ตอนที่แล้วตอนที่ 662 ร่างใหม่ของมอร์โรว์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 664 กฎแห่งความโกลาหลขั้นที่ 3

ตอนที่ 663 ศัตรูของเผ่ามาร


ตอนที่ 663 ศัตรูของเผ่ามาร

“บัดซบ! ขั้นที่ 8 มันจะไปต่างอะไรจากขั้นที่ 9 วะ!!” โอโร่ตะโกนสาปแช่งอย่างลืมตัว

ตอนแรกเขาทำนายว่าเซี่ยเฟยคงจะสามารถฝึกฝนวิชามังกรซ่อนเร้นได้ถึงขั้นที่ 4 เท่านั้น หรืออย่างมากที่สุดด้วยพรสวรรค์อันน่าอัศจรรย์ มันก็ไม่มีทางที่ชายหนุ่มจะฝึกฝนเกินไปกว่าขั้นที่ 5 ได้

แต่ในความเป็นจริงช่วงเวลา 3 วันที่ผ่านมาเซี่ยเฟยสามารถฝึกฝนวิชานี้จนถึงขั้นที่ 8 ซึ่งมันก็หมายความว่าชายหนุ่มใกล้ที่จะฝึกฝนวิชานี้จนเสร็จสมบูรณ์แล้ว

“แน่นอนว่าขั้นที่ 8 มันยังแตกต่างจากขั้นที่ 9 มาก เพราะผมยังใช้วิชานี้ได้อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพแตกต่างจากขั้นที่ 9 ที่ถือว่าเป็นการใช้วิชาออกมาได้อย่างเต็มที่” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างจริงจัง

“ไหนนายบอกว่าการฝึกวิชานี้มันค่อนข้างยาก ฉันไม่เห็นว่ามันจะยากสำหรับนายตรงไหนเลย?”

“ใช่ ตอนแรกผมยังไม่ชินกับการใช้วิชาเพื่อหน่วงพลังแบบนี้เอาไว้เลย เพราะผมคุ้นชินกับการปลดปล่อยพลังงานทั้งหมดออกไปในครั้งเดียวมากกว่า แต่เมื่อผมค่อย ๆ ฝึกฝนไปเรื่อย ๆ ผมก็ค่อย ๆ เชี่ยวชาญวิธีการใหม่นี้เรื่อย ๆ ด้วยเหมือนกัน จากนั้นความเร็วในการฝึกของผมมันก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับยักไหล่

“ไม่ต้องพูดแล้ว ลองใช้วิชาออกมาเลย ฉันจะเป็นคนตัดสินเองว่านายสามารถใช้วิชานี้ได้ไกลสักแค่ไหน” โอโร่กล่าว

เซี่ยเฟยพยักหน้ายืนตรงมองไปด้านหน้าอย่างแน่วแน่ จากนั้นเขาก็กลั้นลมหายใจพร้อมกับตบฝ่ามือลงไปบนพื้น

อย่างไรก็ตามการออกท่าทางของเขากลับไม่ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวใด ๆ คล้ายกับว่าเขาตบฝ่ามือลงพื้นเฉย ๆ โดยไม่ได้ปลดปล่อยการโจมตีใด ๆ ออกมา

แต่ในทันใดนั้นเองคลื่นมิติสีขาวก็พุ่งขึ้นมาจากพื้นห่างจากชายหนุ่มออกไปประมาณ 100 เมตร โดยคลื่นมิตินี้พุ่งทะยานขึ้นไปในอากาศราวกับมังกรที่กำลังทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า

วิชานี้ถือว่าเป็นวิชาที่แปลกประหลาดมาก เพราะการเคลื่อนไหวในครั้งแรกมันไม่ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวใด ๆ เลยแม้แต่นิดเดียว แต่ทันทีที่การโจมตีปรากฏออกมา มันกลับปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมาในพริบตา เรียกได้ว่าพลังนี้สามารถทำลายศัตรูให้จบสิ้นได้ในเวลาเพียงแค่เสี้ยววินาที

หากใครละสายตาไปจากจุดที่เกิดการจู่โจมแม้แต่เพียงวินาทีเดียว บางทีพวกเขาอาจจะมองไม่ทันด้วยซ้ำว่ามันมีการโจมตีอันน่าสะพรึงกลัวเกิดขึ้นจริง ๆ หรือไม่

สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือการหน่วงพลังเพื่อทำให้ศัตรูตายใจ ในระหว่างที่เซี่ยเฟยตบฝ่ามือลงกับพื้น นักรบที่มีประสบการณ์ย่อมจะต้องระวังตัวคิดว่าชายหนุ่มกำลังจะทำการจู่โจมอย่างแน่นอน

แต่หลังจากที่เวลาได้ผ่านพ้นไปหลายวินาทีแต่มันไม่มีการโจมตีเกิดขึ้น ฝ่ายตรงข้ามก็จะเริ่มผ่อนคลาย เพราะคิดว่ามันไม่มีการโจมตีใด ๆ ออกมาอีกแล้ว และนั่นก็คือช่วงเวลาที่มังกรซ่อนเร้นรอคอยเพื่อทำลายศัตรูภายในเสี้ยวพริบตาเดียว

การหน่วงพลังถือได้ว่าเป็นเทคนิคที่สามารถใช้ออกไปได้อย่างยากมากที่สุด และโดยปกติมันก็จำเป็นจะต้องมีคนมาคอยให้คำแนะนำเพื่อที่ผู้ฝึกจะได้มีพัฒนาการไปอย่างรวดเร็ว แต่เซี่ยเฟยกลับสามารถทำความเข้าใจวิธีการหน่วงพลังได้ในเวลาเพียงแค่ 3 วัน ที่สำคัญกว่านั้นคือเขายังสามารถฝึกวิชามังกรซ่อนเร้นได้จนถึงขั้นที่ 8 แล้วอีกด้วย

โอโร่รู้สึกตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เพราะความจริงได้แสดงออกมาให้เห็นแล้วว่า ศักยภาพในการเติบโตของเซี่ยเฟยดีกว่าศักยภาพของยอดนักรบอย่างเขาเสียอีก

อัจฉริยะทุกคนมักจะมีด้านที่ดื้อรั้นเป็นของตัวเอง โอโร่จึงมักจะคิดอยู่ในใจเสมอว่ามันคงจะไม่มีใครมีศักยภาพในการฝึกฝนที่เหนือไปกว่าเขาได้

แต่ตอนนี้เขาต้องยอมรับจริง ๆ ว่าเซี่ยเฟยมีพรสวรรค์อันน่าทึ่ง ซึ่งหลังจากเขาใช้เวลาทำใจอยู่สักพัก เขาก็กลับมาให้ความสนใจในการหาขีดจำกัดของชายหนุ่มต่อไป

“ความเร็วในการฝึกวิชามังกรซ่อนเร้นของผมถือว่าพอใช้ได้อยู่ใช่ไหม?” เซี่ยเฟยถามอย่างสบาย ๆ โดยไม่ได้มีความเย่อหยิ่งใด ๆ เจือจางเข้ามาในคำพูดของเขาเลย

ชายหนุ่มคิดอยู่เสมอว่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องปกติ เพราะตั้งแต่ที่เขาฝึกฝนมาเขามักจะมีความก้าวหน้าที่รวดเร็วแบบนี้เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เขาจึงคิดว่าคนอื่น ๆ ก็น่าจะฝึกฝนได้อย่างรวดเร็วเหมือนกับเขาเช่นเดียวกัน ซึ่งเรื่องนี้มันก็ถือว่าเป็นความไร้เดียงสาของเขาเพียงแค่ไม่กี่เรื่อง

โอโร่ถึงกับพูดไม่ออก เพราะเซี่ยเฟยสามารถเลื่อนระดับได้อย่างรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ แต่เขากลับพูดเหมือนกับความเร็วในการเลื่อนระดับนี้เป็นเรื่องปกติ ซึ่งถ้าหากอัจฉริยะหลาย ๆ คนได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มพูดในวันนี้ขึ้นมา มันก็คงจะมีอัจฉริยะบางคนที่รู้สึกอัปยศจนอยากจะฆ่าตัวตาย

“ความเร็วในการฝึกของนายก็ถือว่าไม่เลว” โอโร่กล่าวโดยพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองเอาไว้

