ตอนที่ 9 : ไสหัวไป
ตอนที่ 9 : ไสหัวไป
วันสิ้นโลกนั้นน่ากลัวมาก และผู้หญิงในวันสิ้นโลกก็ต้องพบกับความยากลำบาก
แต่หลิวอ้ายหยวนก็รู้สึกว่าเธอสามารถควบคุมทุกสิ่งได้!
นี่เป็นเพราะทักษะที่เธอเชี่ยวชาญคือรูปลักษณ์และรูปร่างโดยกำเนิดของเธอ!
ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อม
เธอเชื่อว่าด้วยวิธีการของเธอ มันย่อมเป็นเรื่องง่ายที่เธอจะจัดการกับคนหัวร้อนทั้งสี่คนนี้
น่าเสียดายที่หวังเซิงตายไปแล้ว
หมอนั่นทั้งสมองดีและแข็งแรง แต่เขาก็เป็นคนเผด็จการนิดหน่อย เขาไม่เข้าใจคำใบ้ของเธอและสร้างความยุ่งยากให้กับเธออีกด้วย…
“คนโง่ นายกล้าตะโกนใส่ฉันเหรอ! นายมันสมควรตายแล้ว! ส่วนเรื่องสมอง ฉัน หลิวอ้ายหยวน ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่านายเหมือนกัน”
การฆ่าหวังเซิงเป็นแผนการส่วนหนึ่งของหลิวอ้ายหยวน
หรือในทางกลับกัน เธอมีแผนที่ชัดเจนสำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน—การปรากฏตัวของกองทัพเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิด แต่ก็ไม่สำคัญในสถานการณ์ปัจจุบัน
หลิวอ้ายหยวนพาเพื่อนทั้งสี่ของเธอเดินไปตามถนน หลังจากยืนยันแล้วว่ามันไม่มีซอมบี้อยู่แถวนี้ เธอก็พูดขึ้นมา
“อาหาร น้ำ และสถานที่ปลอดภัย”
ชายหนุ่มทั้งสี่คนพยักหน้า พวกเขาได้ทำตามคำสั่งของหลิวอ้ายหยวนโดยไม่รู้ตัว
หลิวอ้ายหยวนไม่ได้ปฏิเสธ
หลิวอ้ายหยวนพูดออกมาว่า “มันคงไม่ยากอะไรที่จะหาอาหารและน้ำ มันมีร้านค้าเล็กๆ อยู่แถวๆ นี้หลายร้านเลย มันน่าจะพอเติมเสบียงให้กับพวกเราได้”
หลิวอ้ายหยวนสังเกตเห็นว่าแม้กองทัพจะจัดการกับซอมบี้ไม่ได้ แต่พวกเขาก็สามารถล่อฝูงซอมบี้ออกไปได้โดยไม่ได้ตั้งใจ ดังนั้นในบริเวณใกล้เคียงจึงปลอดภัยขึ้นมา
“กุญแจสำคัญคือเซฟเฮาส์ อาคารในหมู่บ้านในเมืองนั้นเก่าแก่มาก พวกมันกันเสียงได้ไม่เท่าไรเลย”
เหยาเจิ้งและอีกสามคนพยักหน้าพร้อมกัน “ความสามารถในการกันเสียงคือกุญแจสำคัญ”
พวกเขารู้ว่าเสียงของหลิวอ้ายหยวนดังแค่ไหน…
หลิวอ้ายหยวนยิ้มหว่านเสน่ห์ “แต่ฉันรู้จักเซฟเฮาส์ที่ยอดเยี่ยมแห่งหนึ่งบนถนนอีกเส้นนะ ไปกันเถอะ”
…
เซฟเฮาส์ที่หลิวอ้ายหยวนพูดถึงคือบ้านของลู่หมิง
อาคารขนาดเล็กที่ได้รับการดัดแปลงนั้นโดดเด่นจากฝูงชนอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังมีคนชราจำนวนมากในหมู่บ้านในเมืองที่ยังคงรักษาความรู้สึกดั้งเดิมเอาไว้ ดังนั้นหากมีอะไรเกิดขึ้นในบ้านของคนอื่น เรื่องนั้นก็จะเป็นที่รับรู้ในวงกว้างได้อย่างง่ายดาย
