บทที่ 12 : ความคิดของคุเรไน
ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay
บทที่ 12 : ความคิดของคุเรไน
อิโนะจ้องมองซาโตรุด้วยความสับสน จากนั้นก็ดึงซากุระเข้ามาใกล้แล้วกระซิบข้างหู “นี่ ยัยหน้าผากกว้าง นี่คืออาจารย์ประจำทีมของเธอเหรอ? เขาหล่อมากเลยนะ หล่อกว่าซาสึเกะอีก!”
“ฉันเข้าใจ ตอนแรกฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน” ซากุระพยักหน้า จากนั้นก็นึกถึงท่าทีเจ้าชู้ของซาโตรุแล้วรู้สึกโกรธขึ้นมา
“แต่หลังจากรู้จักกันแล้ว...ก็พูดยากนะ”
“มีอาจารย์สุดหล่อเป็นผู้นำทีมแล้วจะบ่นเรื่องอีกอะไรอีกล่ะ? ไม่เหมือนกับทีมที่ 10 ของเราเลย...” อิโนะเหลือบมองชิกามารุโชจิ และ อาซึมะ
ชิกามารุเป็นคนขี้เกียจมาก ชอบบ่นอยู่ตลอดเวลา
ส่วนโชจิก็อ้วนและกินตลอด
แม้ว่าอาซึมะจะหล่อนิดหน่อย แต่เขาก็ให้ความรู้สึกเหมือนคนแก่เลย
“ดูทีมของฉันสิ ทางนี้ต่างหากที่ต้องพูดยาก” อิโนะไม่สนใจนารูโตะ เธอมองซาสึเกะแล้วก็มองไปที่ซาโตรุ
“เฮ้ ยัยหน้าผากกว้างนี้ ทำไมถึงมีแต่หนุ่มหล่อสองคนอยู่รอบตัวกันเล่า?” อิโนะถอนหายใจ
เธอก็ต้องการผู้ชายรูปหล่อมาอยู่รอบกายเหมือนกันนะ!
“ยัยหมูอิโนะ บางทีฉันอาจจะมีเสน่ห์มากกว่าเธอไงล่ะ” ซากุระปัดผมของเธอไปข้างหลังและเงยหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ
ซาโตรุนั้นได้ยินบทสนทนาระหว่างอิโนะและซากุระ
สมองพวกเธอเอาแต่คิดเรื่องความรัก
เด็กพวกนี้สิ้นหวังแล้วล่ะ
“อาสึมะ นายเองก็มาที่นี่ด้วยสินะ เด็กๆ มาขอบคุณอาสึมะกันเร็วเข้า วันนี้เขาเชิญทีมที่เจ็ดของเรามากินเลี้ยงบาร์บีคิวเชียวนะ” ซาโตรุวางนารูโตะไว้บนเก้าอี้ จากนั้นนั่งบนเก้าอี้ตัวอื่นพร้อมกับไขว้ห้างแล้วมองอาซึมะ
"จริงเหรอ?" ซากุระมีความสุขมาก เธอมองดูอาสึมะด้วยความเคารพแล้วพูดว่า “ขอบคุณค่ะอาจารย์อาสึมะ”
“ลุงคนนี้เป็นคนดีเหลือเกิน งั้นวันนี้ผมจะกินเนื้อเกรดที่ดีที่สุดเลย!” นารูโตะดูตื่นเต้น
ทั้งคู่ต่างคิดอย่างไร้เดียงสาว่าอาสึมะชวนมากินเลี้ยงจริงๆ
“เหอะ ไอ้บื้อสองคนนี้” ซาสึเกะแค่นเสียงอย่างเย็นชา เขารู้ได้เลยว่าซาโตรุกำลังเล่นงานอาซึมะอยู่
“หา...” มุมปากของอาสึมะกระตุกเล็กน้อย แต่เมื่อมองไปที่ซากุระและนารูโตะที่มีรอยยิ้มคาดหวังประดับอยู่บนใบหน้า คำพูดปฏิเสธของเขาก็ได้หยุดออกมาจากปากของเขาทันที
เมื่อถูกกลุ่มเด็กเกะนินรุ่นใหม่จ้องมองด้วยสายตาแบบนั้น ใครเล่าจะกล้าปฏิเสธได้ลง?