“ทำไมผมถึงรู้สึกว่าพลังทำลายของวิชามังกรซ่อนเร้นอ่อนแอกว่าวิชาพายุทรายร่ายรำ ทั้ง ๆ ที่มันก็เป็นวิชาระดับ 5 เหมือนกัน?” เซี่ยเฟยถามอย่างสงสัย

“นายคิดผิดแล้ว การโจมตีด้วยวิชาพายุทรายร่ายรำเป็นการจู่โจมเหนือพื้นดิน แต่การจู่โจมด้วยวิชามังกรซ่อนเร้นเป็นการจู่โจมจากใต้พื้น แล้วนายจะเอาวิชาทั้งสองวิชานี้มาเปรียบเทียบกันได้ยังไง” โอโร่กล่าวพร้อมกับส่ายหัว

“วิชามังกรซ่อนเร้นคือวิชาที่สามารถหน่วงพลังเอาไว้ใต้พื้นดินได้ถึง 9 วินาที และถึงแม้ว่าในช่วงเวลา 9 วินาทีนี้จะเป็นเวลาที่ไม่นานนัก แต่พลังงานที่สูญเสียไประหว่างนั้นกลับเป็นพลังงานปริมาณมากมายมหาศาล”

“ยิ่งไปกว่านั้นวิชานี้ยังเป็นวิชาที่เอาไว้จู่โจมศัตรูในระหว่างที่พวกเขาไม่ทันได้ระวังตัว ซึ่งในบางครั้งมันก็สามารถสร้างความเสียหายได้ร้ายแรงมากกว่าวิชาที่ปล่อยพลังออกไปตรง ๆ เสียอีก”

“แต่ในกรณีที่ศัตรูรู้จักวิชานี้มันก็จะทำให้พวกเขาตกอยู่ในสภาวะตึงเครียดเป็นเวลานานด้วยเหมือนกัน ลองนึกดูสิว่าถ้าหากพวกเขาต้องตั้งท่าเตรียมป้องกันอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานถึง 9 วินาที มันจะทำให้พวกเขาเสียสมาธิไปในระหว่างนั้นมากแค่ไหน” โอโร่กล่าว

“การโจมตีชนิดนี้คล้าย ๆ กับคำโบราณที่เคยบอกว่า ศัตรูที่มองไม่เห็นคือศัตรูที่น่ากลัวที่สุดสินะครับ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับหัวเราะออกมาเบา ๆ

“ความสำคัญของวิชานี้ไม่ใช่เพียงแต่มันเป็นวิชาที่เอาไว้สำหรับการจู่โจมเท่านั้น แต่มันยังเป็นวิชาที่เอาไว้ฝึกทักษะเบื้องต้นในการควบคุมพลังกฎอย่างละเอียดอีกด้วย”

“สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับการควบคุมพลังกฎโดยละเอียดไม่ใช่การปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมา แต่เป็นการควบคุมพลังกฎเหล่านั้นให้จู่โจมอย่างอิสระตามความคิดของเราต่างหาก” โอโร่กล่าว

คำพูดนี้ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกตกตะลึงในทันที เพราะมันเป็นแง่มุมในการใช้พลังที่เขาไม่เคยนึกถึงเมื่อก่อน

ก่อนหน้านี้เขารู้จักแต่วิธีการปลดปล่อยพลังกฎออกไปอย่างรุนแรงเท่านั้น แต่เขายังขาดการประยุกต์ใช้พลังกฎอย่างอิสระอย่างที่โอโร่ได้พูดเอาไว้จริง ๆ

“ฉันถามหน่อยว่าทำไมนายถึงใช้พลังกฎออกมาได้?” โอโร่ถาม

“นั่นก็เพราะว่าผมได้ฝึกการใช้พลังกฎ” เซี่ยเฟยกล่าวต่อไปโดยไม่ต้องคิด

“ถ้าอย่างนั้นฉันขอถามใหม่ว่าพลังกฎในความหมายของนายมันคืออะไรกันแน่?” โอโร่ถามอีกครั้ง

“เออ…” เซี่ยเฟยชะงักค้างไปเล็กน้อย เพราะเขาไม่รู้จะตอบกลับไปว่าอะไรจริง ๆ

“เอาใหม่ ฉันรู้ว่านายคือคนที่ชอบยานรบมาก แล้วการใช้ยานรบมันเหมือนกับการใช้บลัดบิวเทียสไหม?” โอโร่ถามด้วยรอยยิ้ม