เห็นได้ชัดว่าลู่หมิงก็ตกเป็นขี้ปากอันดับหนึ่งของหมู่บ้านในเมือง
ผู้ชายที่ชอบสะสมสิ่งของ
คนแปลกที่เปลี่ยนบ้านของเขาให้กลายเป็นป้อมปราการ
หลิวอ้ายหยวนอาศัยอยู่ที่นี่เป็นเวลาหนึ่งปีและเคยได้ยินชื่อของลู่หมิงอยู่หลายครั้ง แน่นอนว่าในวันปกติ มันคงเป็นไปไม่ได้สำหรับเธอที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับตัวประหลาดแบบนั้น และมันก็จะไม่เกิดขึ้นในชีวิตของเธอเลย
แต่เมื่อวันสิ้นโลกมาถึง พวกเธอย่อมต้องการเซฟเฮาส์ และดูเหมือนว่าพวกเธอจะเจอเข้ากับบ้านหลังหนึ่งแล้ว
เธอกลอกตาและคิดแผนขึ้นมา
หลิวอ้ายหยวนพูดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“ไปที่นั่นและสังเกตการณ์กันดูก่อน ถ้ามันไม่มีอันตรายอะไรก็ค่อยลองเคาะประตูดู”
เหยาเจิ้งและคนอื่นๆ พยักหน้า “ตามนั้น!”
หลิวอ้ายหยวนมั่นใจเรื่องการเคาะประตูบ้านลู่หมิง
ความจริงก็คือนับตั้งแต่เธออายุได้ 20 ปี เธอก็ไม่เคยพบกับสถานการณ์ที่เธอไม่อาจเข้าไปในบ้านของผู้ชายคนอื่นได้เลย
เธอจัดระเบียบหน้าตาของเธอหน้ากระจกที่อยู่ใกล้ๆ และทำท่าทางน่ารักน่าชัง จากนั้นหลิวอ้ายหยวนก็นำคนกลุ่มนี้ไปยังบ้านของลู่หมิง
พวกเขาไม่พบซอมบี้ระหว่างทางเลย
หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็มายืนอยู่ตรงหน้าของบ้านลู่หมิง
…
หลังจากตื่นขึ้นมาจากการงีบหลับในตอนบ่ายแล้ว ค่าสถานะทั้งหมดของเขาก็เพิ่มขึ้นจนเต็ม
ชื่อ: ลู่หมิง
อายุ: 25 ปี
พละกำลัง: 7.2
ความแข็งแกร่ง: 7.6
ความว่องไว: 8
ฟิตเนส ระดับ 2 ( 50/200)
การยิงหนังสติ๊ก ระดับ 2 (7/200)
การยิงหน้าไม้ ระดับ 2 (0/200)
การยิงธนู ระดับ 1 (1/100)
การต่อสู้ด้วยมือเปล่า ระดับ 1 (53/100)
มันไม่มีอาการเจ็บกล้ามเนื้อหลังจากการออกกำลังกายอย่างหนัก ลู่หมิงรู้สึกสดชื่นมาก
เขาลุกขึ้นจากเตียงและบิดขี้เกียจ ลู่หมิงพึงพอใจมากกับสภาพร่างกายของเขา
ในขณะที่ลู่หมิงกำลังวางแผนการฝึกร่างกายในตอนบ่าย เขาก็ได้ยินเสียงกระดิ่งประตูในทันใด
เขาเดินไปที่ประตูพร้อมกับขมวดคิ้ว และมองผ่านหน้าจออิเล็กทรอนิกส์
ด้านนอกประตู หญิงสาวร่างบอบบางคนหนึ่งกำลังยืนอยู่หน้าประตูอย่างน่าสงสาร ดวงตากลมโตที่มีน้ำตารื้นๆ ของเธอดูเหมือนจะมีเรื่องราวมากมายที่อยากบอกเล่า
…
“มีคนอยู่ไหมคะ? คุณลู่อยู่ไหม?”
