ตอนที่ 664 กฎแห่งความโกลาหลขั้นที่ 3
ตอนที่ 664 กฎแห่งความโกลาหลขั้นที่ 3
เซี่ยเฟยไม่เคยคิดเลยว่ากฎแห่งชีวิตที่โอโร่ถือครองอยู่นั้นจะเป็นกฎที่สาบสูญของเผ่ามาร และการที่เขาหยิบยื่นความช่วยเหลือให้อดีตจอมมารคนนี้ มันก็มีโอกาสที่จะทำให้เขาได้กลายเป็นศัตรูของมารทั้งเผ่าพันธุ์ด้วย
เซี่ยเฟยทำได้เพียงแต่ส่ายหัวและยอมรับความจริงเท่านั้น เพราะข้อตกลงระหว่างทั้งสองฝ่ายสิ้นสุดลงแล้ว ดังนั้นไม่ว่าหลังจากนี้มันจะมีอะไรเกิดขึ้นมันก็เป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถที่จะควบคุมได้
“หากวัดกันตามหลักเหตุผล การที่คุณเป็นศัตรูกับเผ่ามารทั้งหมดแบบนี้เผ่ามารก็ควรจะขับไล่ตระกูลของคุณออกจากแดนมารด้วยไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมตระกูลไลอ้อนฮาร์ทถึงมีอยู่มาจนถึงปัจจุบัน?” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับนั่งลงบนพื้น
“นายรู้ไหมว่าตระกูลขนาดใหญ่มันคืออะไร?” โอโร่ถามพร้อมกับมองไปทางเซี่ยเฟย
“ตระกูลใหญ่ก็เป็นแค่ตระกูลที่ทรงพลังไม่ใช่เหรอ?” เซี่ยเฟยกล่าว
“ใช่ สาเหตุที่พวกเราถูกเรียกว่าตระกูลใหญ่นั่นก็เพราะว่าตระกูลของเรามีอิทธิพลต่อเผ่าพันธุ์มาก ดังนั้นถึงแม้ว่าฉันจะเป็นศัตรูกับเผ่ามารทั้งหมด แต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะจัดการกับฉันอย่างเปิดเผย มันจึงไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงการพยายามเข้าไปแตะต้องตระกูลของฉันเลยแม้แต่น้อย”
“ยิ่งไปกว่านั้นเผ่ามารที่ขาดตระกูลไลอ้อนฮาร์ทไป บางทีมันก็อาจจะเรียกว่าเผ่ามารไม่ได้เลยด้วยซ้ำ” โอโร่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่หยิ่งผยองแล้วมันก็ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองมากนัก เพราะท้ายที่สุดตระกูลไลอ้อนฮาร์ทก็เป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่จนไม่มีใครสามารถที่จะสั่นคลอนได้นี่เอง
ในขณะที่ทางฝั่งของเผ่าเทพกลับมีการแบ่งแยกกันย่อย ๆ มากกว่านั้น เพราะเพียงแค่เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ถูกแบ่งออกเป็นตระกูลต่าง ๆ เป็นจำนวนนับไม่ถ้วน แต่เผ่าไลอ้อนฮาร์ทกลับอยู่รวมกันเป็นปึกแผ่นหรือเป็นตระกูลเพียงแค่ตระกูลเดียว อิทธิพลของตระกูลพวกเขาจึงยิ่งใหญ่กว่าตระกูลของทางฝั่งมนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัย
“เป็นยังไง? หลังจากรู้ความจริงแล้วนายรู้สึกเสียใจบ้างไหม?” โอโร่ถาม
“เสียใจ? ไม่ต้องห่วงผมไม่เคยเสียใจในเรื่องอะไรที่ผมเคยตัดสินใจไปอยู่แล้ว” เซี่ยเฟยกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม
—
โอโร่มอบหมายให้เซี่ยเฟยคอยฝึกฝนวิชาการต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง ซึ่งสิ่งที่ชายหนุ่มจะต้องทำในแต่ละวันเรียกได้ว่าเขายุ่งมากจนแทบที่จะไม่มีเวลาส่วนตัว
อย่างไรก็ตามเซี่ยเฟยก็ยังสามารถฝึกฝนวิชาการต่อสู้ต่าง ๆ ด้วยความเร็วที่น่าอัศจรรย์ ทำให้ โอโร่ต้องคอยประมวลผลใหม่ทุกวันราวกับว่าพรสวรรค์ของชายหนุ่มคนนี้มันไม่มีจุดสิ้นสุดอยู่จริง ๆ
ระหว่างที่ทำการฝึกฝนวิชาต่าง ๆ อยู่นั้น เซี่ยเฟยก็มักที่จะแบ่งเวลามาฝึกฝนกฎแห่งความโกลาหลวันละประมาณ 2-3 ชั่วโมง ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จากการแบ่งเวลามาฝึกฝนแบบนี้ มันก็ดีกว่าการทุ่มเทฝึกฝนในคราวเดียว เพราะในบางครั้งเขาก็จำเป็นจะต้องใช้เวลาในการคิดพิจารณาเพื่อคอยพัฒนารูปแบบการฝึกฝนในวันถัดไป
วิ้ง!
ในที่สุดอักขระกฎแห่งความโกลาหลตัวที่ 3 ภายในพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของเซี่ยเฟยก็ถูกสร้างขึ้นมาอย่างเสร็จสมบูรณ์ หรือมันก็หมายความว่าในที่สุดเขาก็สามารถใช้พลังกฎแห่งความโกลาหลได้จนถึงขั้นที่ 3 แล้ว
สดชื่น!
หลังจากการพัฒนาครั้งนี้เซี่ยเฟยก็รู้สึกสบายตัวไปทั่วทั้งร่าง ซึ่งความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นมามันก็ยิ่งช่วยทำให้ความมั่นใจของเขาเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นสองเท่า
เซี่ยเฟยสูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ เพื่อดื่มด่ำไปกับความรู้สึกที่หาได้ยากนี้ เพราะหลังการเลื่อนระดับแต่ละครั้งเขาจะรู้สึกเหมือนกับตัวเองกำลังล่องลอยอยู่ในสวนสวรรค์ ก่อนที่ความรู้สึกนี้จะหายไปในเวลาเพียงแค่ไม่นาน
หลังจากฝึกฝนเสร็จเซี่ยเฟยก็ได้ตรวจดูไมโครคอมพิวเตอร์ และได้เห็นว่ามอร์โรว์ได้แจ้งมาว่าสิ่งที่เขาต้องการได้รับการจัดการเรียบร้อยแล้ว
เซี่ยเฟยไม่ชอบถูกขัดจังหวะในระหว่างที่เขาทำการฝึกซ้อม ดังนั้นถึงแม้ว่าแอวริลจะต้องการพบกับเขาในระหว่างที่เขากำลังฝึกซ้อมอยู่ เธอก็ทำได้เพียงแต่ทิ้งข้อความเอาไว้เท่านั้น
ถึงแม้ว่าการทำแบบนี้มันจะดูเหมือนคนเอาแต่ใจอยู่เล็กน้อย แต่การเข้ามาขัดขวางในระหว่างการฝึกฝนมันก็เป็นเรื่องที่อันตรายมากจริง ๆ ชายหนุ่มจึงต้องการที่จะป้องกันเรื่องอันตรายทุกวิถีทางเท่าที่เขาจะพอควบคุมได้
เซี่ยเฟยค่อย ๆ ลุกยืนขึ้นและมุ่งหน้าตรงไปยังห้องทดลองของมอร์โรว์
“ไม่น่าเชื่อว่าจะเร็วขนาดนี้ สมแล้วที่นายเป็นหัวหน้าวิศวกรของเผ่าจักรกล” เซี่ยเฟยพูดยกย่องมอร์โรว์ทันทีที่พวกเขาได้พบหน้ากัน
