1162 - เก๋อจิ่วโหยว
1162 - เก๋อจิ่วโหยว
ก่อนที่งานชุมนุมจะเริ่มต้นขึ้นยังคงเกิดความปั่นป่วนภายในทะเลสาบหยกอย่างไม่สิ้นสุด
หลังจากที่เซียนคนที่สามของเผ่าพันธุ์มนุษย์ปรากฏตัวออกมาก็มีเซียนคนที่สี่เดินทางเข้าสู่ทะเลสาบหยกเพื่อร่วมงานชุมนุม
เหตุการณ์นี้ทำให้สิ่งมีชีวิตโบราณหวาดกลัวอย่างยิ่ง ในทางตรงกันข้ามผู้บ่มเพาะเผ่าพันธุ์มนุษย์กลับส่งเสียงโห่ร้องด้วยความตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา
แม้แต่เย่ฟ่านก็ไม่คาดคิดว่าบุคคลนี้จะเป็นเซียนเผ่าพันธุ์มนุษย์ นี่ไม่ใช่คนแปลกหน้าที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน แต่กลับเป็นชายชราผู้ทำหน้าที่เฝ้าลานพนันหินของดินแดนศักดิ์สิทธิ์หยกพลิกสวรรค์ภายในเมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งภาคเหนือ
“นี่คือหนึ่งในผู้รอดชีวิตจากภัยพิบัติการล่มสลายของดินแดนหยกศักดิ์สิทธิ์พลิกสวรรค์ภายในดินแดนรกร้างต้องห้ามแห่งภาคใต้”
เย่ฟ่านยังตกตะลึงไม่หาย เขายังคงจำฉากที่เขาและนักพรตมังกรแดงเข้าสู่ลานพนันหินอันรกร้างของดินแดนศักดิ์สิทธิ์หยกพลิกสวรรค์เพื่อค้นหาสมบัติได้อย่างชัดเจน
ในเวลานั้นเมื่อชายชราผู้นี้ปรากฏตัวขึ้น นักพรตมังกรแดงมีท่าทางหวาดกลัวอย่างมาก
การปรากฏตัวของเซียนสามคนติดต่อกันในเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้สร้างความหวั่นวิตกให้กับเผ่าพันธุ์โบราณอย่างถึงที่สุด
ความหวาดกลัวที่มีต่อราชาสวรรค์ของพวกเขายังไม่จางหาย หากเซียนอีกสองคนมีความแข็งแกร่งในระดับเดียวกันพวกเขาจะไม่สามารถต้านทานได้อย่างแน่นอน
แต่สถานการณ์อันเลวร้ายของเผ่าพันธุ์โบราณยังไม่ได้หยุดลงเพียงแค่นั้น เพราะไม่นานหลังจากนั้นเซียนคนที่ห้าของเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ปรากฏตัวขึ้น
ผู้บ่มเพาะเผ่าพันธุ์มนุษย์เกิดความคุ้มคลั่งอย่างถึงที่สุด การปรากฏตัวของเซียนผู้นี้แทบจะดับความหวังของเผ่าพันธุ์โบราณซึ่งคิดจะเอาเปรียบเผ่าพันธุ์มนุษย์โดยสิ้นเชิง
นี่คือผู้อาวุโสใหญ่แห่งฉีซื่อในจงโจว เขาเป็นปรมาจารย์ที่แก่ชราอย่างน่าเหลือเชื่อ ไม่มีใครรู้อายุที่แท้จริงของเขาแม้แต่เจ้าสำนักฉีซื่อคนปัจจุบัน
เซียนทั้งสี่ปรากฏตัวพร้อมกันซึ่งทำให้เผ่าพันธุ์โบราณเต็มไปด้วยความงุนงง หลังจากข่าวเรื่องนี้แพร่สะพัดออกไปเหล่าราชาบรรพชนผู้แข็งแกร่งอีกหลายคนก็ทยอยปรากฏตัวขึ้น
พวกเขาไม่อาจปล่อยให้มนุษย์ช่วงชิงความได้เปรียบในระหว่างการตกลงผลประโยชน์ได้
เมื่องานชุมนุมเริ่มต้นขึ้นผู้คนมากมายก็เริ่มเดินขวักไขว่อยู่ในทะเลสาบหยก มีผู้คนนับแสนเข้าๆ ออกๆ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้และเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมดก็เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น
ในระหว่างนี้เย่ฟ่านมองเห็นผู้บ่มเพาะที่มีใบหน้าหล่อเหลาคนหนึ่ง ริมฝีปากของเขาเป็นสีแดงสดมีเสน่ห์ยิ่งกว่าสตรีทั้งปวง
“นางเอง... เซี่ยจี้โหยว”
เย่ฟ่านสะดุ้งและจำได้ว่านี่คืออัจฉริยะที่ได้ชื่อว่ามีพรสวรรค์สูงส่งที่สุดในโลก
นางมีอายุเพียงสิบสองหรือสิบสามปีเท่านั้นในตอนที่พวกเขาพบกันครั้งแรก เมื่อเวลาผ่านไปสิบกว่าปีไม่รู้ว่าตอนนี้ความแข็งแกร่งของนางไปถึงระดับใดแล้ว
ในอดีตพวกเขาทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือด และเขายังเคยตีก้นเด็กหญิงที่ปลอมตัวเป็นชายคนนี้ด้วยซ้ำ ในตอนนั้นนางสาบานว่าจะถลกหนังเขาให้ได้
อย่างไรก็ตามเซี่ยจิ่วโหยวไม่ได้ให้ความสนใจเย่ฟ่าน นางเพียงให้ความสนใจกับชายชราคนหนึ่งและเดินเข้าหาเขาด้วยความเคารพ
“เขาเอง...!”