ยิ่งไปกว่านั้น คุเรไนก็ยังอยู่ที่นี่อีกด้วย
เขาจำเป็นต้องรักษาหน้าเอาไว้
“อาจารย์ซาโตรุของพวกเธอช่วยฉันไว้มากในอดีต ดังนั้นวันนี้ฉันจะเลี้ยงทีมที่เจ็ดให้เอง” อาซึมะได้แต่พูดออกมาเช่นนั้น
เขาไม่เคยคิดเลยว่าซาโตรุจะเป็นคนขี้เหนียวแบบนี้
“สุดยอดไปเลย ถ้าอย่างนั้นก็ต้องจัดเนื้อชั้นดีสักจานก่อนแล้วค่อยกินให้พุงกางไปเลย!” นารูโตะตะโกนอย่างตื่นเต้น
“ไม่จำเป็นต้องกินจริงจังขนาดนั้นก็ได้ ชิมนิดชิมหน่อยพอแล้วน่า” อาสึมะได้แต่สัมผัสกระเป๋าเงินในกระเป๋าของเขาโดยไม่รู้ตัว
“เฮ้อ ช่างเถอะ ไปเริ่มกินกันดีกว่า” อาสึมะขยี้หัวของชิกามารุและโชจิ ก่อนจะเดินนำทีมที่สิบเข้าไปข้างใน
“ซาโตรุ จะนั่งที่คับแคบตรงนั้นเหรอ? เรามีที่นั่งที่กว้างกว้างมากเลยนะ มานั่งด้วยกันไหม?” คุเรไนจิบไวน์ของเธอและแสร้งทำเป็นไม่สนใจ แต่ในใจกลับเต้นตึกตัก
ซาโตรุชำเลืองมองตำแหน่งที่นั่งของคุเรไนและจากนั้นก็มองไปที่ตำแหน่งที่นั่งของทีมที่เจ็ด
ที่นั่นแคบมากจริงๆ ส่วนที่นั่งของคุเรไนนั้นกว้างกว่ามาก
ซาโตรุมองหน้าอกของคุเรไนอย่างเปิดเผย แล้วถามด้วยสีหน้าจริงจัง “ถ้าอย่างนั้นขอนั่งบนตรงนั่นของเธอแล้วกินได้ไหม?”
เขารู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
"แค่ก แค่ก แค่ก" คุเรไนสำลักไวน์ ทันใดนั้นก็ดูเหมือนว่าจะมีอะไรสีดำออกมาจากด้านหลังเธอ รอยยิ้มที่อันตรายพลันปรากฏบนใบหน้า พร้อมกับกล่าวออกมาว่า "แล้วนายคิดว่างละ?"
เธอไม่เคยคิดเลยว่าซาโตรุจะพูดประโยคเช่นนี้ออกมา
เธอเคยเกลียดซาโตรุ ผู้ชายประเภทที่ทั้งเจ้าชู้และรักอิสระ
แต่เมื่อสองปีที่แล้ว เธอได้รับการช่วยเหลือจากซาโตรุโดยบังเอิญครั้งหนึ่ง
เธอไม่ได้เกลียดซาโตรุมากนัก และเมื่อเวลาผ่านไปเธอเริ่มสนใจซาโตรุขึ้นมา
ชิโนะชำเลืองมองคุเรไน จากนั้นก็มองซาโตรุแล้วจึงพูดเสียงเรียบๆ ออกมา “มากินข้าวด้วยกันสิรับ ผมเองก็อยากรู้จักทีมที่เจ็ดมากกว่านี้”
เหตุผลที่พูดแบบนั้นก็เพื่อช่วยเหลือคุเรไนต่างหาก เข้าไม่ได้อยากสนิทอะไรด้วยนักหรอก สิ่งที่เขาสนใจมีแค่แมลงเท่านั้น
ซึ่งด้วยความที่คุเรไนชวนพวกเขาไปกินบาร์บีคิว ดังนั้นไม่ว่าจะยังไงก็ตาม เขาก็ต้องขอบคุณเธอสักหน่อย
“มาสนิทกันไว้เถอะ เดี๋ยวในอนาคตเราก็น่าจะได้ทำภารกิจร่วมกันอีก” คุเรไนยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน เธอไม่เคยคิดเลยว่าชิโนะ เจ้าเด็กน่าเบื่อจะฉลาดขนาดนี้
คิบะถือตะเกียบไว้ในมือ โบกมือไปมาแล้วพูดด้วยความโกรธว่า “สนิทเหรอ? เราจะเข้ากันได้ดีกับเจ้าบื้อแบบนารูโตะได้ยังไง? ถ้าอยู่กันนานๆ เดี๋ยวเราก็จะกลายเป็นคนโง่แบบเขาหรอก”
“นายว่ายังไงนะ ไอ้นี้ กล้าพูดแบบนั้นทั้งที่มีกลิ่นเหมือนสุนัขเหรอ?” นารูโตะสะบัดมือด้วยความรังเกียจแล้วพูดว่า "ถ้ากินบาร์บีคิวกับคนที่มีกลิ่นเหมือนสุนัข เนื้อก็จะเหม็นด้วย!"