นี่คือหนึ่งในวิธีการที่หัวหน้าสมควรจะปฏิบัติต่อลูกน้อง โดยเฉพาะลูกน้องที่มีความดื้อรั้นอย่างมอร์โรว์ เพราะอย่างน้อยการกล่าวชมเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ มันก็จะช่วยเป็นกำลังใจให้กับเหล่าบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาได้
มอร์โรว์รู้สึกยินดีมากที่เขาได้รับความชื่นชมจากเซี่ยเฟย เพราะท้ายที่สุดชายหนุ่มคนนี้ก็มีรากฐานที่ดีมากทั้งในด้านของเครื่องกลและอิเล็กทรอนิกส์
ยิ่งไปกว่านั้นเซี่ยเฟยยังได้ครอบครองทักษะการคิดวิเคราะห์ที่น่าอัศจรรย์ จนสามารถระบุความผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในเรื่องต่าง ๆ ได้ในเวลาเพียงแค่ไม่นาน
“ฉันได้ทำการทดสอบทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ระบบเรดาร์แบล็คแบทรุ่นใหม่นี้สามารถที่จะใช้จากในแหวนมิติได้เลย และขนาดของมันก็ถูกบีบอัดให้เล็กมากที่สุดเท่าที่ฉันจะทำได้แล้ว” มอร์โรว์กล่าวขณะนำตารางการทดสอบออกมายืนให้เซี่ยเฟยดู
“ผลลัพธ์ออกมาดีมาก ขอบคุณสำหรับความพยายามของนายนะ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
“เป็นเกียรติมากที่ฉันช่วยเหลือคุณได้ อย่างน้อยเรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของฉันในฐานะวิศวกร” มอร์โรว์กล่าว
—
หลังได้รับอุปกรณ์สื่อสารรุ่นใหม่เซี่ยเฟยก็กลับเข้าไปในห้องฝึกอีกครั้ง จากนั้นเขาก็เปิดแหวนมิติและนำโลงศพของโอโร่ออกมาทางด้านนอก
“นั่นมันอะไร?” โอโร่ถามอย่างสงสัยขณะเฝ้าดูเซี่ยเฟยติดตั้งอุปกรณ์สื่อสารเชื่อมกับโลงศพน้ำแข็งของเขา
“นี่คืออุปกรณ์สื่อสารที่จะช่วยให้คุณติดต่อมาหาผมได้แม้ว่าแหวนมิติจะยังปิดอยู่ ท้ายที่สุดถึงแม้ทักษะของคุณจะดีมาก แต่วันหนึ่งพวกเราก็อาจจะถูกใครดักจับการสื่อสารผ่านเสียงของคุณก็ได้”
“แต่อุปกรณ์ชิ้นนี้เป็นการสื่อสารผ่านการสั่นปราศจากเสียงด้วยความถี่ที่ถูกเข้ารหัสเป็นอย่างดี มันจึงไม่มีใครสามารถถอดรหัสสัญญาณที่ถูกส่งออกมาจากเครื่องสื่อสารได้แน่นอน”
“ในเมื่อคุณคือศัตรูของเผ่ามารทั้งหมด ผมก็จำเป็นจะต้องระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้น เพราะถ้าหากว่ามันมีใครรับรู้ถึงตัวตนของคุณเข้า ผมก็คงจะต้องพบกับปัญหาใหญ่อีกครั้ง” เซี่ยเฟยกล่าว
เครื่องสื่อสารที่ติดตั้งลงบนโลงน้ำแข็งของโอโร่มีขนาดเล็กมาก ส่วนทางฝั่งของเซี่ยเฟยก็มีชิ้นโลหะขนาดประมาณเม็ดถั่วเหลืองถูกวางเอาไว้ที่หลังใบหู ซึ่งการติดตั้งเครื่องสื่อสารในครั้งนี้มันก็จะทำให้ทั้งสองสามารถสื่อสารกันได้อย่างสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