เย่ฟ่านรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก ทันใดนั้นเรื่องที่เขาไม่เคยเข้าใจในอดีตก็ได้รับการเปิดเผย
บุคคลที่อยู่ตรงหน้าคือเสมือนจักรพรรดิเมื่อเก้าพันปีก่อน เขาถูกปิดผนึกไว้โดยสำนักฉีซื่อและฟื้นคืนชีพขึ้นมาในยุคนี้
เขาคือเก๋อจิ่วโหยวเซียงอี้เฟย ผู้ที่ได้รับขนานนามว่ายอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งโลกอำพรางสวรรค์เมื่อเก้าพันปีก่อน!
เห็นได้ชัดว่าชื่อของเซี่ยจิ่วโหยวจะต้องได้รับอิทธิพลจากฉายาของเก๋อจิ่วโหยวนั่นเอง
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ่อน้ำเซียนเย่ฟ่านก็ตระหนักได้ทันทีว่าผู้ที่ให้ความช่วยเหลือเขาในตอนนั้นจะต้องเป็นผู้อาวุโสที่อยู่ตรงหน้าอย่างแน่นอน และคนที่ควบคุมเฟิงเสินปั่งให้โจมตีราชาบรรพชนทั้งหมดก็คือชายชราคนนี้เช่นกัน
“ผู้อาวุโส!”
เย่ฟ่านรีบไล่ตามอย่างเร่งรีบ เมื่อได้ยินเสียงเรียกหาจากเขาทั้งสองคนที่อยู่ตรงหน้าก็หยุดความเคลื่อนไหวเช่นกัน
เซี่ยจิ่วโหยวเติบโตกลายเป็นหญิงสาวที่มีความงดงามอย่างยิ่ง นางยังคงแต่งกายด้วยเสื้อผ้าบุรุษ แต่นางไม่มีความเย่อหยิ่งเหมือนเช่นอดีตอีกต่อไป
สภาพของเก๋อจิ่วโหยวดีขึ้นกว่าเมื่อครั้งพบกันในอดีต สีหน้าของเขาแดงระเรื่อไม่ได้ซีดขาวเหมือนคนป่วยอีกต่อไป อย่างไรก็ตามเย่ฟ่านรู้ดีว่านี่เป็นเพียงเปลวไฟครั้งสุดท้ายก่อนที่มันจะมืดดับลง
“ผู้อาวุโสข้าอยากตอบแทนความช่วยเหลือของท่านมาโดยตลอดแต่กลับค้นหาท่านไม่พบ ในตอนนี้เมื่อมีวาสนาได้พบกันผู้อาวุโสโปรดรับของยาเซียนมังกรนี้ไว้ด้วย” เย่ฟ่านกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
ในอดีตเก๋อจิ่วโหยวเคยกล่าวไว้ว่าเมื่อเขาลงมือโจมตีคู่ต่อสู้อย่างเต็มกำลังอายุขัยที่เหลืออยู่ของเขาก็จะถูกเผาผลาญจนหมดสิ้น
เขาสามารถใช้กฎศักดิ์สิทธิ์ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น และเมื่อไม่กี่วันก่อนเขาได้ควบคุมเฟิงเสินปั่งสังหารราชาบรรพชนมากมายนับไม่ถ้วน ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเขาจะต้องร้ายแรงอย่างถึงที่สุด
เย่ฟ่านกังวลอย่างมากและต้องการยืดอายุของชายชราผู้นี้อีกครั้ง!