“หา? กล้าดียังไงมาพูดแบบนั้นกับอากามารุ อยากโดนฉันไล่ตีเหรอ!?” คิบะตบโต๊ะ ยืนขึ้นมาและจ้องมองไปที่นารูโตะ
ลูกหมาสีขาวที่ชื่ออากามารุได้โผล่หัวออกมาจากเสื้อของคิบะ มันจ้องมองนารูโตะอย่างดุร้าย แล้วส่งเสียงเห่าออกมา “โฮ่ง”
“ใครกลัวนายกัน ฉันนี้แหละจะเป็นโฮคาเงะคนต่อไป!” นารูโตะลุกขึ้น พับแขนเสื้อขึ้นและเตรียมพร้อมที่จะมีเรื่องกันแล้ว
ด้วยใบหน้าที่เย่อหยิ่ง คิบะก็พูดตอบไปว่า "นายจะเป็นโฮคาเงะได้ยังไง คนงี่เง่าแบบนายเนี่ยนะ? คนที่เป็นโฮคาเงะได้ต้องเป็นฉันเท่านั้น!"
“กล้าจะมาแย่งตำแหน่งโฮคาเงะไปจากฉันเหรอ? ฉันจะทุบนายให้จมดินแน่!” นารูโตะโกรธมาก
เขาทนไม่ได้ที่มีคนมาดูถูกความฝันที่จะเป็นโฮคาเงะของเขา
“อากามารุก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันเหรอ?” คิบะแตะที่หัวของอากามารุ
"โฮ่ง" อากามารุพยักหน้าราวกับเข้าใจภาษามนุษย์
“นายคิดว่านายแข็งแกร่งนักเหรอ?” ซาสึเกะวางตะเกียบลงแล้วจ้องมองคิบะอย่างเย็นชา
“ซาสึเกะคุง ทำไมนายถึง...” ซากุระมองซาสึเกะอย่างกังวล จากนั้นเธอก็กระตุกชายเสื้อของซาโตรุแล้วพูดว่า
“อาจารย์ซาโตรุ ช่วยพูดอะไรสักอย่างเพื่อหยุดพวกเขาหน่อยสิค่ะ”
"ไม่มีใครสามารถพรากความสดใสจากคนหนุ่มสาวไปได้ เนื้อเองก็ไม่ต่าง มันจะสุกหลังจากพลิกไปมาสองสามครั้งเท่านั้น" ซาโตรุเพิกเฉยต่อเรื่องที่เกิดขึ้นและโรยน้ำตาลลงไปบนเนื้อย่าง
“อาจารย์ซาโตรุ...น่าผิดหวังจริงๆ” ซากุระเงยหน้าขึ้น
เธอนี้มันโง่จริงที่หวังจะให้ซาโตรุไปหยุดนารูโตะกับคนอื่นๆ
ด้วยอุปนิสัยของซาโตรุ ดูทรงแล้วเขาคงหวังให้ทุกคนมีเรื่องกันด้วยซ้ำ
เมื่อเห็นซาโตรุที่ไม่ได้จะมากินด้วยกัน ใบหน้าของคุเรไนจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นเธอก็ได้ถลึงตามองไปทางคิบะ
"คิบะ กินได้แล้ว"
“อาจารย์คุเรไน แต่ผมต้องสั่งสอนไอ้หมอนั้น...” คิบะยังพูดไม่จบ
"กิน" คุเรไนยิ้มเล็กน้อย ดูเหมือนมีมวลอากาศสีดำอยู่เบื้องหลังของเธอ แม้ว่ารอยยิ้มของเธอจะอ่อนโยนมาก แต่กลับทำให้ผู้คนโดยรอบรู้สึกถึงอันตราย
"ครับ" ร่างกายของคิบะสั่นสะท้านไปทั้งตัว เขานั่งลงอย่างเชื่อฟังและเริ่มกินเนื้อของเขาทันที
คุเรไนมองไปที่ซาโตรุแล้วจึงกล่าวขอโทษ "ฉันขอโทษด้วย แม้ว่านักเรียนในทีมที่สิบของเราจะซุกซนไปสักหน่อย แต่พวกเขาทั้งหมดก็ยังเป็นเด็กดี"
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ยังไงก็ต้องแข่งขันเท่านั้นถึงจะช่วยให้เหล่าเด็กๆ เติบโตได้ดีขึ้น” ซาโตรุโบกมือและกินเนื้อย่างต่อ