หลิวอ้ายหยวนกดออดด้วยเสียงสะอื้นอันระรื่นหู เสียงของเธอที่สามารถกระตุ้นสัญชาตญาณในการปกป้องของผู้ชายดังขึ้นมาจากประตูอยู่เรื่อยๆ ในเวลาเดียวกัน เธอก็มองไปรอบๆ และเห็นกล้องวงจรปิดที่หน้าประตูอย่างรวดเร็ว
เธอจงใจดึงคอเสื้อของเธอลง เผยให้เห็นผิวพรรณอันละเอียดอ่อนของเธอ เสียงของหลิวอ้ายหยวนดังขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่เธอพยายามใช้วิธีการต่างๆ เพื่อทำให้ลู่หมิงเปิดประตู
เธอไม่รู้เลยว่าลู่หมิงกำลังยืนอยู่ที่อีกด้านของประตู และมองดูทุกสิ่งผ่านหน้าจออย่างใจเย็น
ลู่หมิงไม่ได้พูดอะไรออกมา
เขาไม่คิดที่จะส่งเสียงอะไรออกมา
หลังจากผ่านไปประมาณ 5 นาที หลิวอ้ายหยวนก็ถอนหายใจออกมา
“มันไม่มีใครอยู่บ้านเหรอ งั้นพวกเราก็คงต้องงัดประตูแล้ว…”
หลิวอ้ายหยวนก้มลงและหยิบชะแลงขึ้นมาด้วยเท้าของเธอ ในขณะที่เธอกำลังจะพังประตูของลู่หมิง เธอก็ได้ยินเสียงดังมาจากลำโพง
“เธอคิดจะทำอะไรน่ะ?”
เสียงนี้ทำให้หลิวอ้ายหยวนอึ้งไป เธอรีบเปลี่ยนสีหน้าที่ดูดุร้ายและทำหน้าตาน่าสงสารอีกครั้ง
“พี่ลู่เหรอคะ?”
“ฉันไม่ใช่พี่ลู่ ฉันคือลู่หมิง”
“พี่ลู่จริงๆ ด้วย…”
“ลู่หมิง”
หลิวอ้ายหยวน: “…”
“พี่ลู่หมิง พี่ได้ยินเสียงข้างนอกเมื่อครู่ไหม?”
ลู่หมิงไม่ได้ตอบอะไร
หลิวอ้ายหยวนเริ่มใช้ข้ออ้างที่เตรียมไว้ล่วงหน้า
“กองทัพมาแล้วค่ะ พวกเขาล่อซอมบี้ออกไปและฆ่าพวกมันหมดแล้ว พวกเราปลอดภัยแล้ว”
หลิวอ้ายหยวนพูดต่อโดยไม่เปิดโอกาสให้ลู่หมิงได้ถามอะไรอีก
“กองทัพกำลังเก็บกวาดพื้นที่อยู่ ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็แจ้งให้พวกเราที่เป็นอาสาสมัครมารวบรวมผู้รอดชีวิต พวกเขาจะพาพวกเราไปยังที่ปลอดภัยแล้ว”
ก่อนที่ลู่หมิงจะได้พูดอะไรออกมา หลิวอ้ายหยวนก็ทำสีหน้าน่าสงสารและเหนื่อยล้า
“พี่ มีคนตายไปเยอะเลย ฉัน… ฉันกลัวมาก ฉันไม่อาจทำภารกิจนี้ต่อไปได้อีกแล้ว~ พี่ช่วยเปิดประตูให้ฉันเข้าไปพักหน่อยได้ไหม?”