“ไม่เหมือนสิ การควบคุมยานรบทำได้ยากกว่าไม่เหมือนกับการควบคุมบลัดบิวเทียสที่สามารถควบคุมได้อย่างอิสระ”

“แล้วระหว่างบลัดบิวเทียสกับนิ้วทั้ง 10 นิ้วบนมือของนายล่ะ อะไรควบคุมได้ง่ายกว่า?” โอโร่ถาม

“มันก็ต้องเป็นนิ้วสิ ไม่ว่าผมจะสามารถควบคุมบลัดบิวเทียสได้อย่างอิสระมากแค่ไหน แต่มันก็ไม่มีทางควบคุมได้อย่างอิสระเหมือนกับนิ้วของผม ท้ายที่สุดนิ้วก็เป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกายที่ติดตัวผมมาตั้งแต่เกิด” เซี่ยเฟยตอบกลับ

“ใช่แล้ว การเรียนรู้พลังของกฎมันก็เหมือนกันนั่นแหละ พวกเราไม่ได้เรียนรู้พลังกฎเพื่อปลดปล่อยพลังพวกนั้นออกไปอย่างเดียว เป้าหมายสูงสุดของการเรียนพลังกฎคือการทำให้พลังนี้เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย นายควรจะต้องจดจำเอาไว้ว่านายคือพลังกฎและพลังกฎมันก็คือตัวนาย” โอโร่กล่าวพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง

“ฉันคือพลังกฎและพลังกฎก็คือฉัน!?” เซี่ยเฟยทวนคำพูดของโอโร่ออกมาโดยไม่รู้ตัว และทันใดนั้นมันก็ทำให้เขารู้สึกว่าเขามีความเข้าใจในการใช้พลังกฎอย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น

“จริง ๆ แล้วมันค่อนข้างจะเร็วเกินไปที่ฉันได้อธิบายเรื่องนี้ให้นายรู้ เพราะถึงนายจะรู้ไปการพยายามใช้พลังกฎให้เหมือนกับร่างกายของตัวเองมันก็ยังไม่ใช่สิ่งที่นายจะสามารถทำได้ในเร็ว ๆ นี้อยู่ดี ทางที่ดีนายควรค่อย ๆ เรียนรู้ไปอย่างช้า ๆ และทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ไม่จำเป็นจะต้องรีบร้อน” โอโร่กล่าว

“คุณเป็นคนของเผ่ามารไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมคุณถึงรู้เรื่องของเผ่าเทพเยอะขนาดนี้ หรือว่าคุณแอบเรียนรู้พลังกฎของทางฝั่งเผ่าเทพอย่างลับ ๆ ด้วย” เซี่ยเฟยกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม

โอโร่คือจอมมารผู้ที่มาจากฝั่งของเผ่ามาร แต่เขากลับมีความรู้เรื่องกฎมิติและกฎสสารเยอะมาก แล้วมันก็ดูเหมือนกับว่าอดีตผู้นำเผ่าไลอ้อนฮาร์ทคนนี้จะรู้แม้กระทั่งกฎแห่งเวลาที่สูญหายไปเป็นเวลานานแล้ว เซี่ยเฟยจึงเริ่มสงสัยว่าทำไมโอโร่ถึงรู้เรื่องของทางฝั่งเผ่าเทพมากมายถึงระดับนี้

“นอกเหนือจากการฝึกฝนแล้ว หนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทำความเข้าใจคู่ต่อสู้ เผ่าเทพกับเผ่ามารเป็นศัตรูกันมานานมาก และสาเหตุที่ฉันรู้เรื่องพลังของทางฝั่งเทพอย่างละเอียด นั่นก็เพราะว่าฉันได้เจอคนใช้พลังพวกนี้มาทุกรูปแบบในระหว่างที่เราอยู่ในสนามรบ”

“การทำความเข้าใจพลังของศัตรูไม่เพียงแต่จะทำให้ฉันสามารถหาวิธีรับมือพลังพวกนี้ได้เท่านั้น แต่มันยังทำให้ฉันมีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับพลังพวกนี้โดยละเอียดเป็นของแถมไปด้วย” โอโร่กล่าว