โอโร่ไม่ได้พูดอะไรออกมามากนัก แต่เขาก็ยังคิดว่าอุปกรณ์สื่อสารชิ้นนี้เป็นอุปกรณ์ที่น่าทึ่งมาก เพราะมันสามารถช่วยให้เขาสื่อสารออกมาจากแหวนมิติได้โดยตรง
“เซี่ยเฟย นายคงไม่คิดที่จะซ่อนตัวอยู่ที่นี่ตลอดชีวิตใช่ไหม? นายมีแผนที่จะจัดการกับคนพวกนั้นยังไงบ้าง?” โอโร่ถาม
“ผมไม่คิดที่จะซ่อนตัวตลอดไปหรอก ความจริงผมมีแผนการในใจอยู่แล้วและอีกสองวันผมจะแจ้งให้เพื่อนของผมที่อยู่ในดินแดนกฎเริ่มดำเนินการ แต่ก่อนหน้านั้นผมยังขาดแคลนทางด้านกำลังคน เพราะการไปเผชิญหน้ากับศัตรูด้วยตัวคนเดียวมันคงจะเป็นเรื่องที่โง่เขลามากเกินไป” เซี่ยเฟยกล่าว
“เฉินตงก็เป็นตัวเลือกที่ดีนะ” โอโร่กล่าว
“เฉินตงมีความสามารถมากจริง ๆ แต่ผมเกือบจะทำให้อนาคตของเขาถึงทางตันไปครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งนี้ผมเลยไม่สามารถเอาเขาไปเข้าร่วมแผนการได้จริง ๆ แต่ถึงแม้ว่าผมจะชักชวนเขาไปด้วยแต่เขาเพียงคนเดียวมันก็ยังไม่พออยู่ดี” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับส่ายหัว
“แล้วทำไมนายไม่หาคนเพิ่มล่ะ?” โอโร่กล่าวถาม
“ผมก็อยากจะหาคนเพิ่มอยู่หรอก แต่การหานักสู้ที่มีความสามารถมันเป็นเรื่องง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?” เซี่ยเฟยกล่าวถามกลับไปอย่างสงสัย
“ก็ลองไปดูที่ดินแดนเนรเทศสิ” โอโร่กล่าวอย่างเคร่งขรึม
คำตอบนี้ทำให้เซี่ยเฟยชะงักค้างไปในทันที
บริเวณขอบนอกของดินแดนกฎเป็นสถานที่ตั้งของดินแดนเนรเทศ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เหล่าบรรดาผู้ที่ถูกเนรเทศจากดินแดนสูงสุดทั้งสองเนรเทศออกมา จนทำให้พวกเขากลายเป็นกองกำลังฝ่ายที่ 3 ที่มีความแข็งแกร่งรองลงมาจากเผ่าเทพและเผ่ามาร
คำพูดของโอโร่เป็นการบอกเซี่ยเฟยว่าถ้าหากเขาต้องการกำลังคน การเริ่มต้นหาคนจากดินแดนเนรเทศถือได้ว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
“ในดินแดนเนรเทศมีทั้งทาส, ทหารรับจ้างและนักสู้ที่ต้องการต่อสู้เพื่ออิสรภาพของตัวเองกระจายตัวกันอยู่อย่างมากมาย อย่างน้อยการพึ่งพาคนพวกนั้นมันก็พอที่จะทำให้เราตอบโต้ศัตรูของนายกลับไปได้”
“ขอแค่นายมีเงินค่าจ้างให้พวกเขามากพอ นายก็จะสามารถรวบรวมกองกำลังได้อย่างมากมาย ยิ่งไปกว่านั้นในแดนเนรเทศมันก็มีนักสู้ที่ทรงพลังซ่อนอยู่เต็มไปหมด ฉันเชื่อว่าการเดินทางไปที่นั่นย่อมทำให้นายได้รับกองกำลังที่น่าพอใจกลับมาอย่างแน่นอน” โอโร่กล่าว