“เจ้าไม่ต้องกังวลข้ายังสบายดีและจะไม่ตายในเร็วๆ นี้ ข้าไม่ได้ควบคุมเฟิงเสินปั่งเพียงลำพังมันจึงไม่ได้เผาผลาญพลังชีวิตของข้ามากเท่าใดนัก ก่อนหน้านี้ข้าได้กินราชาโอสถไปสามต้นและชีวิตของข้าก็ถูกยืดออกไปอีกหลายร้อยปีแล้ว” เก๋อจิ่วโหยวกล่าวด้วยรอยยิ้มสดใส
เย่ฟ่านรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมากเมื่อได้ยินเช่นนี้ นี่คือเซียนที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ความตายของอีกฝ่ายจะเป็นความสูญเสียอย่างไม่สิ้นสุด ดังนั้นเขาไม่อาจปล่อยให้ชายชราคนนี้ตายได้
“ความวุ่นวายครั้งนี้จบลงแล้ว และความวุ่นวายครั้งใหม่จะไม่เกิดขึ้นอีกหลายปี เจ้าควรใช้ประโยชน์นี้พัฒนาตัวเองให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้!”
เก๋อจิ่วโหยวกล่าวเบาๆ แต่คำพูดของเขาได้ทำให้เย่ฟ่านเกิดความรู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมาก
ช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกเขาจะได้รับมา หากไม่ใช่เก๋อจิ่วโหยวยังมีชีวิตอยู่จะมีใครสามารถต่อสู้กับราชาล่มสวรรค์ได้
“ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องขอบคุณผู้อาวุโสอีกครั้ง” เย่ฟ่านกล่าว
“นี่ก็เป็นผลงานของเจ้าเหมือนกันไม่ใช่หรือ?” เก๋อจิ่วโหย่วยิ้มให้กับเย่ฟ่าน “เราทำได้มันสมบูรณ์แบบแล้ว”
เย่ฟ่านไม่สามารถพูดอะไรได้อีก แม้ว่าเขาจะเป็นคนเริ่มเรื่องนี้แต่ผู้ที่สามารถสานต่อมันได้อย่างสมบูรณ์แบบจำเป็นต้องมีความแข็งแกร่งที่แท้จริงด้วย
แน่นอนว่าการลั่นระฆังอู่ซือสามเดือนเต็มของเย่ฟ่านจะไร้ผลทันทีหากไม่มีความช่วยเหลือของเหล่าเซียนเผ่าพันธุ์มนุษย์
ในระหว่างที่พวกเขาพูดคุยกันอยู่นั้น เซี่ยจิ่วโหยวไม่เคยสอดแทรกวาจาแม้แต่คำเดียว หลายปีผ่านไปนางมีความสงบนิ่งไม่หยิ่งผยองเหมือนในอดีต
และสิ่งที่น่าทึ่งที่สุดคือความงามของนางที่แทบจะยืนอยู่ในระดับเดียวกันกับเอี๋ยนหรูอวี้ได้เลย
เมื่อผ่านเหตุการณ์หลายๆ อย่างเย่ฟ่านก็ตระหนักได้ว่าการที่เซี่ยจิ่วโหยวร่ำร้องจะเอาเลือดของเขาไปทำยาให้ได้นั้น บางทีนางอาจต้องการใช้ยานั้นเพื่อต่อชีวิตของเก๋อจิ่วโหยวผู้เป็นอาจารย์
แม้ว่าวิธีการของนางออกจะดื้อรั้นอยู่บ้าง แต่มันก็เป็นความกตัญญูอย่างหนึ่ง
หลังจากที่เย่ฟ่านคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าพฤติกรรมในอดีตของเซียจิ่วโหยวมีความน่ารำคาญอีกแล้ว มิหนำซ้ำเขายังคิดว่ามันน่ารักด้วยซ้ำ เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“ถ้าเจ้ายังกล้าหัวเราะอีกข้าจะตัดลิ้นของเจ้าออกมาทำไส้ตะเกียง”
มุมปากของเซี่ยจิ่วโหยวยกขึ้นเล็กน้อยและมีแสงเย็นชาเปล่งประกายอยู่ในดวงตาของนาง
เย่ฟ่าน…
เขาเพิ่งคิดว่าหญิงสาวคนนี้เปลี่ยนเป็นน่ารักขึ้นมานิดหน่อย แต่ความอ่อนโยนในใจของเขาก็ถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว
ในโลกนี้ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถเปลี่ยนแปลงได้มีเพียงนิสัยเท่านั้นที่ยังคงเดิม แม้ว่ารูปร่างหน้าตาของนางจะดูน่าทึ่งและเต็มไปด้วยความอ่อนโยน แต่สุดท้ายนางยังคงเป็นหญิงสาวผู้หยิ่งผยองคนเก่า
ในขณะนี้เก๋อจิ่วโหยวกำลังเดินเข้าไปในห้องโถงที่มีเพียงเซียนเผ่าพันธุ์มนุษย์และราชาบรรพชนของเผ่าพันธุ์โบราณเท่านั้นที่เข้าไปข้างในได้ นี่เป็นห้องประชุมที่ถูกใช้เพื่อเจรจาสันติภาพระหว่างสองเผ่าพันธุ์!
……….