"อืม" ร่องรอยของความผิดหวังได้ปรากฏขึ้นในดวงตาของคุเรไน
หลังจากเกิดความวุ่นวายเช่นนี้ขึ้น ซาโตรุก็ดูเหมือนจะไม่อยากมากินร่วมกับเธอ
โอกาสดีๆ ที่หาได้ยากจากการช่วยเหลือของชิโนะ กลับถูกคิบะทำให้มันวุ่นวายไปหมด
ชิโนะพูดเบาๆ เเต่ด้วยน้ำเสียงที่แจ่มชัด “คิบะ นายโง่มาก”
“ไหงนายมาเรียกฉันว่าโง่อีกคนกันเนี่ย?” คิบะหยุดกินเนื้อสัตว์และมองไปทางชิโนะด้วยความสงสัย
“เดี๋ยวนายก็จะเข้าใจเองเมื่อโตขึ้น” ชิโนะกล่าว
มุมปากของคิบะกระตุกเล็กน้อย
ชิโนะมักจะพูดอะไรที่เข้าใจยากตลอดเลย
มันทำให้เขาไม่เข้าใจสักนิดเดียว
ฮินาตะเหลือบมองซาโตรุจากระยะไกล จากนั้นก็มองไปที่คิบะ และพูดเบาๆ “คิบะคุง คนงี่เง่า... คนงี่เง่า”
“ฮินาตะ แล้วทำไมเธอเองก็มาว่าฉันกันเล่า?” คิบะถึงกับพูดไม่ออก
เขาทำอะไรผิดกับ เพื่อนร่วมทีมทั้งสองคนถึงมาบอกว่าเขาเป็นคนงี่เง่าแบบนี้
นารูโตะกัดเนื้อไปหนึ่งคำ ผิวของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก เขาไอสองสามครั้งแล้วตะโกนออกมา "มันหวานเกินไปแล้วอาจารย์ซาโตรุ นี่ใส่น้ำตาลมากขนาดไหนเนี่ย? อาจารย์กำลังทำลายความอร่อยของเนื้อคุณภาพสูงพวกนี้นะ!"
“จำไว้เจ้าเด็กดื้อ ความหวานน่ะคือความโรแมนติกของผู้ชาย” ซาโตรุกล่าวเสียงเบา
“โอ๊ย มันหวานเกินไปแล้ว ใส่น้ำตาลให้น้อยลงทีเถอะอาจารย์บ้า!” นารูโตะเคี้ยวเนื้ออีกคำแล้วถ่มน้ำลายออกมาทันที
“ฉันกำลังรอเนื้อย่างอยู่นะ...” ซากุระพูดไม่ออกเมื่อได้เห็นชิ้นเนื้อคุณภาพดีที่เคลือบไปด้วยน้ำตาลในกระทะย่าง
นี่มันน้ำตาลย่างหรือเนื้อย่างกัน?
"ไม่อร่อย" ซาสึเกะขมวดคิ้ว
“ดูเหมือนว่าเขาจะเปลี่ยนไปมากเลยนะ” คุเรไนเท้าคางด้วยมือของเธอ และมองไปที่หน่วยที่เจ็ดกับคนอื่นๆ จากระยะไกลด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยนบนใบหน้าของเธอ
ก่อนที่ซาโตรุจะดูทำตัวไร้สาระเช่นนี้ แท้จริงแล้วเขาเคยเป็นคนที่มีนิสัยโหดเหี้ยมและอันตรายมาก
ในเวลานี้ หากไม่นับซึนาเดะ ก็ไม่มีใครสามารถหยุดเขาลงได้เลย
เขาถึงกับเป็นคนที่ทำให้เกิดการนองเลือดในคุโมะงาคุเระ
แต่ตอนนี้..เขาเปลี่ยนไปมาก
เหตุผลที่ท่านซึนาเดะเสนอให้ซาโตรุดูแลทีมหน่วยที่เจ็ด..
จุดประสงค์คือให้ซาโตรุใช้ชีวิตอย่างปกติสินะ?
ฮินาตะพึมพำเบาๆ “เมื่อก่อนคุณซาโตรุก็ดูดีมาก และตอนนี้...ก็ดูดีมากเหมือนกัน”
เมื่อคุเรไนได้ยินเสียงที่อยู่ด้านข้าง เธอก็ได้แต่มองฮินาตะด้วยความประหลาดใจ
*****