“ถ้าพวกเขาแข็งแกร่งขนาดนั้นแล้วทำไมสองเผ่าพันธุ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดถึงไม่กำจัดพวกเขาทิ้งซะล่ะ?” เซี่ยเฟยถาม
“มันไม่ใช่ว่าทั้งสองเผ่าพันธุ์ไม่ต้องการจะจัดการกับคนพวกนั้น แต่ว่าพวกเขาทำไม่ได้ต่างหาก หากเผ่าเทพกับเผ่ามารต้องการที่จะจัดการกับผู้คนในดินแดนเนรเทศจริง ๆ พวกเขาก็จำเป็นจะต้องรวมกำลังกันกวาดล้างพวกตระกูลที่ถูกเนรเทศทั้งหมดในครั้งเดียว”
“ไม่อย่างนั้นถึงแม้ว่าพวกเขาจะสามารถจัดการกับดินแดนเนรเทศได้ แต่คนที่ลงมือก็คงจะได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก และมันก็จะเป็นการเปิดเผยให้อีกเผ่าพันธุ์หนึ่งเข้ามาจัดการในระหว่างที่พวกเขากำลังอ่อนแอ” โอโร่กล่าวอธิบาย
“แบบนี้นี่เอง แม้ว่าดินแดนเนรเทศจะเป็นหอกข้างแคร่ของเผ่าเทพกับเผ่ามาร แต่พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะจัดการกับดินแดนแห่งนี้ได้ ถ้าผมเดาไม่ผิดพวกเขาก็คงจะใช้ประโยชน์จากดินแดนเนรเทศในการสร้างปัญหาให้กับดินแดนของศัตรูด้วย เหมือนกับที่ผมได้พบกับพวกเชพเพิร์ดในงานชุมนุมมังกรฟ้า” เซี่ยเฟยกล่าวหลังจากรับรู้ได้ถึงเหตุผลเบื้องหลังของดินแดนกฎอันยิ่งใหญ่
“ถูกต้อง ทั้งเผ่าเทพและเผ่ามารต่างก็ส่งของขวัญให้กับหัวหน้าตระกูลขนาดใหญ่ในดินแดนของศัตรูทุกปี เพื่อป้องกันไม่ให้ตระกูลพวกนั้นเข้ามาสร้างปัญหาในดินแดนของพวกเขาเอง” โอโร่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
ในที่สุดเซี่ยเฟยก็เข้าใจแล้วว่าการคงอยู่ของดินแดนเทพ, ดินแดนมารและดินแดนเนรเทศเป็นเหมือนกับสามก๊กที่คอยถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน จนทำให้ไม่มีใครสามารถเปิดสงครามกับอีกฝ่ายอย่างซึ้ง ๆ หน้าได้
“การเดินทางไปยังดินแดนเนรเทศคงไม่ใช่เรื่องยาก แต่สิ่งที่ยากคือการรับสมัครคนจากที่นั่นมากกว่า เพราะถึงยังไงผมก็ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับดินแดนเนรเทศเลย” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“มันไม่ใช่เรื่องง่ายก็จริง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องยากด้วยเหมือนกัน ในเมื่อฉันกล้าที่จะแนะนำนายแบบนี้ ฉันย่อมรู้วิธีที่จะคอยช่วยเหลือนายอยู่แล้ว” โอโร่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ภาคภูมิใจ
“โอเค ผมยอมรับข้อเสนอของคุณ หลังจากจัดการเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเราจะมุ่งหน้าไปยังดินแดนเนรเทศกัน” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น
***************
พี่เฟยจะไปหาพรรคพวกแล้ว