ในทันทีที่เธอพูดออกมา หลิวอ้ายหยวนก็ดึงคอเสื้อของเธอลงมาอีก
เธอให้คะแนนตัวเอง 80 คะแนนสำหรับคำพูดของเธอ
มันคงไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไรที่จะโน้มน้าวเขาตรงๆ และมันอาจจะล้มเหลวได้ ถ้าอีกฝ่ายไม่ใช่คนแย่ๆ หรือมีผู้หญิงอยู่ในบ้าน ซึ่งอาจทำให้คำพูดเหล่านั้นเปล่าประโยชน์ได้
การทำลับๆ ล่อๆ คงไม่ดีเท่าไร ด้วยวันสิ้นโลกที่บังเกิดขึ้น ทุกคนก็ค่อนข้างวุ่นวายและยุ่งเหยิงอยู่แล้ว จิตใจของพวกเขากำลังปั่นป่วน และมันก็เป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเขาที่จะไม่เข้าใจคำใบ้ในคำพูดของเธอ
และวิธีที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือการใช้ข้ออ้างของทหารเพื่อให้ประชาชนรู้สึกปลอดภัย หลังจากสร้างความรู้สึกปลอดภัยแล้ว การระวังภัยก็จะผ่อนคลายลง จากนั้นตัวเธอก็จะสร้างแรงกระเพื่อมขึ้นมาอีก และ 90% ของผู้ชายปกติจะไม่สามารถต้านทานเสน่ห์จากแรงกระเพื่อมนี้ได้
เธอได้คิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปแล้ว
ลู่หมิงจะเปิดประตู และเธอจะพุ่งเข้าไปให้เขาได้ลิ้มรสความหวานของเธอ และเมื่อเขากลายเป็นทาสของเธอแล้ว เซฟเฮาส์แห่งนี้ก็จะตกเป็นของเธอ
เธอกำลังคิดถึงชีวิตหลังวันสิ้นโลกอันงดงาม แต่ความจริงก็เป็นเหมือนกับการตบหน้าฉาดใหญ่สำหรับหลิวอ้ายหยวน
“เธอคิดว่าฉันโง่เหรอ? หรือเธอกำลังหลอกตัวเอง? เคาะประตูอยู่ห้านาทีเพื่อหาผู้รอดชีวิตงั้นเหรอ? เธอต้องพกชะแลงไปด้วยเหรอถ้าไม่มีอะไรแล้ว?”
“เธอดูจอมปลอม และคำพูดของเธอก็ปลิ้นปล่อน มันไม่มีอะไรจอมปลอมไปได้มากกว่านี้แล้ว ไสหัวไปได้แล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เธอก็โกรธมากจนจมูกของเธอแทบจะงุ้มเข้ามา
ในชีวิตของเธอ เธอเกลียดคนตะโกนใส่เธอและบอกว่าเธอทำศัลยกรรมมามากที่สุด!
ในเวลานี้เอง ลู่หมิงก็ได้สัมผัสกับจุดที่อ่อนไหวที่สุดของเธอและทำลายแผนการของหลิวอ้ายหยวนลง
เธอไม่อาจเสแสร้งต่อไปได้อีก
หลิวอ้ายหยวนหยิบชะแลงขึ้นมาและเตรียมจะงัดประตูในขณะที่เธอตะโกนออกมาด้วยความโมโหว่า “เปิดประตู! เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”
หลิวอ้ายหยวนได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นมาจากในบ้าน
ก่อนที่เธอจะได้คิดอะไรต่อ หน้าต่างบนชั้นสองก็เปิดออกในทันใด และหินก้อนหนึ่งก็พุ่งเข้ามากระแทกหน้าผากของหลิวอ้ายหยวนอย่างรุนแรง
ทันใดนั้นเอง หลิวอ้ายหยวนก็รู้สึกว่าหน้าผากของเธอมีอะไรกระแทกอย่างรุนแรง เธอเงยหน้าขึ้นและเห็นลู่หมิงกำลังถือหนังสติ๊กเอาไว้พร้อมกับมองมาที่เธออย่างเย็นชา
ลู่หมิงพูดขึ้นมาว่า
“ไสหัวไปซะ! ฉันจะไม่พูดเป็นครั้งที่สองนะ!”