ไม่มีใครจากแดนอมตะกล้าสบตากับเขาแล้ว
บางคนถึงกับใจเต้นรัว
แก่นแท้พิภพนั้นล้ำค่าก็จริง แต่มันอยู่ที่ว่าใครเป็นคนถือด้วย
ถ้ามันอยู่ในมือของจวินเซียวเหยา ใครมันจะบ้าไปกล้าแย่ง?
เว้นแต่คนคนนั้นอยากจะฆ่าตัวตาย
“เห้อ พวกเราทำได้แค่มองดูเท่านั้นแหละ…” ตัวตนที่ทรงพลังจากดินแดนอมตะบางคนแอบถอนหายใจ
ซู่จื่อฉงเองก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อย นางคิดไม่ถึงเลยว่าหลินเฟิงจะครอบครองแก่นแท้พิภพเอาไว้
เขาซ่อนมันไว้อย่างดีจนคนส่วนมากมองไม่เห็น
“ไม่เลว แต่ดูเหมือนมันจะไม่สมบูรณ์อยู่นะ” จวินเซียวเหยาก็สังเกตเห็นเช่นกัน
แก่นแท้พิภพนี้ลึกลับมาก แต่มันยังไม่สมบูรณ์และมีบางส่วนขาดหายไป
ถึงแม้จะเป็นแค่ชิ้นส่วนเล็กๆ ก็ตาม
“นายน้อย ท่านอยากให้อี้ยวี่ล่าไอ้มดปลวกตัวนั้นไหม?” อี้ยวี่เดินเข้ามาถาม
“ไม่จำเป็น ปล่อยให้มันเติบโตจนแข็งแรงก่อน มันโตเมื่อไหร่เราค่อยไปเก็บเกี่ยวกัน” จวินเซียวเหยาโบกมือ
หากจวินเซียวเหยาต้องลงมือค้นหาแก่นแท้พิภพของทวีปสวรรค์เร้นลับด้วยตัวเอง ไม่รู้ว่ามันต้องใช้เวลานานขนาดไหน
แต่หลินเฟิงนั้นมีโชคชะตาของการเป็นตัวเอกแห่งทวีปสวรรค์เร้นลับอยู่
เขาไม่จำเป็นต้องพยายามอย่างหนักเพื่อค้นหามันเลย เดี๋ยวแก่นแท้พิภพก็วิ่งเข้าไปหาเขาอยู่ดี
เมื่อไหร่ที่หลินเฟิงได้รับแก่นแท้พิภพจนครบแล้ว จวินเซียวเหยาจึงจะออกไปเก็บเกี่ยว
แล้วนี่จะเป็นการปล่อยเสือเข้าป่ารึเปล่า?
ขออภัยด้วย แต่ในสายตาของจวินเซียวเหยา หลินเฟิงนั้นไม่ใช่เสือ แล้วก็ไม่ใช่แมว
เขาเป็นแค่ต้นกุยช่ายและเรดาร์ค้นหาแก่นแท้พิภพเท่านั้น
ดังนั้น นี่จึงไม่ใช่การปล่อยเสือเข้าป่า
“ขอบคุณนายน้อยที่ให้การช่วยเหลือพวกเรา ตระกูลน่าหลานจะจดจำบุญคุณนี้ไว้ตลอดกาล!” น่าหลานจ้านเดินเข้ามาและโค้งคำนับอย่างสุดซึ้งต่อจวินเซียวเหยา
แม้ว่าจะเป็นปรมาจารย์เทพเต๋า แต่เขาก็โค้งคำนับต่อจวินเซียวเหยาอย่างไม่ลังเล
น่าหลานลั่วซีก็เดินเข้ามาเช่นกัน นางโค้งคำนับและกล่าว “นายน้อย หากท่านไม่รังเกียจ ท่านสามารถพักอาศัยอยู่ในตระกูลน่าหลานของเราได้ ตระกูลน่าหลานจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรับใช้ท่าน”
จวินเซียวเหยาพยักหน้าเล็กน้อย
เขาเพิ่งลงมาถึงแดนเบื้องล่าง และต้องการที่พักอาศัยจริงๆ เขาจะได้วางแผนสำหรับอนาคตด้วย