เซี่ยเฟยขมวดคิ้วขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะเดิมทีเขาคิดว่าพวกเผ่ามารไม่ได้มีความรู้เรื่องมิติและกฎสสาร แต่ในความเป็นจริงไม่เพียงแต่เผ่ามารจะเข้าใจกฎเหล่านี้เท่านั้น แต่พวกเขายังมีความรู้เกี่ยวกับกฎทั้งสองชนิดนี้ในระดับเดียวกันกับผู้เชี่ยวชาญอีกด้วย

“ถึงพวกเราจะมีความรู้ความเข้าใจ แต่ส่วนใหญ่พวกเราก็ไม่คิดที่จะฝึกพลังพวกนี้ ยกเว้นกฎมิติที่มันช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้กับพวกเราได้” โอโร่กล่าวเสริม

“คุณกำลังจะบอกว่าทางฝั่งมารแอบเรียนรู้พลังของทางฝั่งเทพ แต่ทางฝั่งเทพไม่ได้รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับทางฝั่งมารเลย แบบนี้ทางฝั่งเทพไม่เสียเปรียบแย่เลยเหรอ? เพราะในความเป็นจริงกฎหลักของทางเผ่าเทพเหลืออยู่เพียงแค่กฎมิติและกฎสสารเท่านั้น ส่วนกฎแห่งเวลามันได้สูญหายไปจนหมดแล้ว” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว

“นายไปได้ยินเรื่องพวกนี้มาจากใคร ความจริงกฎมิติเป็นกฎที่ใช้ในทั้งสองเผ่าพันธุ์มาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ทางฝั่งเทพจัดประเภทของกฎมิติให้อยู่ในฝั่งของตัวเอง กฎหลักของทั้งสองฝ่ายมันจะได้ดูสมดุลย์”

“ส่วนเรื่องกฎแห่งเวลาที่ทางฝั่งของเผ่าเทพได้สูญหายไป ทางฝั่งของเผ่ามารก็ได้มีหนึ่งในกฎหลักที่ได้หายไปด้วยเหมือนกัน” โอโร่กล่าวพร้อมกับส่ายหัว

“กฎหลักอะไรที่หายไปล่ะครับ?” เซี่ยเฟยถามอย่างสนใจ

“กฎแห่งชีวิต”

“กฎแห่งชีวิต!? ถ้ากฎแห่งชีวิตหายไปแล้วคุณเอาอะไรให้แอวริลฝึกหรือว่าคุณกำลังหลอกผมอยู่?” เซี่ยเฟยรีบกล่าวขึ้นมาด้วยความโกรธ

โอโร่หัวเราะเสียงดังขึ้นมาในทันที เพราะเมื่อมันมีเรื่องเกี่ยวกับแอวริล เซี่ยเฟยมักจะสูญเสียความเยือกเย็นของตัวเองไปโดยเสมอ

“สำหรับเผ่ามารพวกเขาได้สูญเสียกฎแห่งชีวิตไปแล้วจริง ๆ แต่ฉันก็ไม่ได้บอกว่าฉันได้สูญเสียกฎแห่งชีวิตไปด้วยซะหน่อย” โอโร่กล่าวด้วยรอยยิ้มอันลึกลับ

“อย่าบอกนะว่าเหตุผลที่คุณถูกผนึกเอาไว้เป็นเพราะว่าคุณกุมความลับกฎแห่งชีวิตเอาไว้เพียงลำพัง ถ้าเป็นแบบนั้นคุณจะไม่กลายเป็นศัตรูของเผ่ามารทั้งหมดเลยเหรอ?” เซี่ยเฟยอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง

โอโร่พยักหน้ายอมรับอย่างไม่ค่อยเต็มใจมากนัก

“เดี๋ยวก่อนนะ! ถ้าคุณเป็นศัตรูของเผ่ามารทั้งหมด การที่ผมมาช่วยเหลือคุณ มันก็หมายความว่าผมได้กลายเป็นศัตรูของเผ่ามารทั้งหมดด้วยใช่ไหม?” ในที่สุดเซี่ยเฟยก็ตระหนักถึงปัญหาร้ายแรงได้ในทันที

***************

ดี! เป็นศัตรูทั้งเผ่าเทพเผ่ามารให้หมดไปเลยยยย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด